Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สันตปาปาเยือนอเมริกา ดูโลก-ดูเรา ยิ่งเศร้าใจ


สส.สุนัย จุลพงศธร

(ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์"ไทยเนชั่นยูเอสเอ" ปีที่9ฉบับที่168ประจำเดือนตุลาคม 2558)
สัปดาห์ปลายเดือนกันยายนเห็นข่าวการมาเยือนสหรัฐอเมริกาของสมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิส ผู้นำทางจิตวิญญานของชาวคริสต์ทั้งโลกแล้วย้อนดูความเป็นไปของการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชผู้นำทางจิตวิญญานชาวพุทธของไทยรวมทั้งระเบียบพิธีการจัดการแบบทางการของไทยแล้วรู้สึกว่าระบบรัฐของไทยถึงเวลาต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จริงๆ



โทรทัศน์ในอเมริกาถ่ายทอดภาพข่าวการต้อนรับของฝ่ายบริหารโดยประธานาธิบดีโอบลามาและสภาคองเกรสให้การต้อนรับพระองค์อย่างเรียบง่ายเป็นกันเองแต่อบอุ่นไม่มีพิธีรีตองเจ้ายศเจ้าอย่างอะไรมากมายเหมือนอย่างในประเทศไทย รวมถึงการกล่าวต้อนรับ และการกล่าวตอบรับของทั้งสองฝ่ายก็มีเนื้อหาเชิงสังคมการเมืองที่จับต้องได้เหมือนคนธรรมดาพูดกันโดยเน้นเนื้อหาที่จะให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติมากกว่าที่จะเน้นแต่รูปแบบพิธีการจนพระกับฆารวาสคุยกันไม่รู้เรื่อง



ผมนึกถึงรูปแบบพิธีการที่ประมุขแห่งรัฐของไทยคือในหลวงกับสมเด็จพระสังฆราชไทยในงานพระราชพิธีต่างๆเราจะไม่เคยเห็นเนื้อหาของการนำเสนอเรื่องราวทางสังคมหรือแนวทางการดำเนินชีวิตของประชาชนระหว่างประมุขแห่งรัฐกับประมุขแห่งศาสนาของไทยอย่างเสมอภาคร่วมกันในทางสาธารณะเช่นที่ปรากฎในจอโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกาเช่นนี้เลย


ถ้าใครจะโต้แย้งผมว่าก็เพราะศาสนาพุทธไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง!!!
ผมก็อยากจะบอกว่า"อย่าหลอกตัวเองเลย"เพราะศาสนากับการเมืองได้สอดประสานเป็นเนื้อเดียวกันมานานนับแต่ศาสนาเริ่มก่อรูปขึ้นในโลกนี้


ในประวัติศาสตร์ไทยนับแต่ยุคสุโขทัยถึงอยุธยาทุกครั้งที่มีศึกสงครามพระสงฆ์เกจิอาจารย์ทั้งหลายก็จะแสดงความเป็นเนื้อเดียวกับอำนาจทางการเมือง อาทิเช่นพระสงฆ์ออกมาช่วยกันทั้งปลุกเสกของขลังทั้งเป็นผู้นำการฝึกอาวุธเพื่อให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายมีกำลังใจมีวิชาความรู้ช่วยกันปกป้องบ้านเมืองจากศัตรูถึงขนาดพระมหากษัตริย์จะนำช้างออกศึกยังต้องมีพระพุทธรูปที่หล่อขึ้นพิเศษที่เรียกว่า"พระชัยหลังช้าง"นำออกศึกด้วย หรือเมื่อชนะศึกกลับมาแล้วแต่มีเหล่าทหารจะถูกลงโทษประหารชีวิตเพราะเกิดบกพร่องในหน้าที่ก็พระอีกนั่นแหละเป็นผู้ขอบิณฑบาตรไถ่โทษให้เช่นกรณีที่พระนเรศวรไสช้างออกไปรบแล้วทหารที่คุ้มครองช้างพระที่นั่งแต่วิ่งตามช้างไม่ทันพระนเรศวรมีคำสั่งให้ตัดหัวก็รอดตายเพราะการทูลขอของพระสังฆราช


เราต้องยอมรับความเป็นจริงเถอะว่าผู้นำไทยเราโดยเฉพาะทุกวันนี้ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาเพียงรูปแบบเท่านั้นและไม่ยอมให้บทบาทนำทางสังคมการเมืองที่สร้างสรรแก่ผู้นำสงฆ์เลย เราจะเห็นได้ว่าผู้นำรัฐจะให้ความสำคัญกับพระสงฆ์ที่เน้นหนักการปลุกเสกวัตถุมงคลสิ่งศักสิทธิ์ในลักษณะพุทธพานิชมากกว่าพระสงฆ์ที่เน้นหลักธรรมในการครองชีวิตของประชาชน


ยิ่งในยุคกำลังเปลี่ยนผ่านรัชกาลเรายิ่งเห็นภาวะวิปริตอาเพศของศาสนาพุทธเราที่ถูกกระทำโดยตรงและโดยอ้อมจากผู้นำรัฐหนักยิ่งขึ้น


ผมเห็นข่าวพระที่ลูกศิษย์คนโปรดเป็นนายกรัฐมนตรีชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทำการจาบจ้วงต่อสมเด็จวัดปากน้ำขณะที่ดำรงตำแหน่งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ด้วยการยกขบวนนักเลงนับร้อยนำสังฆทานที่จงใจจะจาบจ้วงเช่นรองเท้าแตะเก่าขาดวิ่นและกางเกงในเปื้อนอุจาระไปถวายผู้รักษาการสมเด็จพระสังฆราชโดยไม่มีใครดำเนินการใดๆได้เลยแม้แต่ขณะการยกขบวนไปก็อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกห้ามชุมนุมเกิน5คนคสช.ก็ไม่เคยส่งเสียงห้ามปรามเลยทั้งก่อนและหลังการกระทำอันไม่เหมาะสมนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการชุมนุมของนักศึกษาเมื่อวันที่19กันยายนที่ผ่านมาที่กรุงเทพฯ หรือแม้แต่การเตรียมการชุมนุมต่อต้านนายประยุทธ์ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยในมหานครนิวยอร์คนอกประเทศไทยแท้ๆนายประยุทธ์และลูกสมุนก็ขู่ฟอดๆ


