Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เมื่อความจริงปรากฏ!! จะเผาคนอื่น.. ดันไหม้ซะเอง

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 398 วันที่ 9-15  กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 หน้า 18-19 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน



“ฝรั่งวิ่งมาขอถ่ายรูปเพราะแกใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแบบที่ผมใส่ทุกวัน ขอแนะนำว่าต่อไปนี้เพื่อป้องกันความสับสนของชาวโลก ผู้สมัครคนนั้นควรจะใส่เสื้อแดงหาเสียงทุกวัน จะได้รู้กันชัดๆว่าใครเป็นใคร แล้วผมก็แนะนำครับเผื่อแกยังไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อ คือความจริงเมื่อก่อนนี้ป้ายของพรรคนี้ก็สีแดงนะครับ แต่เที่ยวนี้สีแดงหายไปเป็นป้ายสีขาว”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยช่วย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหา นคร (ผู้ว่าฯ กทม.) โดยอ้างข่าวในเว็บไซต์ที่ระบุว่ามีชาวต่างชาติมาขอถ่ายรูปกับ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคเพื่อไทย แล้วเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนายอภิสิทธิ์ว่า อ่านแล้วสะเทือนใจมาก พล.ต.อ.พงศพัศคงแปลกใจว่าทำไมชาวต่างชาติคนนั้นมาขอถ่ายรูปแต่กลับพูดเชียร์นายอภิสิทธิ์

ขณะที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า “อยากให้พรรคเพื่อไทยพูดให้ชัดว่า พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ นอกจากเป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังเป็นตัวแทนของคนเสื้อแดงด้วย คำพูดของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ว่าคน กทม. คงไม่ได้ใส่ใจเรื่องเผาบ้านเผาเมือง ผมอยากพิสูจน์ว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่”

นายชวนนท์ยังท้าให้นายจตุพรเดินหน้าหาเสียงเต็มที่ และอยากให้ พล.ต.อ.พงศพัศร่วมคณะกับนายจตุพรหาเสียง เพื่อพิสูจน์ว่าคนกรุงเทพฯลืมเหตุการณ์ เมื่อปี 2553 หรือไม่

การเอาวาทกรรม “เผาบ้านเผาเมือง” และวาทกรรม “แบ่งสีแยกฝ่าย” มาใช้หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ อาจสะท้อนให้เห็น ว่าเพราะพรรคประชาธิปัตย์หมดหนทางที่จะใช้นโย บายสู้กับ พล.ต.อ.พงศพัศและพรรคเพื่อไทย จึงเชื่อว่าวาทกรรม “เผาบ้านเผาเมือง” และ “แบ่งสีแยกฝ่าย” จะเป็น “ทีเด็ด” หรือ “ไม้ตาย” ที่จะสามารถทำให้ พล.ต.อ.พงศพัศพ่ายแพ้ได้ เพราะผลโพลทุกสำนักระบุตรงกันว่าคะแนนของ พล.ต.อ.พงศพัศนำ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์มากขึ้นเรื่อยๆ แม้ผลสำรวจจะระบุว่าคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใครก็ตาม


ความจริง “เผาบ้านเผาเมือง”

การที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามนำวาทกรรม “เผาบ้านเผาเมือง” มาใช้โจมตี พล.ต.อ.พงศพัศและพรรคเพื่อไทยนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้พรรคเพื่อไทยอย่างหมดรูปในการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงเดินสายปรา ศรัย “เดินหน้าผ่าความจริง ความจริงไม่มีวันตาย” ในพื้นที่ต่างๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนเชื่อว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายและเผาบ้านเผาเมือง

ทั้งที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อหาในคดีเหตุการณ์ความรุนแรงเมษายน-พฤษภาคม 2553 ว่า “ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล”

ขณะที่คดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์นั้น ก่อนหน้านี้ศาลได้ยกฟ้องจำเลยเยาวชน 2 รายคือ นายอัตพล (สงวนนามสกุล) และนายภาสกร (สงวนนามสกุล) ที่ถูกกล่าวหาในคดีวางเพลิงเผาทรัพย์เซ็นทรัลเวิลด์ จนเป็นเหตุให้นายกิตติพงษ์ สมสุข ซึ่งอยู่ในอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ถึงแก่ความตาย


