โดย เส้นยาแดง ผ่าเก้า จาก RED
POWER ฉบับที่ 33 เดือนกุมภาพันธ์ 2556
การรอคอยอันยาวนานเกือบ
2
ปี ในที่สุดก็มาถึงวันแห่งการพิพากษา
หลังจากต้องเลื่อนมาถึงสองครั้ง(ครั้งแรก 19 กันยา 55
ครั้งที่สอง 19 ธันวา 55)
คดีของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข เกิดจากการที่เขาถูกดีเอสไอดำเนินคดีจากการพิมพ์และเผยแพร่บทความในนิตยสารวอยส์ออฟทักษินของผู้เขียนนามว่า
“จิตร พลจันทร์” สองบทความ เกือบสองปีมีการยื่นประกันตัวสิบกว่าครั้งแต่ไม่สำเร็จ
นายสมยศถูกนำตัวระหกระเหินไปขึ้นศาลทั่วประเทศ ทั้งภาคตะวันออก ขึ้นเหนือ ล่องลงเกือบใต้สุดของประเทศ
สร้างความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหตุเพราะสุขภาพไม่ดีมีโรคประจำตัว
ในที่สุดวันแห่งการรอคอยก็มาถึง เช้า 23 ม.ค. นายสมยศถูกนำตัวมาศาลแบบเท้าเปล่าไม่ใส่รองเท้า ถูกล่ามโซ่ตีตรวน
มีทูตกว่ายี่สิบประเทศเข้าร่วมฟังการตัดสิน
รวมทั้งมีผู้มาให้กำลังใจนับร้อย ยังไม่นับผู้ที่รอหน้าห้องพิจารณาและหน้าศาลอีกเกือบร้อยคน
704 รหัสลับประหัตประหาร?
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือไม่ที่การพิพากษาคดีเกิดขึ้นที่ห้อง
704
เมื่อเอาเลข 7 บวก 4
ก็จะได้ 11 เท่ากับโทษจำคุกที่ได้รับ โทษที่ศาลตัดสินคือ 5
ปี สองกรรม รวมเป็น 10 ปี
แต่ศาลเอาคดีเก่าที่นายสมยศเคยถูกตัดสินจำคุกคดีหมิ่นประมาทพลเอกสะพรั่ง
กัลยาณมิตร แต่รอลงอาญาไว้ มาลงโทษด้วย รวมเป็น 11 ปี ก่อนพิพากษา
นายสมยศค่อนข้างมั่นใจว่าจะชนะคดี ก่อนมาศาลนายสมยศบริจาคของใช้ให้กับเพื่อนนักโทษในเรือนจำเกือบหมด
ด้วยความมั่นใจว่าจะได้รับอิสรภาพ เหตุเพราะว่าทั้งในข้อกฎหมายโดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์
รวมทั้งในแง่ข้อเท็จจริงที่มีการสืบพยาน ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ แต่ผลกลับตาลปัตร
นายสมยศรับไปเต็มเหนี่ยว 10 ปี พร้อมของแถมอีก 1 ปี
สิ้นเสียงพิพากษา เสียงวิจารณ์ดังมาจากทุกสารทิศ
23 ม.ค. 2556 สหภาพยุโรป ออกแถลงการณ์ว่า "คณะผู้แทนสหภาพยุโรป
มีความเป็นห่วงต่อคำพิพากษาของศาลในการตัดสินจำคุกนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข เป็นเวลา 10 ปี …คำพิพากษาดังกล่าว
มีผลอย่างมากต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและต่อเสรีภาพของสื่อมวลชน …ส่งผลกระทบต่อภาพลักษ์ของประเทศไทยในฐานะที่เป็นสังคมแห่งเสรีภาพและประชาธิปไตย
สหภาพยุโรปขอเรียกร้องให้ทางการไทยกำหนดข้อจำกัดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชนด้วยมาตรการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการรักษาไว้ซึ่งหลักสิทธิมนุษยชนสากล"
23 ม.ค. 2556 อิสเบล อาร์ราดอน องค์การนิรโทษกรรมสากล กล่าวว่า เป็นการตัดสินแบบถอยหลังเข้าคลอง
ขอเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสมยศและนักโทษทางความคิดทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไขและจ่ายเงินชดเชยด้วย
รวมทั้งเรียกร้องให้พักการใช้มาตรา 112 ทันที
และให้มีการแก้ไขกฎหมายนี้ให้สอดคล้องกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของไทย
23 ม.ค. 2556 แบรด อดัมส์ องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่า ศาลรับบทบาทหัวหน้าผู้พิทักษ์สถาบันกษัตริย์ด้วยการทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก
คำพิพากษาศาลเกี่ยวข้องกับการที่นายสมยศสนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 มากกว่าจะเกี่ยวกับอันตรายต่อสถาบันกษัตริย์ การตัดสินคดีนี้เป็นสัญญาณว่าความแตกแยกทางการเมืองที่ร้าวลึกของไทยยากเกินเยียวยา
23 ม.ค. 2556 วีรพัฒน์
ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระ ตั้งคำถามว่า “พระเกีรยติยศของพระมหากษัตริย์ไทย
อันเป็นที่ยกย่องสรรเสริญทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ
แท้จริงแล้วก็สามารถถูกทำลายและล้มครืนลงจนกระทบต่อความมั่นคงได้โดยง่าย เพียงเพราะ
'บทความหนึ่งฉบับ' กระนั้นหรือ ?”
