ภาพที่ถูกถ่ายจากดาดฟ้า สตช.เย็นวันที่ 19 พ.ค.53 ซึ่งพยานรับเป็นทหารในหน่วย |
จากการไต่สวนการตาย 6 ศพ วันปทุมฯ ทหารรบพิเศษ 3 นาย เบิกความรับทหารในหน่วยยิงเข้าไปในวัดจริง
แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง รับทหารในภาพบนรางรถไฟหน้าวัดเป็นทหารหน่วยเดียวกัน ชี้มีกลุ่มติดอาวุธยิงตอบโต้ จนท.ตรงตอม่อรถไฟฟ้า และเสื้อขาวยิงมาจากกุฏิวัด จึงยิงกระสุนจริงสวนกดดัน นัดไต่สวนต่อ 21 ก.พ.นี้
โดยพนักงานอัยการนำประจักษ์พยานเข้าเบิกความรวม 3 ปาก ประกอบด้วย พ.ท.นิมิตร วีระพงษ์ สังกัด ฝ่ายกิจการพลเรือน ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จ.ลพบุรี ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันรบพิเศษที่ 1 กรมรบพิเศษที่ 3 ในฐานะ หัวหน้าชุดทหารรบพิเศษ ที่ปฏิบัติการบนรางรถไฟฟ้าสถานีสยาม ระหว่างวันที่ 18 และ 19 พฤษภาคม 2553 รวมด้วยจ่าสิบเอกสมยศ ร่มจำปา อายุ 45 ปี และสิบเอกเดชาธร มาขุนทด อายุ 38 ปี ทหารจากกองพันชุดจู่โจม รบพิเศษ 3 ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี ในฐานะทหารชุดปฏิบัติการบนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ
พ.ท.นิมิตร วีระพงษ์ เบิกความว่า ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติการร่วมกับ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.53 โดยได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา หน่วยรบพิเศษที่ 3 เพื่อรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญและสถานที่ ในวันที่ 10 เม.ย.53 บริเวณสี่แยกคอกวัว พื้นที่ที่ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รับผิดชอบอยู่ มีการยิงกันอย่างหนักเป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า เสียชีวิต
ส่วนที่พยานรับผิดชอบอยู่คือบริเวณสะพานมัฆวาน จากเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.53 ศอฉ.พบว่ามีกลุ่มบุคคลที่แอบแฝงอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมและใช้กำลัง จึงได้มีคำสั่งให้ปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมโดยวิธีการจากเบาไปหาหนัก 7 ขั้นตอน ส่วนบุคคลที่ใช้กำลังต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารให้ใช้วิธีการที่เรียกว่า “กฎการใช้กำลังของกองทัพไทย” โดย ศอฉ.ได้ประกาศกฎการขอคืนพื้นที่และการใช้อาวุธ
ภายหลังเดือน เม.ย.53 ผู้ชุมนุมประกาศจัดการชุมนุมที่บริเวณสีลม พยานจึงได้รับคำสั่งให้มาระวังป้องกันให้กับกองพลทหารม้า พยานจึงได้มายังพื้นที่ถนนสีลมตรงจุดทางเชื่อต่อรถไฟฟ้าบริเวณสี่แยกศาลาแดงหน้าบริเวณโรงแรมดุสิตธานี ตอมาวันที่ 15 พ.ค.53 ได้รับคำสั่งให้ระวังป้องกันให้กับกลุ่มทหารที่อยู่บริเวณถนนราชปรารภ โดยก่อนที่พยานจะเข้าไปนั้นมีคนใช้อาวุธปืนยิง M79 ตอบโต้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่บริเวณแยกราชปรารภ เมื่อหน่วยของพยานเข้าไปจึงได้ใช้อาวุธปืนยิงคุ้มกันเพื่อไม่ให้คนที่มีอาวุธปืนดังกล่าวยิงมายังเจ้าหน้าที่ทหาร
ต่อมาวันที่ 18 พ.ค.53 ศอฉ. ต้องการกระชับพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ พยานและหน่วยของพยานจึงประจำที่แยกปทุมวัน ในเวลา 17.00 น. ต่อมาในวันที่ 19 พ.ค.53 พยานและหน่วยพยานได้ขึ้นไปประจำบนสถานีรถไฟฟ้าคุ้มกันให้กับเจ้าหน้าที่ทหารจากกรมทหารราบที่ 31 กองพันที่ 2 รักษาพระองค์ (ร.31 พัน 2 รอ.) โดยทหารดังกล่าวมีหน้าที่คุ้มกันประชาชนที่ต้องการเดินทางออกจากพื้นที่กลับยังภูมิลำเนา โดย ศอฉ. ได้เตรียมรถเพื่อรับผู้ชุมนุมอยู่บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ประชาสัมพันธ์และมีการส่งข้อความหากลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อแจ้งว่าสามารถเดินทางออกจากพื้นที่การชุมนุมได้ โดยวันที่ 19 พ.ค.53 เวลา 13.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมแจ้งความประสงค์ว่าต้องการจะเดินทางออกจากพื้นที่ประมาณ 200 คน หลังจากนั้นมีผู้ชุมนุมเดินทางออกมาจากพื้นที่ชุมนุม