ผมต้องยืนยันว่าพลเอกประยุทธ์และบรรดาพลเอกทั้งหลายในคสช.ให้การหนุนหลังพระองค์นี้เพื่อจะทำลายพระเกียรติ์ของสมเด็จวัดปากน้ำผู้รักษาการสมเด็จพระสังฆราช เพราะก่อนหน้านี้พระองค์นี้ได้แสดงตัวต่อสาธารณชนเสมอด้วยอันธพาลเช่นนำพลพรรคปิดถนนแจ้งวัฒนะร่วมกับกปปส.ของนายสุเทพที่ทำการปิดกรุงเทพฯเพื่อสร้างเงื่อนไขให้คณะคสช.ใช้เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหาร


ที่ผมบอกว่าพระองค์นี้ทำตัวเสมอด้วยอันธพาลว่าจริงๆยังน้อยไปเพราะการกระทำขนาดสั่งการให้ลูกน้องนักเลงทั้งหลายที่ติดอาวุธยิงทุกคนและรถทุกคันที่ไปแตะต้อง'กรวย'จราจรที่กั้นเขตการชุมนุมปิดถนนไว้ถึงขนาดเหยื่อที่ถูกยิงเป็นนายทหารก็ไม่ถูกดำนินคดีใดๆจนถึงวันนี้ทั้งๆที่ประยุทธ์มีอำนาจสูงสุดในมือคือมาตรา44ตามรัฐธรรมนูญและก็แสดงการใช้อำนาจนี้แล้วคือถอดยศทักษิณแต่ไม่กล้าใช้มาตรา44กับพระนักเลงรูปนี้...อย่างนี้ต้องเรียกว่า 'อภิมหาอันธพาล'
อ่านถึงตรงนี้ก็คงทราบนะครับว่าพระรูปนี้ชื่อ'พุทธอิสระ'
ถ้าใครติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับพระศาสนาในเมืองไทยก็จะยิ่งเห็นความวิปริตที่ยาวนานนับ10ปีติดต่อกันในช่วงของการกำลังจะเปลี่ยนผ่านรัชกาลนี้มากยิ่งขึ้นจนหาเหตุผลปกติมาอธิบายไม่ได้นอกจากจะบอกได้เพียงว่า "ผู้นำรัฐตัวจริงมีเป้าหมายใช้อำนาจเผด็จการคุมพระสงฆ์ที่ตนระแวงสงสัยว่าจะไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจสั่งการของตน"
ดูได้จากการไม่ยอมแต่งตั้งตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชประมุขสงฆ์ของไทยนับตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชญานสังวรแห่งวัดบวรนิเวศน์ทรงพระประชวรและไม่อยู่ในฐานะจะปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้นานกว่าสิบปีโดยปล่อยให้สมเด็จเกี่ยวแห่งวัดสระเกศเป็นผู้รักษาการไปจนสิ้นชีวิต และวันนี้ทั้งสมเด็จเกี่ยวและสมเด็จพระสังฆราชญานสังวรก็สิ้นบุญหมดแล้วทั้งสองพระองค์แต่ก็ยังไม่สถาปนาสมเด็จช่วงณ.วัดปากน้ำขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขแห่งสงฆ์ และยังมีการหนุนหลังให้พุทธอิสระออกมาจาบจ้วงอีกดังเหตุการณ์ที่กล่าวข้างต้น


ยิ่งกว่านั้นพระธรรมไชโยเจ้าสำนักธรรมกายที่เป็นพระสงฆ์ที่มีลูกศิษย์มากมายและอยู่ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญานของชาวพุทธจำนวนมากและเป็นพระที่สมเด็จช่วงแห่งวัดปากน้ำเป็นอุปัชชาให้ก็กำลังถูกเล่นงานทางกฎหมายอย่างหนักโดยส่อให้เห็นถึงความมุ่งหมายของคสช.ที่น่าจะได้รับคำสั่งจากใครที่มีอำนาจลึกลับไปดำเนินการทางกฎหมายกับวัดธรรมกายถึงขนาดจะล้มล้างวัดทีเดียวเพราะการดำเนินคดีไม่ได้ใช้กลไกตำรวจธรรมดาแต่ใช้กรมสอบสวนพิเศษหรือ DSI ที่เป็นเครื่องมือ'สั่งได้'ของคสช.โดยตรงดำเนินการ