คำให้การที่ปรึกษาอัคคีภัยเซ็นทรัลฯ

แต่มีรายละเอียดที่น่าสนใจคือคดีของนายพินิจ จันทร์ณรงค์ กับพวกรวม 7 คน ที่ถูกฟ้องความผิดร่วมกันปล้นทรัพย์ภายในห้างเซ็นทรัลเวิลด์นั้น ศาลได้ยกฟ้อง อย่างไรก็ตาม นายพินิจและนายสายชล แพบัว ยังถูกฟ้องในคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งศาลได้สืบพยานเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2556 ที่เป็นการสืบพยานครั้งสุดท้าย และนัดพิพากษาวันที่ 25 มีนาคม 2556 นั้น พยานปากสำคัญคือ พ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร อายุ 72 ปี พนักงานราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย และที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนามากว่า 20 ปี ในฐานะผู้ควบคุมการดับเพลิงในเซ็นทรัลเวิลด์ ได้ให้ การว่า ช่วง 2 เดือนที่มีการชุมนุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแห่งชาติ (นปช.) นั้นได้วางแผนป้องกันความปลอดภัยและอัคคีภัยโดยมีทีมดับเพลิงมืออาชีพที่เป็นพนักงานประจำอยู่ถึง 25 คน จากประสบการณ์ก็เห็นว่าห้างมีระบบรองรับทุกอย่าง หากเกิดไฟไหม้เล็กๆ พนักงานหรือแม่บ้านก็สามารถดับได้ แต่หากเป็นเพลิงไหม้ขนาดใหญ่จะมีพนักงานดับเพลิงมืออาชีพคอยป้องกันอยู่ ถือว่าระบบการป้องกันอัคคีภัยได้มาตรฐานระดับสากลและเป็นหนึ่งในเอเชียก็ว่าได้

นอกจากนี้ยังมีการยกข้อความของ พ.ต.ท.ชุม พลที่ให้สัมภาษณ์ในหนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” ที่จัดพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์โลกวันนี้เป็นหลักฐานที่ว่า

“ตลอดเวลา 2 เดือนเต็มๆ เราได้ประสานไมตรี กับผู้ชุมนุมมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกการ์ดแทบจะรู้จักกันทุกคน แต่ในวันเกิดเหตุเผาเซ็นทรัลเวิลด์ขอบอกว่าไม่เห็นหน้าคนเหล่านั้นเลย มีแต่พวกที่เรียกตัวเองว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่าย กลุ่มนี้แหละที่เขาบอก ว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่แม้แต่ตำรวจและทหารก็ไม่กล้าแตะ ถ้าแตะมันต้องมีศพกันบ้าง แต่นี่ไม่ คนกลุ่มนี้เข้าออกในที่เกิดเหตุโดยไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเขา เจ้าหน้าที่มีข้อมูลทุกอย่าง แต่ทำไมถึงจับคนร้ายไม่ได้”

พ.ต.ท.ชุมพลยังเบิกความต่อว่า หลังจากที่ทีมดับเพลิงทั้ง 25 คนถอนกำลังออกจากห้างไป ทำให้ รปภ. และพนักงานดับเพลิงเสียขวัญกำลังใจ จึงไปรวมตัวที่จุดรวมพลตรงลานจอดรถใกล้โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เพื่อให้ฝ่ายบริหารห้างตัดสินใจ เนื่องจากพนักงานเหล่านั้นไม่มีหลักประกันความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจออกจากห้างทั้งหมดในเวลาประมาณ 16.40 น. หลังจากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น. เศษ สมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทยได้รับการขอร้องจากเซ็นทรัลเวิลด์ให้เข้าไปช่วยดับไฟอีก แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากไม่ได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ทหาร กว่าจะเข้าไปถึงพื้นที่ได้ก็เป็นเวลาประมาณ 22.00 น. และจากการตรวจสอบ CCTV จากห้างเกษรพลาซ่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้างเซ็นทรัลเวิลด์พบว่า เวลาประมาณ 21.00 น. กว่าๆ ตึกได้ถล่มลงมาแล้ว และพื้นที่รอบๆถูกควบคุมโดยกองกำลังของทหารทั้งหมด แม้กระทั่งตอนออกจากห้างในช่วงเย็นทางด้านหลังห้างพารากอนก็มีทหารควบคุมพื้นที่อยู่ รถพยาบาลหรือ รปภ. วิ่งออกมาจากพื้นที่ก็ต้องผ่านด่านทหาร