และเวลาต่อมาเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงหนังสยาม พยานได้รับคำสั่งจาก ร.31 พัน 2 รอ. ให้ พยานไปตรวจค้นบริเวณแนวบังเกอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ ร.31 พัน 2 รอ. เดินทางนำเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไปยังโรงหนังสยาม ขณะรับคำสั่งนั้นพยานประจำอยู่บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ โดยก่อนหน้าที่พยานและหน่วยได้รับคำสั่งทราบว่ามีกองกำลังติดอาวุธยิงกระสุนมายังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถปฏิบัติงานได้
ศอฉ.มีคำสั่งให้หน่วยของพยานที่มีประมาณ 60 คน ทำหน้าที่ป้องกันให้กับหน่วยภาคพื้น ซึ่งมี ร.31 พัน 2 รอ. ปฏิบัติหน้าที่บนพื้นราบ ส่วนหน่วยของพยานประจำอย่าบนสถานีรถไฟฟ้าเพื่อทำหน้าที่ระวังป้องกัน โดยหน่วยของพยานใช้อาวุธปืน M16
วันที่ 19 พ.ค.53 เวลาประมาณ 15.00 น. หน่วยของพยานได้ปฏิบัติการระวังป้องกันโดยเริ่มจากแยกปทุมวันฯ หลังจากนั้นได้เดินบนสะพานลอยรถไฟฟ้ากระทั้งข้ามแยกปทุมวัน และเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าสยาม โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานที่อยู่ด้านหน้าทำการสำรวจ ขณะนั้นมีชาย 2 คนใช้อาวุธปืนยิงใส่ โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานแจ้งว่าชาย 2 คนดังกล่าวยืนอยู่บริเวณแยกเฉลิมเผ่าตรงจุดที่รถ 6 ล้อจอดอยู่ ขณะนั้น ร.31 พัน 2 รอ. ได้แจ้งให้หน่วยของพยานถอนตัวออกมาจากบริเวณดังกล่าวก่อนเนื่องจากสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน รวมทั้งเกรงว่ายังคมมีกลุ่มผู้ชุมนุมหลงเหลืออยู่บริเวณดังกล่าว ขณะที่หน่วยของพยานถอนตัวนั้นพยานทราบว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมหลบเข้าไปในวันปทุมฯ รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ขณะที่หน่วยของพยานได้รับคำสั่งให้ถอนตัวออกจากบริเวณดังกล่าว ผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานยิงไปยังบริเวณรถ 6 ล้อ ที่บริเวณแยกเฉลิมเผ่าเพื่อกดดันไม่ให้ชาย 2 คนที่มีอาวุธ โดยนอกจากยิงไปยังบริเวณรถหกล้อแล้วยังยิงไปยังตอหม้อเสารถไฟฟ้า จากนั้นหน่วยของพยานได้ถอนออกมาจากบริเวณดังกล่าวแล้วมายังบริเวณสถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ หลังจากนั้นเห็นเพลิงไหม้ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ร.31 พัน 2 รอ. ได้รับคำสั่งให้อำนวยความสะดวกเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเพื่อไปยังห้างเซ็นทรัลเวิลด์และบริเวณสยามสแควร์
พยานทราบว่า ศอฉ. ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทหารที่แยกเพลินจิตร แยกปทุมวันและแยกสีลม ให้อำนายความสะดวกให้รถเข้าไปดับเพลิงที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์และบริเวณสยามแควร์ หากทางด้านใดใน 3 ทางนั้นอำนวยความสะดวกได้ก็ให้อำนวยการไป โดย ร.31 พัน 2 รอ. ที่ประจำอยู่ แยกปทุมวันนั้น ไปทางพื้นราบถนนพระราม 1 และอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเพื่อไปยังสยามสแควร์และห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยหน่วยของพยานจะประจำป้องกันให้บนพื้นที่สูง บนรางรถไฟฟ้าสถานีสนามกีฬาแห่งชาติและเดินไปกระทั้งถึงสถานีสยามสแควร์