ในขณะที่ผู้มีอำนาจครอบงำโครงสร้างการเมืองไทยควบคุมศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาประจำชาติโดยไม่ยอมให้ประมุขสงฆ์แสดงบทบาทนำเชิงจิตวิญญานและปรัชญาทางสังคมเหมือนเช่นผู้นำทางจิตวิญญานแห่งศาสนาคริสต์กำลังแสดงบทบาทอย่างเปิดเผยอยู่ในสหรัฐอเมริกาขณะนี้แล้ว แต่ยังกลับใช้อำนาจทางการเมืองทำลายศรัทธาความเชื่อถือในตัวผู้รักษาการสมเด็จพระสังฆราชและพระสงฆ์ที่มีฐานะเป็นผู้นำทางจิตศรัทธาเช่นเจ้าสำนักธรรมกายด้วยเช่นนี้แล้วจะไม่ให้ชาวพุทธอย่างเราเกิดความวิตกกังวลและสังเวชใจได้อย่างไร?
นี้คือเหตุผลที่ผมเห็นข่าวการเยือนสหรัฐอเมริกาของสมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสแล้วมองย้อนกลับดูผู้นำทางศาสนาพุทธในประเทศไทยบ้างก็เกิดอาการตาสว่างว่า"พระศาสนากำลังถูกจ้องทำลายจากอำนาจรัฐเผด็จการ"
ผมปลงความสังเวชใจและละความวิตกกังวลนี้ด้วยการตั้งสมาธิภาวนาว่า
"สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง แม้แต่โครงสร้างสังคมไทยก็ไม่เที่ยง ต้องปล่อยไปตามกรรม"
ถ้าใครจะถามผมว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้? และผู้มีอำนาจสั่งการประสงค์อะไร? ผมก็จะขอตอบกระซิบเบาๆว่า
"คุยกันหลังไมค์ครับ...หลังไมค์ๆ"
-------------จบ------------

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ศาลไทยตั้งใจเอียง:คดีหมิ่นประมาทเหมือนกันสส.เพื่อไทยพร้อมพงศ์กับเกียรติ์อุดมติดคุก2ปีไม่มีรอแต่สส.ประชาธิปัตย์ติดคุก1ปีแต่รอลงอาญา(ได้เวลาล้มเผด็จการศาลไทยแล้ว)




ศาลอาญาตัดสินจำคุก1ปี 3พิธีกรสายล่อฟ้า ปม ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ รอลงอาญา2ปี
updated: 27 ส.ค. 2558 เวลา
 
ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 1 ปี รอลงอาญา 2 ปี พร้อมปรับ 5 หมื่นบาท 3 พิธีกร “สายล่อฟ้า” คดีหมิ่นประมาท อดีตนายกรัฐมนตรี กรณี ว.5 โฟร์ซีซั่นส์

คดีนี้อัยการยื่นฟ้อง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต นายเทพไท เสนพงศ์ และ นายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา และดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฎิบัติงานตามหน้าที่ กรณี ร่วมกันจัดรายการ “สายล่อฟ้า” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย เมื่อวันที่ 10 และ 15 กุมภาพันธ์ 2555 มีเนื้อหาทำนองใส่ความนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ว่าไม่เข้าร่วมภารกิจการประชุมของรัฐสภา ทำภารกิจ ว.5 ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์

ศาลพิจารณาจากถ้อยคำของจำเลยทั้งสามคน เห็นว่ามีเจตนาให้ผู้ชมรายการเข้าใจว่า นางสาวยิ่งลักษณ์หนีการประชุมรัฐสภา ไปทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น เป็นการใส่ความทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง มีความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ไม่ใช่การตรวจสอบการปฎิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีหรือติชมด้วยความเป็นธรรม ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง พิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสามคน คนละ 1 ปี พร้อมปรับ 5 หมื่นบาท แต่จำเลยทั้งสามคนไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญา 2 ปี และให้ยึดเทปรายการดังกล่าวมาทำลาย และลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ ติดต่อกัน 7 วัน

ส่วนความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฎิบัติงานตามหน้าที่ พยานหลักฐานยังมีข้อสงสัย จึงยกประโยชน์ความสงสัยให้จำเลย

นอกจากคดีนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์เป็นโจทก์ร่วมยื่นฟ้องนายชวนนท์ ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา กรณี ว.5 โฟร์ซีซั่นอีก 1 คดี ซึ่งศาลได้พิพากษายกฟ้อง ไปเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ที่ผ่านมา


ที่มา มติชนออนไลน์
เรียบเรียงโดย ประชาชาติออนไลน์

เตือนภัยจุดเปลี่ยนประเทศ ปฏิรูป "คุณภาพคน" ก่อนไทยไร้ที่ยืน! มองผ่าน เรื่องเล่าชนเผ่าอินเดียแดงที่สูญหายเพราะก้าวไม่ทันความเจริญ

กอท.เสรีไทยเสนอสารคดีการเมืองขนาดสั้นในรายการสุขเสรีไทย

"เราจะก้าวไปกับความเจริญของโลกหรือจะให้โลกยัดเยียดความเจริญให้เรา"
สส.สุนัย เล่าเรื่องชนเผ่าที่สูญหายเพราะก้าวไม่ทันความเจริญที่ไหลบ่าเข้ามาเพื่อเตือนใจให้คนไทยคิดถึงสภาพความล้าหลังที่คสช.กำลังหยิบยื่นให้ในวันนี้

https://www.youtube.com/watch?v=QHk3aESaEs0




"สุวิทย์ เมษินทรีย์" เตือนภัยจุดเปลี่ยนประเทศ ปฏิรูป "คุณภาพคน" ก่อนไทยไร้ที่ยืน!

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 20 ก.ค. 2558

http://www.thairath.co.th/content/512641

 อีกครั้งที่ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ นักเศรษฐศาสตร์จาก Kellogg School of Management ของ Northwestern University ศิษย์รักของ ศ.ดร.ฟิลิปส์ คอตเลอร์ นักการตลาดผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของโลก ออกมาเตือนผู้คนในสังคมไทยว่า เราจะใช้ชีวิตกันในแบบเดิมๆอย่างที่กำลังเป็นอยู่ไม่ได้!