“ทีมงานเราอยู่ภายใน ถ้าไม่ไล่เราออกไป มันเรื่องเล็กสำหรับไฟขนาดนั้น ในอาคารมีอุปกรณ์พร้อม น้ำในห้างก็มีจำนวนมหาศาล ทั้ง 3 อาคารเชื่อมต่อกัน ระบบแรงดันน้ำภายในห้างก็ใช้ได้ ถ้าไม่ไล่เราออกไม่มีทางไหม้ คนที่ไล่เราออกไปนั้นคือกลุ่มคนที่มีอาวุธ มีการโยนระเบิด ขนาดตำรวจยังต้องหนี”

พ.ต.ท.ชุมพลยังย้ำว่า “ไม่มีที่ไหนในโลกหรอกที่เขาไม่เคลียร์พื้นที่ให้กับทีมดับเพลิง ตั้งแต่เย็นไม่มีใครเคลียร์พื้นที่ให้ ปล่อยให้มันไหม้ได้อย่างนั้น”

ส่วนภาพถ่ายที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในการดำ เนินคดีกับนายสายชลซึ่งเป็นรูปชายชุดดำกำลังถือถังสีเขียวนั้น พ.ต.ท.ชุมพลกล่าวว่า ถ่ายในบริเวณห้าง ส่วน ถังสีเขียวในรูป “เป็นถังดับเพลิง ไม่ใช่ถังแก๊ส” ซึ่งเครื่อง ดับเพลิงไม่สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการวางเพลิงได้

พ.ต.ท.ชุมพลยืนยันตอนท้ายว่า เมื่อพิจารณาจากปัจจัยหลายๆอย่าง ทั้งระบบการป้องกันอัคคีภัยและรายงานจากทีมดับเพลิงในที่เกิดเหตุ เห็นว่าผู้ถูกจับกุมทั้ง 9 คนที่ถูกจับในห้างนั้น ไม่มีความสามารถในการวางเพลิงได้


ใครจุดไฟ-ใครห้ามดับ?

คำให้การของหัวหน้าควบคุมการดับเพลิงในห้าง เซ็นทรัลเวิลด์จึงเป็น “ความจริง” ให้สังคมไทยฉุกคิด ว่า ทำไมห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าที่อยู่ใจ กลางเมือง มีความพร้อมทั้งเทคโนโลยี อุปกรณ์ และตั้งอยู่เยื้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงยอมให้เกิดไฟไหม้ได้ ทั้งที่มีกองกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อม มีนักผจญเพลิงและมีรถดับเพลิงจอดอยู่รายรอบครบครัน พร้อมสรรพมากที่สุดแทบทุกพื้นที่ของการชุมนุม

คนเสื้อแดงที่แทบไม่มีในพื้นที่ เพราะกำลังระส่ำ ลุกหนี ร่ำไห้แตกฮือ จะถืออาวุธครบมือเดินหน้าพุ่งเป้าเผาศูนย์การค้าที่เป็นสัญลักษณ์ของความสะดวกสบายใจกลางกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมรหรือ?

คำให้การของ พ.ต.ท.ชุมพลจึงเป็นคำตอบชัด เจนกับวาทกรรมโกหกตอแหล “เผาบ้านเผาเมือง” ว่าไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่จะสวมเสื้อสีอะไรและใครสั่ง สังคมต้องช่วยกันทำให้เรื่องนี้กระจ่างชัดเจน เพื่อยุติการนำวาทกรรม “เผาบ้านเผาเมือง” มาใช้หากินทางการเมืองเพื่อหนีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะในฐานะผู้นำประเทศหรือฆาตกร

ภาพเหตุการณ์การปราบปรามคนเสื้อแดงที่บริเวณเซ็นทรัลเวิลด์ถูกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุไฟไหม้ ชายฉกรรจ์ที่แต่งกายคล้ายทหาร มีอาวุธครบมือ โยนระเบิดข่มขู่ใส่เจ้าหน้าที่จนได้รับบาดเจ็บหลายคน เพื่อไล่ให้ออกจากศูนย์การค้า คนเหล่านั้นเป็นใคร ทำไมถึงไม่มีใครกล้าจับ? ทั้งที่ทหารได้เข้ายึดพื้นที่ไว้หมดแล้ว

ใคร ฝ่ายใดที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง?