โดยหน่วยของพยานจะทำการล้อมป้องกันไม่ให้บุคคลใดยิงปืนมายังเจ้าหน้าที่ทหาร ร.31 พัน 2 รอ. ที่ประจำอยู่บริเวณภาคพื้นดิน หน่วยของพยานเดินทางไปบนรางรถไฟฟ้าชั้น 2 และชั้น 3 บนสถานีสนามกีฬาแห่งชาติมาจนกระทั้งถึงก่อนชานชาลาสถานีสยามมองเห็นตาขายสีเขียวและกองยางรถยนต์วางปิดกั้นอยู่จนไม่สามารถมองเข้าไปเห็นด้านในของชานชาลาของสถานีรถไฟฟ้าสยามได้ ตรวจพบเศษอาหารและระเบิดเพลิงกองอยู่ 5-6 ขวด
หน่วยของพยานเดินทางออกจากสถานีรถไฟฟ้าสยามกีฬาเวลาประมาณ 17.20 น. และไปถึงสถานีสยามเวลาประมาณ 18.00 น. เหตุที่ทราบเนื่องจากได้ยินเสียงเพลงชาติ และพยานได้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้าชั้น 2 และ 3 ตั้งแต่สถานีจนถึงท้ายของชานชาลา เนื่องจากชั้นที่เป็นสถานีจำหน่ายตั๋วนั้นพยานไม่สามารถเดินเข้าไปได้เพราะมีตะแกรงเหล็ก
ขณะที่ประจำอยู่บริเวณชั้น 3 ของสถานีรถไฟฟ้าเห็นรอยไหม้ของร้านเสริมสวยบริเวณสยามสแควร์ ซึ่งพยานเห็นว่าน่าจะเกิดจากการขว้างระเบิดเพลิงจากบนลงล่าง พยานยังได้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำคีมมาตัดตะแกรงเหล็ก ขณะรอนั้นหน่วยของ ร.31 พัน 2 รอ. ได้ประจำอยู่ด้านล่างของสถานีรถไฟฟ้าสยาม ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนดังมาจากแยกเฉลิมเผ่า ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ประจำอยู่บริเวณชั้น 2 ของสถานีรถไฟฟ้า ได้ยินเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.31 พัน 2 รอ. ด้านล่างร้องขอความช่วยเหลือ ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.31 พัน 2 รอ. ขึ้นจากบันไดด้านล่างมายังชั้นจำหน่ายตั๋วของสถานีฯ แต่ยังไม่สามารถเข้าไปได้เนื่องจากตะแกรงเหล็กปิดกั้นอยู่
พยานจึงสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ประจำอยู่บนรางรถไฟฟ้า 2 ทำหน้าที่ระวังป้องกันให้กับทหาร ร.31 พัน 2 รอ. จากนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานได้แจ้งว่ามีกลุ่มคนยิงปืนมายังชั้น 2 ของสถานีรถไฟฟ้าสยาม โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานได้ปฏิบัติตามกฎของกองทัพไทยที่เริ่มต้นด้วยการเตือนก่อน จากนั้นยิงอาวุธปืนเล็งมายังพื้นถนนซึ่งไม่ได้มุ่งหมายไปยังบุคคล แต่หากยังมีภัยคุกคามอยู่อย่างต่อเนื่องจึงจะยิงไปยังกลุ่มคนเพื่อกดดันให้ถอยร่นไป
หลังจากนั้นเวลา 18.10 น. หลังจากหน่วยของพยานได้ประจำอยู่บนรางรถไฟฟ้าชั้น 2 ชั้น 3 และชั้นล่างตรงสถานีเพื่อเฝ้าระวังให้หน่วยที่ปฏิบัติยังภาคพื้นซึ่งขณะนั้น เวลาประมาณ 18.00 น. หน่วยพยานได้เคลื่อนกำลังจากสถานีรถไฟฟ้าสยามไปกระทั้งด้านหน้าวัดปทุม โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยาน 7 นายเคลื่อนที่บนรางรถไฟฟ้าชั้น 2 ไปจนกระทั้งบริเวณหน้าวัดปทุม เนื่องจากขณะนั้นมีภัยคุกคามเกิดขึ้นภายในวัดปทุมและบริเวณนอกวัด โดยภัยคุกคามนั้นหมายถึงคนที่อยู่ในวัดปทุมและนอกวัดยิงปืนใส่
เวลาประมาณ 18.20 น. พยานได้เรียกกำลังทั้ง 7 นาย กลับมาประจำการอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าสยามและพยานประจำอยู่ที่สถานรถไฟฟ้าสยามจนกระทั้งวันที่ 21 พ.ค.53 เมื่อวันที่ 20 พ.ค.53 หน่วยของพยานได้รับคำสั่งให้เฝ้าระวัง ร.31 พัน 2 รอ. เข้าตรวจค้นในวัดปทุม โดยหน่วยของพยานประจำอยู่บนรางรถไฟฟ้าเช่นเดิม ศอฉ.ให้ ร.31 พัน 2 รอ. เข้าไปตรวจค้นในวัดปทุมและนำกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากวัด
ในการปฏิบัติหน้าที่ทั้งหมดหน่วยของพยานใช้กระสุนปืนน้อยมากแต่จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ ในการปฏิบัติหน้าที่หน่วยของพยานไม่มีเจ้าหน้าที่ในหน่วยผู้ใดได้รับบาดเจ็บ พยานได้ทราบจากรายงานของสื่อมวลชนว่าภายในวัดปทุมมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในวันที่ 19 พ.ค.53
ในการปฏิบัติหน้าที่หน่วยของพยานมีประมาณ 60 นาย ได้รับคำสั่งโดยตรงจาก ศอฉ. ให้ M16 ชนิด A2 และ A4 ซึ่งจะใช้กับลูกกระสุนปืน M866 มีหัวสีเขียว กระสุนปืน M855 มีหัวสีเขียวสามารถใช้กับปืนทราโวหรือปืนชนิดอื่นได้ด้วย และสามารถให้กับ M16 ชนิด A1 ได้ แต่ประสิทธิภาพในการยิงอาจจะลดลงและอาจจะก่อให้เกิดการชำรุดของปืน หน่วยของพยานไม่มีพลซุ่มยิง หน่อยของพยานจะทำหน้าที่ระวังป้องกันเมื่อมีการร้องขอ และเป็นหน่วยที่ชำนาญที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ในเมือง
ตามกฎการใช้กำลังหากมีการใช้อาวุธปืนหรือขว้างระเบิดเพลิงมายังเจ้าหน้าที่ทหารๆ สามารถจะยิงปืนไปเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดการกระทำนั้นต่อไป แต่จะไม่ยิงไปเพื่อมุ่งหมายต่อชีวิต
ภาพที่ปรากฏบนรางรถไฟฟ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพยาน ขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานปฏิบัติหน้าที่บนรางรถไฟฟ้านั้นจะรายงานมายังพยานผ่านทางวิทยุสื่อสาร หากจะใช้อาวุธปืนยิง จ่าสิบเอกสมยศ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตพยานก่อน ขณะที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าพยานอยู่ตรงกลางสถานีและมอบภารกิจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตรวจระวังป้องกันตามที่ได้รับการร้องขอ โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานได้ปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าวัดปทุมบนรางรถไฟฟ้า
ซึ่งภายหลังได้รับรายงานด้วยว่าจ่าสิบเอกสมยศ ได้ยิงปืนไปยังบริเวณหน้าศาลและผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานอีก 1 นาย ได้ยิงปืนไปยังบริเวณรถซึ่งจอดภายในวัดปทุมด้วย ซึ่งเป็นการรายงานด้วยวาจาหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติหน้าที่
หน่วยของพยานได้เคยฝึกควบคุมฝูงชนและปราบจลาจล กระสุนปืนที่พยานใช้นั้นหากยิงไปกระทบของแข็งกระสุนปืนจะแตกกระจายออก จึงเป็นไปได้น้อยมากที่จะแฉลบ การที่กระสุนไประทบของแข็งจะแฉลบได้นั้นจะต้องทำมุม 10-15 องศา เท่านั้น กระสุนที่ไปกระทบของแข็งหรือปูนจะมีการกระจายออกรอบทิศทาง
จ่าสิบเอก สมยศ ร่มจำปา เบิกความกรณีการชุมนุมของ นปช. นั้น พยานมาปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 5 พ.ค.53 ภายใต้การบังคับบัญชาของ ศอฉ.และผู้บังคับบัญชาคือ พ.ท.วินัย พิมาย ที่เป็นผู้บังคับกองพัน ส่วน พ.ท.นิมิตร วีรพงษ์ นั้นพยานมาขึ้นต่อการบังคับบัญชาในวันดังกล่าว ซึ่งประจำอยู่ที่ราบ 11 แล้วไปที่บริเวณสี่แยกสีลม และในวันที่ 15 พ.ค.ได้ไปประจำการอยู่ที่แอร์พอตลิงค์ มีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกันอาคารสถานที่ หลังจากนั้นพยานได้กลับไปที่ราบ 11 อีก จนวันที่ 18 พ.ค.53 ได้เดินทางลงรถที่กระทรวงพลังงานและได้เคลื่อนไปที่สถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬา มีคำสั่งให้รักษาความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าทีทหารจากกรมทหารราบที่ 31 กองพันที่ 2 รักษาพระองค์ (ร.31 พัน 2 รอ.)
วันที่ 19 พ.ค.53 เวลาประมาณ 10.00 น. ศอฉ. เริ่มมีการประกาศให้ประชาชนทยอยออกมาจากพื้นที่ชุมนุมมาทางด้านสนามกีฬา โดยพยานยังรักษาความปลอดภัยให้กับ ร.31 พัน 2 รอ. ในด้านล่างและคุ้มกันกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต้องการออกพื้นที่