เมื่อมนุษย์ต้องพัฒนาตน ผู้คนบนโลกต้องได้รับการศึกษาเพิ่มขึ้น และมีศักยภาพสูงขึ้นเพื่ออยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงนานัปการให้ได้

ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญจัดทำวิสัยทัศน์ และออกแบบอนาคตประเทศไทย สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ดร.สุวิทย์ได้ออกมาบอกกับพวกเรา และรัฐบาลในฐานะที่แต่งตั้งให้เขาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการออกแบบอนาคตของประเทศว่า คนไทยจะต้องอยู่บนโลกเบี้ยวใบนี้ให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อโลกไม่ใช่ใบเดิมอีกต่อไป

สำคัญก็คือ ในขณะที่โลกเปลี่ยนไป ผู้คนทั่วโลกต่างแสวงหาความรู้เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพตน แต่สังคมไทย ประเทศไทย และคนไทย กลับใช้เวลาและทรัพยากรที่มีอยู่ไปในทิศทางตรงกันข้าม ไม่ก่อให้เกิดคุณภาพ ผลิตภาพ และประสิทธิภาพในทางเศรษฐกิจ
ทีมเศรษฐกิจ ขอนำเอาแนวคิด ผลการศึกษา และการออกแบบอนาคตประเทศไทยของ ดร.สุวิทย์มาถ่ายทอดให้ฟังในวาระที่ได้รับเชิญให้เป็นองค์ปาฐกในงานสัมมนาทางวิชาการผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยาทั่วประเทศเมื่อสัปดาห์ก่อน

และ “คน” คือหัวข้อใหญ่ที่ ดร.สุวิทย์เห็นว่า การออกแบบอนาคตประเทศไทย จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการ “สร้างคน” รุ่นใหม่เป็นสำคัญ
3 อาการที่ฟ้องให้เห็นปัญหา

ปัญหาประเทศไทยมีมากจนพวกเราอาจไม่รู้ตัว และเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนหลายคนเห็นเป็นเรื่องปกติ Normal และไม่คาดหวังจะแก้ไข หรือจำเป็นต้องแก้ไข

ผมมองเห็น 3 อาการที่เริ่มฟ้องว่า ประเทศและสังคมไทยกำลังมีปัญหาในช่วง 10 ปีให้หลังมานี้ก็คือ

1.เป็นประเทศที่มีผู้ป่วยติดเชื้อ HIV หรือเชื้อเอดส์มากที่สุดของเอเชียในปี 2552 ในเวลาเดียวกันก็เป็นประเทศที่มีความไม่เท่าเทียมกันในด้านรายได้มากที่สุดของเอเชียในปี 2552

3.เป็นประเทศที่มีคุณแม่วัยใสมากที่สุดของอาเซียนในปี 2554 ขณะเดียวกันเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดในโลกในปี 2553 ที่ร้ายกว่านั้น ขณะที่หลายประเทศพยายามหลุดพ้นจากระบอบการปกครองแบบเผด็จการทหาร ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่มีรัฐประหารมากที่สุดของปี และกลับมามีการทำรัฐประหารกันอีกครั้งในปี 2553
ถ้าลองมองไปดูประเทศเพื่อนบ้านที่เคยหายใจรดต้นคอกันมาอย่างมาเลเซีย จะพบว่าเขาข้ามผ่านการเป็นประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศที่ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงสำเร็จแล้ว แต่ไทยกลับอยู่ในตำแหน่งเดิม โดยมีประเทศที่เคยล้าหลังกว่า วิ่งขึ้นแซงหน้าไปเพื่อให้พ้นจากเส้นความยากจนสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางและรายได้สูงโดยการพัฒนาคุณภาพของประชากรเป็นสำคัญ
คำถามคือ เราลงทุนเพื่อการพัฒนาสมองของประชากรผ่านระบบการศึกษามากเพียงไร หรือว่า หยุดอยู่กับที่ ถึงแม้จะเห็นว่ารัฐบาลยอมเจียดงบประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นจาก 0.12 เป็น 0.24% แต่ประเทศอื่นๆโดยเฉพาะคู่แข่ง อัดฉีดงบประมาณเพื่อการนี้สูงกว่าเรา
เฉพาะการเรียนรู้เรื่องภาษา ถ้าใครเปิด วิกิพีเดีย (สารานุกรมโลก) ดูจะพบว่า มีบทความทางวิชาการที่ถูกแปลเป็นภาษาเวียดนามมากกว่าภาษาไทยถึง 6 เท่า และคนเวียดนามใช้อินเตอร์เน็ตมากกว่าคนไทย 1.7 เท่า
ขณะที่ระบบการศึกษาของหลายประเทศในอาเซียนและในโลกนำเสนอให้ประชากรในวัยเรียนของเขาต้องมีความรู้ใน 3 ภาษา ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศไทยที่เด็กไทยยังคงอ่านและเขียนภาษาไทยอย่างงูๆปลาๆ ส่วนความฉลาดในเรื่องของภาษาอังกฤษ ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 53 จาก 54 ชาติในเอเชีย ทั้งที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาจำเป็นที่ต้องใช้เพื่อการคบค้า และขายสินค้าของไทยในตลาดโลก
สิ่งนี้เป็นปัญหาที่ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงความห่วงใย ขณะที่ทีมเศรษฐกิจได้รับการเปิดเผยจากผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการว่า ไทยขาดบุคลากรด้านการสอน โดยเฉพาะในวิชาสำคัญๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ อยู่มากถึง 60,000-80,000 คน แต่ด้วยเหตุที่งบมากกว่า 52% เป็นค่าจ้างครู ทำให้กระทรวงศึกษาธิการพยายามชะลอ และลดจำนวนบุคลากรใหม่ๆเข้าสู่ระบบการศึกษาไทย
จึงไม่ต้องแปลกใจที่แต่ละโรงเรียนเต็มไปด้วย “ครูพละ” ที่เงินเดือนต่ำและสอนนักเรียนได้ทุกวิชา!
สิ่งบอกเหตุแห่งความเสื่อมถอย
ปัญหาที่เกิดขึ้น และไม่เคยมีใครคิดจะแก้ไขเหล่านี้ เป็นตัวบ่งชี้ชัดเจนว่า ไทยกำลังเดินไปสู่ความเสื่อมถอย ขณะที่เรามีแม่วัยใสที่ควรจะอยู่ในโรงเรียนเพื่อช่วยกันสร้างชาติแต่กลับต้องไปเลี้ยงลูก ในเวลาเดียวกัน
สังคมไทยก็มีคดีเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้น เมื่อเติบโตมาเป็นผู้ใช้แรงงาน ก็มีแต่แรงงานที่มีหนี้สินรุงรัง และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหา
สังคมที่ดี จะต้องเป็นสังคมที่มีความหวัง คือ HOPE มีความสุข HAPPINESS และมีความสมานฉันท์ HARMONY
แต่นั่นไม่ใช่สังคมไทยที่เราอยู่กัน สังคมวันนี้ คนจนยังคงจนดักดาน และคำว่า “โง่ จน เจ็บ” ยังคงเป็นคำพูดที่สะท้อนถึงความเป็นจริงที่เราไม่สามารถออกจากกับดักเหล่านี้ได้ นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่ผู้ร่วมสัมมนาในฐานะ Nation Builder จะช่วยกันแก้ไข และการจะแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ได้ก็ต้องวางแผน “สร้างคน” เป็นสำคัญ