24 ม.ค. 2556 กลุ่ม
24
มิถุนา ประชาธิปไตย “การลงโทษจำคุก 11 ปี ไม่ต่างอะไรกับการลงโทษประหารชีวิต
เหตุเพราะจำเลยมีอายุค่อนข้างมากและสุขภาพไม่ดี
อีกทั้งสภาพความเป็นอยู่ในคุกต่ำกว่ามาตรฐานของคนทั่วไป จึงมีโอกาสสูงมากที่จะเสียชีวิตก่อนพ้นโทษ” เมื่อเปรียบเทียบกับคดีค้ายาเสพติด คดีอุกฉกรรจ์ หลายคดีก็มิได้ลงโทษรุนแรงขนาดนี้
24 ม.ค. 2556 นางนาวี ฟิลเลย์
ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ "คำตัดสินและการลงโทษที่รุนแรงอย่างที่สุดต่อสมยศส่งสัญญาณที่ผิดต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในประเทศไทย
คำพิพากษาของศาลเป็นตัวชี้วัดล่าสุดของแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงอย่างการใช้กฎหมายหมิ่นฯ
เพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง …ฉันกังวลใจเมื่อสมยศไม่ได้รับการประกันตัว
และหลายครั้งที่ปรากฏตัวในศาลโดยถูกใส่โซ่ตรวน ราวกับเขาเป็นอาชญากรร้ายแรง …ผู้ที่ใช้เสรีภาพในการแสดงออกไม่ควรถูกลงโทษตั้งแต่แรกแล้ว" นอกจากนั้นเธอยังสนับสนุนให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และชี้ให้เห็นถึงการเสื่อมถอยในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
24 ม.ค. 2556 สหพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล (FIDH)
และองค์การสากลว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (OMCT) และสมาคมสิทธิเสรีภาพประชาชน (สสส.) ออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงต่อคำตัดสินคดี
นายแดนทอง บรีน สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าวว่า "คำตัดสินวันนี้ไม่เป็นธรรมอย่างชัดเจน การคงไว้ซึ่งกฎหมายเผด็จการและใช้กฎหมายนี้อย่างต่อเนื่อง
นำประเทศไทยไปไกลจากการปรองดองแห่งชาติ
ซึ่งตั้งอยู่บนการเคารพเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน"
24 ม.ค. 2556 นักกิจกรรมทางสังคม 26 คน ซึ่งหลายคนเป็นเสื้อเหลือง ออกแถลงการณ์ว่า การแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิพื้นฐานที่พึงได้รับการคุ้มครอง การเคารพสิทธิในการแสดงความเห็นและอดกลั้นต่อความเห็นต่างเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อก้าวไปสู่สังคมประชาธิปไตย
ไม่เห็นด้วยกับการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจัดการคนที่เห็นต่าง ผู้ต้องคดีทุกคนต้องได้รับสิทธิประกันตัวโดยไม่เลือกปฏิบัติ
โทษจำคุก 10 ปี รุนแรงเกินไป ข้อหาดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ควรมีการลงโทษจำคุกหรือลงโทษเยี่ยงอาชญากร
24 ม.ค. 2556 ดร.วรพล
พรหมิกบุตร อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ให้นายสมยศได้รับสิทธิการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีอย่างเท่าเทียมกับแกนนำอื่นๆ
เช่น แกนนำ นปช. หรือแกนนำพันธมิตรฯ
24 ม.ค. 2556 ศ.ดร.อุกฤษ
มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ(คอ.นธ.) เสนอว่า ศาลยุติธรรมควรพิจารณาทบทวนแนวทางบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา
โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดในทางการเมือง ควรใช้กรอบของหลักเมตตาธรรม นอกจากนั้น ประชาชนที่กระทำผิดทางการเมืองหรือแสดงออกทางการเมืองตั้งแต่ 19 ก.ย. 2549-10 พ.ค.
2554 ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีความสุจริตทางการเมือง แสดงออกตามสิทธิ
รวมทั้งเป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย
หรือการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย จึงเป็นความรับผิดชอบของ ส.ส.และส.ว.