ต่อมาก่อน 15.00 น. ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา คือ พ.ท.นิมิตร ให้เข้าไปเคลียร์พื้นที่ด้านล่างที่มีกองยาง ถังน้ำมันและสิ่งกีดขวางอื่นๆ ที่อยู่บริเวณหน้าสนามกีฬาไปจนถึงแยกปทุมวัน รวมทั้งให้ดูแลคุ้มกันให้กับเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เนื่องจากในตอนนั้นโรงภาพยนตร์ สยาม เกิดเหลิงไหม้แล้ว
ซึ่งขณะนั้นพยานเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการมีกำลัง 9 นาย หลังจากได้รับคำสั่งให้เคลียร์พื้นที่เข้าไปในพบเต้นท์และสิ่งกีดขวางกองอยู่และได้ยินเสียงปืนมาจากด้านหน้า โดยก่อนหน้าพยานจะเข้าไป ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปชุดหนึ่งแล้วในพื้นราบ ขณะนั้นพยานอยู่เลยบริเวณแยกปทุมวันฯ ไปประมาณ 15 เมตร จึงทำให้เข้าไปต่อไม่ได้ เนื่องจากถูกยิงโดนมาจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย จึงกลับไปอยู่ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ อย่างไรก็ตามตอนที่ได้รับแจ้งว่ามีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงสกัดนั้น พยานไม่ได้เห็นด้วยตาแต่มีการวิทยุมาแจ้ง
จนกระทั่งเวลา 17.00 น.เศษ มีการจัดกำลังใหม่ เคลื่อนที่ไปยังสถานีรถไฟฟ้าสยามฯ โดยมีคำสั่งจาก พ.ท.นิมิตร เนื่องจากในตอนนั้นเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ห้าง CTW สำหรับเหตุที่ต้องเคลื่อนกำลังเนื่องจากตอนนั้นหน่วย ร.31 พัน 2 รอ. จะต้องเคลื่อนไปด้านล่าง หน่วยของพยานมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับหน่วยดังกล่าว แกละจะต้องพาพนักงานดับเพลิงไปดับไฟด้วย โดยขณะนั้นหน่วยของพยานได้เคลื่อนไปที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม บนชานชรารถไฟฟ้าชั้นล่าง เริ่มออกเวลาประมาณ 17.30 น. ก่อนถึงสถานีสยามประมาณ 5 เมตร พบบังเกอร์และสแลนตาข่ายสีเขียวดำที่เป็นของฝ่าย นปช. อยู่บนรางรถไฟ จึงเข้าตรวจวัตถุระเบิดบริเวณดังกล่าวก่อน และเมื่อเข้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าสยาม เวลา 18.00 น. เพราะขณะนั้นได้ยินเสียงเพลงชาติจากด้านหน้า
เมื่อเข้าไปในพื้นที่สถานีรถไฟฟ้าสยามก็ควบคุมพื้นที่ พบร่องรอยการอยู่อาศัย มีกล่องอาหาร หนังสือพิมพ์สำหรับปูนอน และถังน้ำมันชุดคบเพลิงไว้ในถัง ขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่มีเศษผ้าที่ปากขวดสามารถจุดไฟแล้วกว้างให้เกิดเพลิงได้ ระหว่างตรวจสอบสถานที่นั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้นด้านล่าง และเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่างได้เรียกให้หน่วยของพยานคุ้มกันจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายซึ่งใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ทหาร โดยที่ขณะนั้นพยานยังไม่เห็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายดังกล่าว
พยานจึงแจ้งผ่านวิทยุสื่อสารไปที่ผู้บังคับบัญชาคือ พ.ท.นิมิตร เพื่อขออนุมัติให้คุ้มกัน จึงได้มีคำสั่งมาให้คุ้มกัน หลังจากนั้นพยานเคลื่อนที่ออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าสยามฯ โดยอยู่บนรางรถไฟฟ้าชั้นแรกเคลื่อนที่ไปทางห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ประมาณ 5 เมตร พยานได้โผล่หน้าไปตรวจการพบชายชุดดำ 4 คน อยู่ตรงบริเวณตอหม้อรถไฟฟ้าถืออาวุธปืนยาว และหนึ่งในนั้นได้ยิงขึ้นมาแต่ไม่โดนใคร หลังจากนั้นพยานจึงได้ยิงสวนไปยังตอหม้อบริเวณแยกเฉลิมเผ่า 4-5 นัด ในเวลาประมาณ 18.10 น. กระสุนถูกตอหม้อรถไฟฟ้า แต่ไม่โดนใคร