เมื่อผมมองดูการบริหารจัดการของประเทศต่างๆในโลก ผมพบว่า หลายประเทศมีความทะเยอทะยานที่จะนำพาประเทศตนไปสู่ประเทศโลกที่ 1 ซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ตลอดจนถึงการค้าบนเวทีโลกอย่างมีเสถียรภาพ จาก
ชาติมหาอำนาจเดิมๆอย่างสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ทุกวันนี้ เราจะเห็นว่า มีสิงคโปร์ เกาหลีใต้ จีน และอินเดีย พาตัวเองไปสู่ความมั่งคั่งในประเทศโลกที่ 1
ส่วนเวียดนาม พม่า และลาว ซึ่งอยู่ในประเทศโลกที่ 3 ก็กำลังนำพาตัวเองทะยานสู่ประเทศกำลังพัฒนา จากประเทศยากจนสู่ประเทศที่ประชาชนมีรายได้ปานกลางเช่นเดียวกับประเทศไทย เพียงแต่เมื่อเทียบกับประเทศไทยในบริบทของการวางแผนเพื่อการพัฒนาชาติแล้ว ต้องบอกว่า ไทยเรากำลังปักหลักยืนอยู่กับที่
ความล้าหลัง และการไม่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าพร้อมๆกับประเทศต่างๆซึ่งเคลื่อนตัวไปตามภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกจะทำให้เศรษฐกิจประเทศเปราะบาง ผู้คนอ่อนไหว สังคมแตกแยกและไร้ซึ่งเสถียรภาพในทุกๆด้าน ถ้าไม่ทำอะไรเลย ท้ายที่สุด ประเทศไทยจะยืนอยู่บนเวทีโลกไม่ได้
สิ่งที่ประเทศไทยต้องเจอก็คือ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตซึ่งเป็นหลักในการสร้างความมั่งคั่งนั้น ติดอยู่บนกับดักที่ขึ้นไปข้างบนก็ไม่ได้ เพราะอุตสาหกรรมไทยไม่ได้พัฒนา หรือปรับโครงสร้างการผลิตให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ นั่นจึงทำให้เราแข่งขันด้วยเทคโนโลยีไม่ได้ ส่วนจะขยับลงล่างเพื่อสู้กับจีนและเวียดนามในเรื่องของค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าก็ไม่ได้ เพราะค่าจ้างแรงงานเราสูงกว่าแล้ว
ก็เหมือนนัทแครกเกอร์ที่ถูกบีบอยู่ตรงกลางทั้งบนและล่าง ขยับไปไหนไม่ได้ วันนี้เราจึงมีปัญหาเรื่องการส่งออก และถ้าไม่มีการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออกล่ะก็ ผมทำนายไว้เลยว่า ตัวเลขการส่งออกเราจะปรับลดลงเรื่อยๆ และท้ายสุดประเทศไทยจะสูญเสียตลาดส่งออกที่เราเคยเป็นเจ้าของไปหมด ถ้าไม่มีการปรับโครงสร้างทางการศึกษา และคุณภาพของคนเป็นสำคัญ
“คุณภาพคน” สร้างปัญหามากมาย
เรื่องของคน ทำให้ปัญหาลามเลียไปถึงโครงสร้างส่วนต่างๆของประเทศซึ่งรวมไปถึงการลงทุน ที่ทำให้เราฝืดเคืองอย่างหนัก ทุกวันนี้การลงทุนใหม่ไม่มี หรือมีก็ไม่มากพอจะสร้างนัยสำคัญทางเศรษฐกิจได้ ขณะที่เพื่อนบ้านมีการลงทุนที่มีสีสันบรรยากาศ ที่สำคัญการลงทุนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ใช่การลงทุนที่มีคุณภาพ
เราต้องการการลงทุนที่มี Knowlegde base มาขับเคลื่อนคน และถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการผลิตใหม่ๆ
ที่แน่ก็คือวันนี้เราไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีพอจะทำให้คนเข้ามาลงทุน นั่นสะท้อนให้เห็นถึงความถดถอยของขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวม
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีก 15 ปี อินโดนีเซียจะกลายเป็นประเทศที่รวยที่สุด 1 ใน 10 ของโลก ถ้ามองในแง่จีดีพี (รายได้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ) และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า กัมพูชา ลาว จะไม่ใช่ประเทศตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market อีกแล้ว คำถามคือ แล้วไทยเราจะอยู่ได้อย่างไร ขีดความสามารถในการแข่งขันเราจะอยู่ในระดับใด และวัดได้หรือไม่