ที่จะต้องดำเนินการตรากฎหมายนิรโทษกรรม
เพื่อสร้างความสามัคคีและความสมานฉันท์ของคนในชาติ และเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยเร็ว
25 ม.ค. 2556 องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF)
ออกแถลงการณ์ระบุว่า
คำพิพากษานี้คือยุทธวิธีทางการเมืองเพื่อปิดปากการวิจารณ์
โดยเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนายสมยศทันทีและกลับคำตัดสิน
รวมทั้งเรียกร้องต่อประชาคมนานาชาติให้แสดงท่าทีต่อการพิจารณาคดีนี้ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อเสรีภาพสื่อโดยตรง
ตลอดจนเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112
ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกมากมายจนไม่สามารถยกมากล่าวถึงได้ทั้งหมดทั้งจากนักวิชาการ
องค์กรสื่อ องค์กรสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศ องค์กรแรงงานทั้งไทยและเทศ
เงื่อนงำคำพิพากษา ที่มาของโทษจำคุก
ประเด็นสำคัญอันหนึ่งที่ฝ่ายนายสมยศยกขึ้นต่อสู้ในศาล คือ พรบ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 ไม่ได้ระบุความรับผิดชอบของบรรณาธิการต่อข้อความที่ลงตีพิมพ์ ซึ่งต่างจาก พรบ.การพิมพ์ 2484(ยกเลิกไปแล้ว)ที่บรรณาธิการต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ถ้าว่ากันตามหลักการทางกฎหมายที่ถูกต้องแล้ว
พรบ.จดแจ้งการพิมพ์ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะสำหรับคนที่ประกอบวิชาชีพสิ่งพิมพ์
ซึ่งมิได้กำหนดให้รับผิดก็เท่ากับว่านายสมยศไม่มีความผิด
แต่ความรับผิดเป็นของผู้เขียนบทความโดยตรง
ถ้ากฎหมายเฉพาะไม่ได้กำหนดว่าเป็นความผิดแม้จะมีกฎหมายทั่วไป เช่น กฎหมายอาญามาตรา
112 บัญญัติให้มีความผิดก็ตาม ก็ต้องถือว่านายสมยศพ้นผิด
เพราะหากเอากฎหมายทั่วไปมาบังคับใช้แก่กรณีนี้ก็จะมีผลทำให้กฎหมายเฉพาะทางอย่าง
พรบ.จดแจ้งการพิมพ์ต้องหมดสภาพการบังคับใช้ไปโดยปริยาย
แต่ศาลชั้นต้นกลับให้เหตุผลทำนองว่า แม้นายสมยศจะพ้นผิดในฐานะบรรณาธิการ แต่เนื่องจากนายสมยศเป็นผู้นำบทความไปจัดพิมพ์
จัดจำหน่าย และเผยแพร่ จึงก็ยังถือว่านายสมยศยังผิดกฎหมายมาตรา 112 อยู่ดี การพิพากษาลงโทษนายสมยศนี้ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6268/2550 ที่นายชวน หลีกภัย ฟ้องบรรณาธิการผู้พิมพ์และผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ในข้อหาหมิ่นประมาท
ศาลฎีกาพิพากษาว่าบรรณาธิการฯไม่ต้องรับผิดเหตุเพราะ “…พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 ไม่ได้บัญญัติให้บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เป็นผู้รับผิดชอบในข้อความที่ลงพิมพ์ที่ตนเป็นบรรณาธิการ
ฉะนั้นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดอีกต่อไป…” คำถามคือ คำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีนายสมยศ
อาศัยหลักวิชาจากตำรากฎหมายใด?
จบคำพิพากษา การต่อสู้ยังไม่จบ แต่ประชาชนจะพิพากษาบ้าง
หลังศาลชั้นต้นพิพากษาเสร็จ
ผู้เขียนเดินไปจับแขนนายสมยศ และถามสั้นๆว่า “เอาไงต่อพี่” นายสมยศตอบด้วยประโยคสั้นๆ
แค่สามพยางค์ว่า “สู้ต่อไป” คำพิพากษาศาลชั้นต้นจบลงไปแล้ว
แต่สิ่งที่ยังไม่จบ กำลังเกิดขึ้นและดำเนินต่อไป คือ
การพิพากษาของประชาชนต่อความอยุติธรรม ถ้าจะลองหาถ้อยคำใดๆ มาแทนความรู้สึกของประชาชนที่มาฟังคำพิพากษารวมถึงประชาชนที่รักความเป็นธรรมทั้งหลาย
อาจจะแทนด้วยคำกล่าวของ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ว่า “ถ้าระบอบเก่า
รู้จักปรับตัว ก็ไม่มีทางได้ชื่อว่าเป็นระบอบเก่า
และไม่ต้องถูกแทนที่ด้วยระบอบใหม่ ถ้าระบอบเก่า
อ้วนพีอุ้ยอ้ายจนไม่มีศักยภาพในการปรับตัว
ระบอบเก่าก็จะนอนอย่างสบายและมีความสุขบนความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ร่วมชาติ แต่การนอนรอเช่นว่านั้น
เป็นการนอนรอวันล่มสลาย”
ความทุกข์ทรมานที่พี่น้องประชาชนรวมทั้งนายสมยศได้รับอย่างช้าๆ
ฉายให้เห็นภาพเมื่อครั้งพระเยซูคริสต์ถูกตรึงไม้กางเขนให้เจ็บปวดทุกข์ทรมานและค่อยๆตายลงอย่างช้าๆ
แต่สุดท้ายความตายของพระเยซูและอิทธิพลของคริสตศาสนานำมาซึ่งการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันยิ่งใหญ่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น