หลังจากนั้น 4 คน ดังกล่าวได้วิ่งหลบหายไปหลังตอหม้อ พยานได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตรวจด้านซ้ายของรางรถไฟฟ้าด้านที่ติดกับห้างสยามพารากอน และหน่วยของพยานได้เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ มาถึงคลองตรงระหว่างห้างสยามพารากอนกับวัดปทุมฯ มองไปยังกุฏิวัดปทุมฯ เห็นบุคคลอยู่บริเวณนั้น เป็นชายสวมเสื้อสีขาว กางเกงลายพรางสวมโม่งสีดำถืออาวุธปืน M16 เล็งมาที่พยานอยู่ ประมาณ 18.10 น. เศษ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มืด และพยานห่างจากชขายเสื้อขาวดังกล่าวประมาณ 30 เมตร พยานได้ยิงไปยังแนวกำแพงวัดด้านข้างติดกับคลอง 1 นัด ชายคนดังกล่าวจึงได้หลบไปด้านในกุฏิวัด ต่อจากนั้นพยานได้เคลื่อนไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีภัยคุกคามอยู่ด้านหน้า และต้องทำหน้าที่คุ้มกัน ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่าง
จนกระทั่ง 18.25 น. ได้รับการสั่งการจาก พ.ท.นิมิตร สั่งถอนกลับไปที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม แต่ช่วงที่เคลื่อนมาประจำอยู่นั้นพยานอยู่บนรางหน้าวัดปทุมฯ ตางหน้าเป็นสระน้ำ มีกลังที่แบ่งไปทางด้านหน้าพยาน(ไปทางห้าง CTW) 10 เมตร จำนวน 3 นาย โดยมีพยานยืนตรงกลาง และมีการกระจายกำลังไปด้านหนังพยานห่างไป 3 เมตรด้วย ขณะนั้นพยานใช้อาวุธ M16 A 2 เป็นอาวุธประจำกายในการปฏิบัติหน้าที่ โดยทาง ศอฉ.และผู้บังคับบัญชากำชับให้ใช้จากเบาไปหาหนัก ห้ามยิงใส่กลุ่มคน เด็กและสตรี โดยให้ยิงขึ้นฟ้าหรือในทิศทางที่ปลอดภัย และหากยังปรากฏภัยคุกคามอีกให้ยิงไปทางส่วนล่างของร่างกายที่ไม่เป็นอันตราย
นอกจากตัวพยานยิงไปที่ตอหม้อรถไฟฟ้าและกำแพงวัดแล้วยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาอีกที่ยิง และมีมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในส่วนหน้าได้ยิงไปที่แนวถนนและกำแพงวัดอีกด้วย โดยได้รับแจ้งจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่ามีชายชุดดำอยู่บริเวณดังกล่าวทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชายิงไปยังบริเวณนั้น ขณะปฏิบัติหน้าที่นั้นหน่วยของพยานไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หลังจากถอนกำลังไปอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าสยามฯ แล้วพยานอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่ 23 พ.ค.53 จึงถอนกำลังกลับออกไป
จ่าสิบเอก สมยศ ได้ตอบการซักของทนายญาติผู้ตายด้วยว่า การมาปฏิบัติหน้าที่มาวันที่ 5 พ.ค.53 โดยมาปฏิบัติหน้าที่ทดแทนกำลังที่มีอยู่ ปืนประจำกายเป็นปืน M16 A2 นั้นได้มาจากเจ้าหน้าที่ทหารที่ถอนกำลังออกไป เช่นเดียวกับทหารในหน่วยของพยานด้วย สำหรับ M16 A2 นั้น พยานสามารถถอดประกอบเพื่อเอามาทำความสะอาดได้ ในระดับผู้ใช้เท่านั้น ซึ่งสมารถถอดได้ทั้งในส่วนล่าง ส่วนบนและลูกเลื่อน ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีสำหรับถอด และ 5 นาทีสำหรับการประกอบ โดย M16 A2 มีระยะในการยิงหวังผลที่มีเป้าหมายเป็นจุดอยู่ที่ 150 เมตร แต่ถ้าเป็นพื้นที่กว้าง 350 เมตร อาวุธปืนชนิดนี้มีแรงสะท้อนถอยหลัง โดยการเล็กนั้นเป็นการเล็กจากศูนย์หลังไปศูนย์หน้า สำหรับระยะ 150 เมตร หากเล็งแบบปราณีก็จะแม่นยำ โดยปืนชนิดนี้จะมีการปรับการยิงได้แบบ 1 นัด และ 3 นัด แต่ไม่สามารถยิงแบบออโต้ได้