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอีกเรื่องก็คือ ขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของประเทศไทยเราไม่เคยมีใครพูดถึง นั่นเป็นเรื่องน่ากลัว
ถ้าเราไม่ได้คิด หรือวางแผนไว้เลย และขีดความสามารถของประเทศในระยะยาวก็วัดกันตัวเดียวเท่านั้น คือ คุณภาพของคน คุณภาพของมนุษย์ในประเทศนั้นๆ
เมื่อพูดถึงคุณภาพของคน เราจะพบว่าประเทศไทยเราเจอปัญหา 2 อย่างพร้อมๆกัน เด้งที่ 1 คือ คนเราแก่ลง สังคมไทยกำลังเดินหน้าไปสู่สังคมสูงอายุ แต่หลายประเทศที่คุณภาพคนของเขาดี มีการศึกษาและการเรียนรู้ที่สูงขึ้น และยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไปข้างหน้าต่อไปได้ ต่อให้เขามีคนแก่เพิ่มขึ้น เขาก็อยู่ได้
เพราะคนรุ่นใหม่เขามีคุณภาพ มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี บางประเทศแม้จะดูเหมือนประเทศเขามีคนมากมาย เดินกันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แต่คนเหล่านั้นจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณภาพแน่นอน
ส่วนประเทศไทย โชคร้ายก็ตรงที่คนแก่ลง แต่คุณภาพคนรุ่นใหม่ลดลงตามไปด้วย มันจะสะท้อนภาพอนาคตอีกสิบปีข้างหน้าว่า คนแก่เราที่คาดว่าจะมีราว 20 ล้านคน มีเด็กราว 8 ล้านคน มีพลังของคนหนุ่มสาวขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ 35 ล้านคน จากที่มีอยู่ 43 ล้านคนวันนี้นั้น จะมีความสามารถในการแบกรับภาระคนแก่ได้ลดลง
อัตราการแบกรับภาระคนแก่จะลดลงตามลำดับจาก 8 ต่อ 1 คน เหลือแค่ 4 ต่อ 1 ในวันนี้ และจะเหลืออยู่แค่ 2 ต่อ 1 คนเท่านั้นในอนาคต มันจึงเป็นภาระอันหนักหน่วงของสังคมครับ เพราะฉะนั้น วันนี้เราเป็นอย่างไร วันหน้าเราก็จะได้อย่างนั้น เช่นกัน วันนี้เราสร้างคนไว้อย่างไร เราก็จะได้คนอย่างนั้น
ทิ้งความคิดเก่าสู่ความคิดใหม่
เราอาจรวยขึ้นจากประเทศที่เคยเป็น Low Income มาเป็น Middle Income แต่จะรวยขึ้นกว่านี้อีกไม่ได้เพราะติดกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลางด้วยการเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก ในเอเชียไทยเราเป็นประเทศที่เหลื่อมล้ำสูงสุด โดยเฉพาะคนรวยสุด 20% กับคนจนสุด 20% ซึ่ง ห่างกันมากเหลือเกิน
เมื่อความเหลื่อมล้ำสูงมาก สิ่งที่ตามมาด้วยไม่ใช่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้เท่านั้น ยังมีความเหลื่อมล้ำของโอกาสสูง และมีอภิสิทธิ์ชนที่สูงมาก 3 ปัจจัยนี้ ทำให้ไทยเป็นสังคมที่เสื่อมถอย เต็มไปด้วยความขัดแย้งสูง และไม่ Clean&Clear ไม่ Free&Fair ไม่ Care&Share ไม่สะอาดโปร่งใส ไม่ตรงไปตรงมา และไม่แคร์-ไม่เสียสละต่อกัน
สังคมเช่นนี้ ปล่อยต่อไปจะกลายเป็นสังคมที่เรียกว่า Fail State คือ สังคมที่ล้มเหลว
สิ่งที่ท้าทายก็คือ เราจะมีส่วนในการช่วยสร้างคนที่มีคุณภาพเพียงพอจะเปลี่ยนประเทศที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ การเอาเปรียบทางโอกาส และการมีแต่อภิสิทธิ์ชนได้อย่างไร ที่สำคัญจะทำอย่างไรให้ไทยหลุดพ้นกับดักต่างๆได้ แน่นอน ประเทศไทยจำเป็นต้องมั่งคั่งขึ้น แต่ความมั่งคั่งต้องไม่กระจุกตัวอยู่เฉพาะคนบางกลุ่ม สังคมต้อง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเอื้ออาทรต่อกัน
ผมอยากเรียนว่า การปฏิรูปประเทศ ไม่ใช่เรื่องของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หรือรัฐบาลเท่านั้น เพราะ สปช. และรัฐบาลเป็นแค่ตัวตั้งเรื่องให้ ถ้าการปฏิรูปไม่เกิดขึ้นในหมู่ของมวลชนคนไทย หรือได้รับการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยมวลมหาประชาชนแล้ว ผมไม่เชื่อว่ามันจะประสบความสำเร็จ