ทำไมต้องเป็นเซ็นทรัลเวิลด์? ทำไมไม่เป็นเกษรพลาซ่า? ทำไมไม่เป็นสยามพารากอน?

คนเผาบ้านเผาเมืองสมควรตาย แต่ไม่ใช่ยัดเยียดให้เอา “แพะ” อย่าง “ผังกำมะลอ” ที่ตั้งแต่รัฐบาลและคนมีสีหน้าแหกกันเป็นแถว

ใครก็อยากรู้ความจริงว่าใครเผาบ้านเผาเมือง จะได้หยุดวาทกรรมโกหกตอแหลที่เอามาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเสียที

พรรคประชาธิปัตย์เดินสายปราศรัย “เดินหน้าผ่าความจริง ความจริงไม่มีวันตาย” แต่ “ความจริง” ของพรรคประชาธิปัตย์กลับเป็นแค่วาทกรรมที่คิดเองและเชื่อเอง ไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมอย่างที่ศาลยกฟ้อง 2 จำเลยที่ถูกฟ้องเผาเซ็นทรัลเวิลด์

วาทกรรมเผาบ้านเผาเมืองและยัดเยียดให้คนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายของพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ ใช่การทำให้ “ความจริงปรากฏ” แต่เป็นการพยายาม ตอกย้ำให้คนไทยเกิดความเกลียดชังและความขัดแย้ง ให้แบ่งสีแบ่งพวกแบ่งข้าง เพื่อหวังผลต่อคะแนนของคน กรุงเทพฯในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ขณะนี้หรือไม่?

วันนั้นคนเสื้อแดงตกอยู่ภายใต้วาทกรรม “เผาบ้านเผาเมือง-จึงสมควรตาย” ทั้งที่ความตายเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นตั้งแต่ 10 เมษายน-19 พฤษภาคม 2553 โดยที่ยังไม่เคยมีที่ไหนถูกเผา ขณะที่วันนี้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพถูกตั้งข้อหา “ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล”

เหตุการณ์ความรุนแรงเมษายน-พฤษภาคม 2553 อำนาจรัฐ อำนาจ ศอฉ. ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นอำนาจสูงสุดที่จะโฆษณาชวนเชื่ออย่างไรก็ได้ จะบิดเบือนหรือปิดปากประชาชนและสื่อ จะกล่าวหาและยัดเยียดข้อหาใครก็ทำได้ แม้แต่ “ผังล้มเจ้า” ก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ในที่สุดก็กลับกลายเป็นเพียง “ผังล้มเจ้ากำมะลอ” ที่เกิดจากจินตนาการเท่านั้น

วันนี้ประชาชนเริ่ม “ตาสว่าง” รู้ความจริงที่โผล่ออกมามากขึ้นๆ และรู้ว่าใครคือ “ฆาตกรตัวจริง” และใคร “เผาบ้านเผาเมือง”?

วาทกรรม “คนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง” และความ พยายามประทับตรา พล.ต.อ.พงศพัศให้เป็นเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง อาจเป็นวาทกรรมที่ย้อนกลับมาทำลายฝ่ายที่สร้างวาทกรรมเองก็เป็นไปได้ เพราะวันนี้คน กทม. ที่ไม่เลือกข้างเขารู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร!

เชื่อว่านายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เองก็รู้ดีที่สุดว่า...ใครเผาเซ็นทรัลเวิลด์..แต่พูดไม่ได้!!

ความตั้งใจที่จะสร้างวาทกรรมว่า “เสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง” เพื่อปลุก “ความกลัว” ให้กลับมาอีกครั้งกับคนกรุงเทพฯในการตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯ อาจจะกลายกลับเป็นการ “เผาคนปลุกวาทกรรม” เองก็ได้

อุตส่าห์ตั้งใจเผาบ้านไล่หนูแท้ๆ แต่แมลงสาบดันตายเกลี้ยงซะเอง.. อะไรก็เกิดขึ้นได้..พึงระวัง!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น