ในวันที่ 19 พ.ค.53 พยานเป็นหัวหน้าชุด รวมตัวพยานด้วยชุดนั้น มี 9 นาย ตอนเคลื่อนมาจากสนามกีฬาเพื่อมาที่สยามพารากอนนั้น ในช่วงแรกมีกำลังส่วนหน้าบนพื้นราบอยู่ ส่วนที่ไม่ได้เคลื่อนไปต่อในครั้งแรกนั้น เพราะถูกต่อต้านจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย โดยช่วยที่เคลื่อนไปช่วงแรงนั้นหน่วยของพยานไม่ได้ขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้า ส่วนการเคลื่อนอีกครั้งในเวลา 17.30 น. นั้นพยานได้มีการยิงไปที่ตอหม้อรถไฟฟ้าร่วมกับ ส.อ.วิฑูรย์ อินทำ โดยบริเวณนั้นมีชายชุดดำ พยานยิงไป 4-5 นัด ส่วน ส.อ.วิฑูรย์ ยิงไป 2 นัด โดยยิงแบบชะโงกหน้าไปยิงตรงช่องว่าง โดยในขณะนั้นไม่มีประชาชนที่อยู่บริเวณถนนพระราม 1 แล้ว หลังจากที่พยานได้ยิงแล้วนั้น 4-5 คนนั้นก็หลบไปหลังตอหม้อ แต่ยังคงได้ยินเสียงยิงปะทะกันด้านล่าง เสียงดังเป็นระยะๆ ต่อๆ กัน จากทั้งทางฝั่งทหารและจากด้านหน้าข้างล่างบนถนน
ความสูงของพนังรางรถไฟฟ้าที่พยานอยู่ประมาณ 1.2 เมตร การเคลื่อนที่ไปนั้นเป็นการเคลื่อนแล้วหยุด แล้วขยับไปเรื่อยๆ เพื่อตรวจการ โดยในขณะนั้นฝั่งสำหนักงานตำรวจแห่งชาติไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารประจำการอยู่ ขณะตรวจการมองไปที่วัดปทุมนั้นยังคงเห็นได้ชัดเจน ในวัดมีคนประมาณการไม่ได้ แต่มีมากพอสมควร ส่วนบริเวณริมสระน้ำด้านในนั้นมีกลุ่มเล็กๆอยู่ แต่เข้าไปในวัดมีมากพอสมควร มีทั้งเด็ก ผู้หญิง คนชรา ที่เป็นผู้ชุมนุมหลบเข้าไป และทราบว่าที่นั่นเป็นเขตอภัยทาน
ตอนถอนกำลังกลับไปนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาได้รายงานกับพยานโดยการยิงทั้งหมดยิงไปด้วยกระสุนจริง สำหรับการตัดสินใจยิงนั้นเป็นการใช้ดุลยพินิจของแต่ละบุคคล โดยพยานไม่ได้สั่ง สำหรับระยะเวลาที่เคลื่อนกำลังไปหน้าวัดปทุมถึงถอนกำลังนั้น ใช้เวลา 15 นาที ขณะที่พยานใช้อาวุธปืนยิงนั้นตัวพยานไม่ได้เตือน แต่มีลูกน้องคือ ส.อ.วิฑูรย์ ที่แจ้งว่ามีชายชุดดำหลบอยู่ใต้รถ และแจ้งชายดังกล่าวให้ออกมา แต่พยานไม่ทราบว่า ส.อ.วิฑูรย์ ได้ยิงคนที่หลบอยู่ใต้รถหรือไม่ แต่ ส.อ.วิฑูรย์ มีการยิงไปในบริเวณนั้น
ทนายญาติผู้ตายได้นำภาพชายแต่งกายคลายทหารที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ ให้ จ่าสิบเอก สมยศ ดู พร้อมกับสอบถามว่าเป็นใคร จ่าสิบเอก สมยศ เบิกความต่อศาลว่าไม่ทราบว่าคนในภาพเป็นใคร แต่คิดว่าเป็นทหาร และบนรางรถไฟฟ้าตรงหน้าวัดปทุมฯนั้น มีเฉพาะชุดของพยาน 9 นาย โดยการปฏิบัติการนั้นพยานกับลูกน้องมีกระสุนคนละ 140 นัด เวลาส่งกระสุนคืนจะมีนายสิบประจำหมวดรวบรวมนับส่งคืน ในการปฏิบัติการตรงนั้นพยานใช้ไป 5 นัด ส่วนคนอื่นนั้นไม่ทราบว่าใช้ไปกี่นัด
ส.อ.วิฑูรย์ อยู่หน้าพยาน ซึ่งมี 3 นาย ห่างไปจากจุดที่พยานอยู่ประมาณ 10-15 เมตร และตรงจุดนั้นหลังวันที่ 19 พยานได้เคยเดินไปและหากมองจากจุดนั้นจะมองเห็นด้านหน้าประตูทางเข้าวัดปทุมได้ชัด วันที่ 20 พ.ค.53 ยังมีเต้นท์และเห็นรถที่จอดอยู่หลายคัน โดย ส.อ.วิฑูรย์ ได้แจ้งให้กับพยานทราบว่าเห็นชายชุดดำหลบเข้าไปในรถ และ ส.อ.วิฑูรย์ ยังแจ้งพยานด้วยว่าได้ยิงไปยังพื้นถนนหน้าวัดด้วย
หลังจากนั้นทนายได้นำภาพกลุ่มคนที่แต่งกลายคล้ายทหารมาให้พยานพิจารณาอีกครั้ง จำนวน 4 ภาพพร้อมตั้งคำถาว่าจากในภาพมีการหลบหรือไม่ จ่าสิบเอก สมยศ เบิกความต่อศาลว่า เป็นไปได้ว่าจะเป็นการหลบกระสุนหรืออาจจะกำลังเล็งก็ได้ โดยการหลบกระสุนปืนต้องหลบให้ต่ำกว่าแนวที่บังถึงจะหลบได้ แต่ถ้าหลบจากแนวกำแพงที่กระสุนมาจากด้านล่างก็เพียงแค่หลบวิถีกระสุนก็ได้ มันอาจไม้ต้องหลบตามแนวทั้งหมด แต่เป็นการหลบในลักษณะตกใจก็ได้