ทำไมเราต้องปฏิรูปประเทศ และเปลี่ยนแปลงตัวเองน่ะหรือ เหตุผลก็เพราะโลกเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกของความเป็นดิจิตอล ที่มี 2 อารยธรรมทับซ้อนกันอยู่ระหว่างโลกความเป็นจริงกับโลกเสมือนจริงในอินเตอร์เน็ต ฉะนั้น เด็กรุ่นใหม่จะต้องได้รับการเรียนการสอนเพื่อให้อยู่ในโลกที่มีวัฒนธรรมใหม่ของการดำรงอยู่ให้ได้
เมื่อบริบทของโลกเปลี่ยนไป







วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำไมต้องเปิดประชุมสมัชชา? ทำไมต้องที่ลาสเวกัส?

สส.สุนัย จุลพงศธร 

(บทความตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ในนครลาสเวกัส, สหรัฐอเมริกาปลายเดือนสิงหาคม2558) 



วันนี้ถ้าคนไทยคนใหนบอกว่าประเทศไทยสบายดีไม่มีปัญหาอะไร!! บอกได้เลยว่าคนไทยคนนั้นโกหก 
เพราะไม่เคยมีวิกฤติการเมืองอะไรในไทยที่เกิดขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันยาวนานถึง10ปีโดยเฉพาะเป็นวิกฤติการเมืองที่มีมวลชนจำนวนมากที่มีความเห็นแตกต่างกันเป็นสองฝ่ายเข้าร่วมต่อสู้กันเข้าร่วมด้วย 
วิกฤติตั้งเค้ารุนแรงจากกลุ่มพันธมิตรเมื่อปี2548 จนเกิดรัฐประหาร 19กันยา2549 และหลังจากนั้นก็เกิดการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายประชาชนที่มีความเห็นต่างในเรื่องประชาธิปไตยแบ่งสีแบ่งฝ่ายเป็นสีแดงสีเหลืองเชิงสัญญลักษณ์ และมีภาวะการก่อจราจลรุนแรงทั้งยึดสนามบิน ปิดกรุงเทพ ยิงปืนฆ่ากันตายกลางเมืองกันเห็นๆ วางเพลิงเผาอาคารสถานที่จนเกิดปรากฎการณ์ที่หายากในหลายประเทศคือในเวลา9ปีไทยมีนายกรัฐมนตรีถึง7คนและเฉพาะปี2551ปีเดียวเปลี่ยนนายกฯถึง4คน 

หากมองย้อนอดีตก็เคยมีวิกฤติแต่ไม่ยาวนานอย่างนี้และไม่มีลักษณะขยายวง 
กว้างอย่างนี้ 
เหตุการณ์ 14ตุลา2516 ก็เป็นเรื่องเผด็จการทหารเผชิญหน้ากับประชาชนและนักศึกษา แต่ก็ไม่ได้แบ่งฝ่ายความคิดเป็นเสื้อเหลืองเสื้อแดงอย่างทุกวันนี้ 
เหตุการณ์ 6ตุลาคม2519 แม้จะมีการแบ่งฝ่ายความคิดในหมู่ประชาชนและรุนแรงถึงขั้นฆ่ากันตายอย่างโหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ไม่ยาวนานถึง10ปีและก็ไม่ได้รุนแรงต่อเนื่องถึงขั้นยึดสนามบินปิดกรุงเทพอย่างทุกวันนี้ 
เหตุการณ์ 17พฤษภา2535 หรือพฤษภาทมิฬที่มวลชนลุกขึ้นล้มรัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร ก็ม้วนเดียวจบ และเป็นเรื่องเผด็จการทหารเผชิญหน้ากับประชาชน 


วิกฤติในช่วง10ปีนี้มิได้อยู่แต่เฉพาะกลุ่มการเมืองที่เห็นต่างแต่ยังได้ลากเอาสถาบันสำคัญที่ไม่เคยออกมาร่วมวงอย่างเปิดหน้าเล่นโดยแสดงตัวเป็นฝักฝ่ายกับเขามาก่อนเลยแต่วันนี้กลับไม่รักนวลสงวนตัวโดยแก้ผ้าเอากับเขาด้วยเต็มๆคือ"สถาบันตุลาการ"ถึงขนาดตัดสินลงโทษเป็น2มาตราฐานอย่างเห็นชัดๆเช่นคดีหมิ่นประมาทกันธรรมดาถ้าเป็นคนฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์หรือพวกเสื้อเหลืองเป็นจำเลยถ้าไม่ยกฟ้องก็รอลงอาญา แต่ถ้าเป็นคนฝ่ายพรรคไทยรักไทยหรือพรรคเพื่อไทยหรือพวกเสื้อแดงเป็นจำเลยด้วยข้อหาเดียวกันแล้วก็ติดคุกทุกคดีไม่รอลงอาญา 


อีกทั้งวิกฤติการเมืองที่กัดกร่อนประเทศจนถึงวันนี้ก็มีภาวะพิเศษที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนเลยคือภาวะการณ์สูญญากาศทางอำนาจแห่งประมุขรัฐ ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าในช่วงแห่งวิกฤตินี้ในหลวงในฐานะองค์พระประมุขทรงพระประชวรอย่างต่อเนื่องเกือบ10ปีแล้วและพระองค์ทรงประทับอยู่ในโรงพยาบาลที่นานที่สุดที่เคยเป็นมาและวันนี้อยู่ในภาวะที่ไม่อาจจะปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะประมุขแห่งรัฐอันเป็นปกติได้แล้ว จนเกิดการสงสัยอันไม่อาจจะกล้าพิสูจน์ความจริงว่าพระปรมาภิไธยที่ปรากฎบนกฎหมายก่อนการประกาศใช้ที่เป็นประจำทุกฉบับทุกวันนี้ที่จำเป็นต้องปรากฎพระปรมาภิไธยนั้น แท้จริงแล้วพระองค์ยังทรงลงพระปรมาภิไธยได้จริงหรือ? 
การรัฐประหารล่าสุดเมื่อ 22พฤษภาคม 2557 ที่หัวหน้าคือพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา สัญญากับประชาชนว่าจะขออยู่เพียงปีเดียวแล้วรีบคืนอำนาจให้ประชาชนก็โอละพ่อกลายเป็นไม่มีอนาคตว่าจะคืนอำนาจให้เมื่อใดรวมทั้งเกิดตัวแปร"โล้นสุเทพ"ประสานเสียงกับกลุ่มนักการเมืองที่เกลียดการเลือกตั้งก็ทำตัวเป็นผีรับส่วนบุญจากรัฐประหารสร้างเงื่อนไขไม่ให้ผีไปผุดไปเกิดแต่ให้กินบ้านกินเมืองอยู่นานๆด้วยการโพนทะนาว่า"ต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" 
สรุปคือระบอบปกครองไทยไม่มีทางออกแล้วและกำลังเข้าสู่พื้นที่ความเป็นรัฐล้มเหลวคือ"รัฐที่ไร้ระเบียบ"ที่พร้อมจะล้างแค้นกันด้วยอำนาจเถื่อนและอำนาจกดหมายที่"ย"หายไป 


ทางออกที่ดีที่สุดของผู้ที่ยังมีความสำนึกเป็นคนไทยและต้องพูดความจริงกับตัวเองว่าในภาวะวิกฤติไทยที่อยู่ในกลไกของระเบียบโลกใหม่นี้เรามีทางเดียวที่จะหาทางออกคือต้องใช้เหตุผลในกรอบ"ประชาธิปไตย"เท่านั้น 


คือต้องเปิดประชุมหารือกันบนพื้นฐานแห่งความเสมอภาคที่เราจะมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกันและมีเสรีภาพที่จะหาทางออกโดยไม่มีกฎหมายมาตรา112และ113ถึง116ข้อหากบฏมาบีบคอกัน 


แน่นอนที่สุด.....ทำในประเทศไทยไม่ได้ต้องทำในต่างประเทศ 
แน่นอนที่สุดต้องที่สหรัฐอเมริกา เพราะประเทศอื่นโดยเฉพาะในกลุ่มอาเซี่ยนภาคประชาชนอย่างเราก็ทำไม่ได้ด้วยเหตุอำนาจรัฐเหล่านั้นยังกริ่งเกรงเรื่องผลประโยชน์เฉพาะหน้าที่จะแลกกับรัฐเผด็จการไทยในเวลานี้และแต่ละรัฐก็ไม่มีบารมีแข็งแกร่งทางปรัชญาประชาธิปไตยเพียงพอเสมอเช่นสหรัฐอเมริกาที่จะเปิดทางให้ประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยสามารถทำได้ 


*นี้คืความเป็นจริงและความเป็นไปได้ที่จะต้องเปิดประชุมสมัชชาประชาธิปไตยประชาชนไทยขึ้นที่สหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก 
*นี้คือความเป็นจริงและเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะต้องจัดในต้นเดือนกันยายนเพราะเป็นเวลาที่แผลเน่าเฟะที่คสช.สร้างขึ้นซ้ำเติมวิกฤติไทยให้รุนแรงขึ้นเช่นกำลังจะขยายการยึดอำนาจด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญกำลังจะคลอด,การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองและการทหารที่รวมศูนย์อยู่ที่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกโดยพลเอกประยุทธ์ได้ปักใจแล้วว่าจะต้องเอาพลเอกปรีชาน้องชายในสายเลือดมาเป็นให้ได้โดยพร้อมจะแลกผลประโยชน์ทุกอย่างกับกลุ่มอำนาจทหารต่างๆที่ขอต่อรองด้วยการแจกตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อแลกผลประโยชน์ซึ่งการปรับครม.ก็จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 
*นี้คือความเป็นจริงที่เศรษฐกิจไทยกำลังเน่าเฟะและงบประมาณปีหน้ากำลังจะผ่านสภาทั้งๆที่เก็บภาษีปีนี้ไม่เข้าเป้าและปีหน้ายังต้องกันเงินซื้ออาวุธจากจีนอีกจำนวนมาก 


เราหวังว่าการเปิดประชุมสมัชชานี้จะเป็นทางออกทางหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นการเตือนสติพลเอกประยุทธว่าคนไทยผู้รักชาติรักประชาธิปไตยเขาไม่ได้นอนหลับดังนั้นโจรที่ปล้นประชาธิปไตยต้องรู้จักเกรงใจกันบ้าง 


ส่วนผลของการประชุมจะออกมาเบาหรือแรงอย่างไรนั้นเป็นอนาคตจากที่ประชุม 


แล้วทำไมต้องเป็นที่ลาสเวกัส? 
ก็บอกได้เลยว่าเส้นทางการเดินทางไปกลับลาสเวกัสสะดวกที่พักสะบายและไม่แพงเมืีอเทียบกับหลายๆเมืองเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวยิ่งจองสายการบินล่วงหน้ารับรองถูกกว่าบินในไทยด้วยเครื่องบินการบินไทยที่กำลังจะเจ๊งก็แล้วกัน 


ความลับที่สุดที่หวังไว้ว่าการประชุมจะประสบชัยชนะเป็นที่ชื่นชมของคนไทยทุกชั้นชนดังเช่นเมื่อ55ปีที่แล้วที่คนไทยทั้งประเทศและทุกคนพึงพอใจจากเมืองลาสเวกัสคือ นักมวยแชมโลกของคนไทยคนแรก,ชกในต่างประเทศป้องกันตำแหน่งเป็นครั้งแรกคือโผนกิ่งเพชร ชกที่เมืองนี้และชนะที่เมืองนี้คือชนะ ปาสคาลเปเรซ นักชกชาวอาเจนตินา เมื่อ 23กันยายน 2503 
ครบเดือน ครบปี ครบ55ปีพอดี 
ผมก็หวังกับเรื่องโชคลางบ้างคงไม่เป็นไรนะครับเผื่อจะถูกรางวัลที่1 โดยคสช.จะสำนึกบาปรีบคืนประชาธิปไตยให้ประชาชนโดยเร็วจากมติผลของการประชุมสมัชชานี้555///