ส.อ.เดชาธร มาขุนทด เบิกความว่า เข้ามาปฏิบัติหน้าที่เมื่อ เม.ย.53 โดยมาในส่วนของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ มี พ.ท.นิมิตร วีรพงษ์ (ยศขณะนั้น พ.ต.) เป็ยผู้บังคับบัญชา ได้รับคำสั่งให้เป็นหน่วยคุ้มกันให้กับ ร.31 พัน 2 รอ. ที่สีลม ก่อนจะกลับไปที่ราบ 11 หลังจากนั้นวันที่ 18 พ.ค.53 เวลาประมาณ 17.00 น. ได้เคลื่อนกำลังจาก ราบ 11 มาที่กระทรวงพลังงาน โดยมีหน้าที่คุ้มกัน ร.31 พัน 2 รอ. เหมือนเดิม เวลาตี 1 ของวันที่ 19 พ.ค.53 ได้เคลื่อนกำลังจากกระทรวงพลังงานมายังสถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ จนกระทั้งบ่าย 3 โมง โดยประมาณ ขณะนั้นเกิดเพลิงไหม่ที่โรงหนังสยาม มีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถเข้าไประงับเหตุได้ เนื่องจากบริเวณด้านหน้าทางเข้ามีสิ่งกีดขวาง พยานและหน่วยจึงเข้าไปเคลียร์พื้นที่ด้านล่าง เพื่อให้รถดับเพลิงสามารถไปดับเพลิงได้ โดยเริ่มเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่แยกสนามกีฬาฯ มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ แต่เคลียร์ไปได้เล็กน้อยเนื่องจากมีเสียงปืนดังมาจากด้านหน้าพยานฝั่งทางโรงหนังสยาม หลังจากนั้น พ.ท.นิมิตร ได้สั่งให้พยานถอนกำลังกลับมายังที่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาฯ
เวลา 17.30 น. พยานได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ระวังป้องกันให้ ร.31 พัน 2 รอ. เพราะหน่วยดังกล่าวจะต้องเข้าไปเคลียร์พื้นที่ด้านล่าง โดยพยานมี จ่าสิบเอก สมยศ เป็นหัวหน้าชุด ปฏิบัติหน้าที่บนรางรถไฟฟ้า โดยจ่าสิบเอกสมยศ ให้พยานเคลียร์พื้นที่บนรางรถไฟฟ้าตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาฯ ถึง สถานีรถไฟฟ้าสยามฯ ซึ่งขณะนั้นพบสิ่งกีดขวางเป็นยางรถยนต์กับสแลนสีดำเขียวขวางอยู่ระหว่างสถานีสนามกีฬาฯ กับสถานีสยามฯ วางอยู่บนรางรถไฟฟ้า
หลังจากเคลียร์แล้วก็เคลื่อนคู่ขนานไปกับ ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่าง ถึงสถานีสยามในเวลา 18.00 น. ทราบเวลาจากการได้ยินเสียงเพลงชาติ หลังจากนั้นได้ยินเสียงปืนจากรอบทิศทาง มีทหารด้านล่างตะโกนให้หน่วยของพยานคุ้มกัน หน่วยของพยานจึงได้ทำการตรวจการด้วยสายตาโดยมองไปด้านล่างพบเป็นชายผมสั้นเสื้อขาวสวมหมวกโม่ง กางเกงลายพราง ถือปืนตรงข้างกำแพงวัด พยานจึงได้แจ้งไปยังจ่าฯสมยศ ทราบ แต่ไม่ทราบว่าจ่าฯ สมยศได้ยิงลงไปหรือไม่เนื่องจากพยานเดินไปด้านหน้าต่อเพื่อตรวจการ
ขณะนั้นเห็นชายชุดดำบริเวณกำแพง 1 คน จึงได้แจ้งให้ ส.อ.ภัทรนนท์ มีแสง เพื่อให้ตรวจดูชายชุดดำแทนพยาน เนื่องจากพยานต้องการเคลื่อนไปหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์
ระหว่างตรวจการอยู่บนรางรถไฟฟ้า พยานไม่เห็นชุดของจ่าสิบเอกสมยศ ยิงปืนไปทางด้านใด เนื่องจากพยานอยู่ทางด้านหน้า ต่อมาผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้หน่วยของพยานถอนกำลังไปที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม พยานอยู่ตรงนั้นจนถึงวันที่ 22 พ.ค.53 จึงกลับลพบุรี
ในวันที่ 19 พ.ค.53 นั้น ชุดของพยานและทหารในบังคับบัญชาของ พ.ท.นิมิตร แต่งกายชุดลายพรางและมีสติ๊กเกอร์ สีชมพูติดด้านหลังหมวกทุกนาย ที่ติดสติ๊กเกอร์ ที่หมวกเพื่อเป็นสัญญาลักษณ์บอกว่าเป็นทหารหน่วยเดียวกัน ซึ่งปกติจะไม่ติดมีการติดในวันที่ 19 พ.ค.วันเดียว สำหรับในหน่วย 9 นายที่พยานอยู่นั้นพยานทำหน้าที่เป็นพนักงานวิทยุ
บนรางรถไฟฟ้าไม่มีการยิงปะทะกันเนื่องจากไม่มีใครอยู่บนรางนั้น ส่วนกรณีชายเสื้อขาวสวมหมวกไหมพรมนั้นถืออาวุธ M16 ในท่าเล็งมาทางรางรถไฟฟ้า ระยะห่างจากจุดที่พยานอยู่ประมาณ 50 เมตร นอกจากคนนั้นแล้วไม่พบคนอื่นอยู่บริเวณนั้น โดยขณะที่พยานเห็นบุคคลดังกล่าวไม่มีการยิง แต่หลังจากนั้นไม่แน่ใจว่ามีการยิงขึ้นมาหรือไม่ ระหว่างที่อยู่หน้าวัดปทุมไม่เห็นและไม่ได้ยินทหารในชุดของพยานยิงปืน ในระหว่างที่เดินตรวจการนั้นเห็นประชาชนเดินในวัดปทุมฯ ตัวพยานนั้นไม่ถูกใครยิงปืนใส่และไม่ได้รับบาดเจ็บ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น