จาก หนังสือพิมพ์ RED Power ฉบับที่ 28 เดือน
สิงหาคม 2555
โดย
ลุงชาญ
ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีความรู้
ความสามารถเสนอตัวเข้ามาให้คัดเลือกเป็นตัวแทน
เพื่อเข้ามาบริหารประเทศ
โดยใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้
เป้าหมายก็เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่
มีชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้งพัฒนาประเทศให้เจริญขึ้นตามลำดับ
แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรามีผู้นำเก่ง ๆ
ที่จะมาบริหารประเทศน้อยมาก คนแรกที่เก่ง
ต้องยกให้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นผู้ที่เรียนจบจากเมืองนอกมา
ได้เริ่มนำพาประเทศไทยได้ก้าวหน้ามาระดับหนึ่ง
แต่สุดท้ายก็ถูกใครไม่รู้เขี่ยกระเด็นจนไม่สามารถอยู่ในประเทศไทยได้
แต่ความเก่งของอาจารย์ปรีดี ก็ได้แค่แสดงความสามารถการบริหารด้านปกครอง
ด้านการเมือง และพยายามสร้างไทยให้เป็นไทจริง
ๆ โดยไม่ยอมอยู่ภายใต้คนฝรั่ง
ซึ่งสมัยนั้นฝรั่งได้เข้ามาเอารัดเอาเปรียบคนไทยหลาย ๆ ด้าน เช่น ขอสัมปทานการค้าทรัพยากรต่าง ๆ
ของไทย และที่ร้ายไปกว่านั้นคือไม่ยอมรับอำนาจศาลไทย
เมื่อทำการค้าเกิดความผิดก็จะไปขึ้นศาล ณ ประเทศของเขา อาจารย์ปรีดี
ก็ได้ต่อสู้จนฝรั่งต้องยอมรับบนความเสมอภาค
คนต่อมาเป็นทหารทำการรัฐประหาร
ตั้งตัวเองเป็นผู้บริหารประเทศโดยประชาชนมิได้เลือกมา
เขาเข้ามาบริหารประเทศโดยอาศัยอำนาจจากปลายกระบอกปืน ซึ่งผมจะไม่นำมาเอ่ยถึง เพราะสร้างผลงานตามระบบราชการ คือ
คอยฟังแต่ข้อเสนอของข้าราชการ และพ่อค้าคนจีนสมัยก่อน ที่เข้าหา และเสนอผลประโยชน์ร่วมกัน
คนที่ทำผลงาน
พอมีอยู่บ้างก็คงจะเป็น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
ปราโมช ที่ยังพอเหลียวมองประชาชน
คนรากหญ้าอยู่บ้าง
แต่สุดท้ายก็ยังคงรักษาผลประโยชน์ของพวกชนชั้นสูงอยู่นั่นเอง
ถัดมาก็เห็นจะเป็นนายก
พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งแม้ว่าจะมาจากทหาร แต่ก็มาจากการเลือกของประชาชน อีกทั้งเป็นนักเรียนนอก และครอบครัวก็เป็นนักธุรกิจกับเขาเช่นกัน จึงทำให้นอกจากเป็นผู้บริหารประเทศแล้ว ยังค้าขายให้กับประเทศได้ด้วย คำพูดอมตะของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ คือ
“จะเปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า”
แต่พอจะฉายแววคนเก่งของประเทศก็ถูกโค่นลงเหมือนคนก่อน
ต่อมาไม่นาน
เราก็ได้คนเก่งที่ชื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร
ไปเรียนจบปริญญาเอกจากต่างประเทศ
ผ่านการทำธุรกิจมาหลายอย่าง
ล้มลุกคลุกคลานบ้าง ประสบความสำเร็จบ้าง จนมีประสบการณ์มากมาย
ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จใหญ่หลวงจากธุรกิจดาวเทียม และการสื่อสาร เติบใหญ่เป็นมหาเศรษฐีรุ่นใหม่ จนเป็นที่อิจฉาของนักธุรกิจด้วยกันเอง
พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร
เมื่อประสบความสำเร็จด้านธุรกิจแล้ว
ก็ตั้งใจจะมอบความสามารถทั้งหมดเพื่อให้กับประเทศของเรา จนเป็นที่ยอมรับของประชาชน คนรากหญ้า
และเป็นที่ยอมรับจากนักการเมืองอีกจำนวนมาก จนเป็นที่อิจฉาของนักธุรกิจคนอื่น ๆ จนกลายเป็นศัตรูของนักการเมืองเก่าเป็นอย่างมาก ความเก่ง และความสามารถของท่าน ผมต้องขอกล่าวว่า เก่งแบบไม่มีบันยะ
บันยัง เก่งเกินหน้า เกินตาคนอื่น ๆ เขาเก่งจนล้น
เก่งจนเกินพอดี จึงเป็นเหตุให้
นายกทักษิณ ชินวัตร
ต้องอยู่ด้วยกันไม่ได้
จนเป็นที่มาของคำว่า “ไม่เอานะ
ระบบทักษิณ”
ต่อมาปัจจุบันนี้ เราได้นายกหญิง ชื่อ นายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ตอนโดดลงมาในสนามการเมืองใหม่ ๆ ก็ไม่เก่งสมบูรณ์ แต่พอเป็นนายกรัฐมนตรี
ประสบการณ์จากการเป็นนักบริหารที่เคยบริหารธุรกิจระดับพัน ๆ ล้าน และได้รับการเติมเต็มจากอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชาย และทีมงานการเมือง ตลอดจนทีมงานยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ขณะนี้จึงพูดได้ว่า
เป็นนายกหญิงที่มีสติปัญญาเต็มสมบูรณ์ทีเดียว
มีภาวะผู้นำ ชัดเจนเด็ดขาด เห็นได้จากการแต่งตั้ง ผบ.ตร. มาแล้ว 2 คน ไม่มีติดขัดอันใดเลย เสร็จสิ้นภายในเวลาอันรวดเร็วโดยไม่มีปัญหา
ถ้าหากนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
รักษาความเก่ง
ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความอ่อนโยน ความสุภาพ ให้คงเส้นคงวา ไม่ให้ขาด
ไม่ให้เกิน คนอื่น ๆ
ก็จะทำอะไรไม่ค่อยได้ ได้แต่ค่อนแคะ
และทำตาปริบ ๆ นั่งดู ยืนดู นอนดู
นายกหญิงคนเก่งคนนี้บริหารประเทศไปเรื่อย ๆ
ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ผมก็จะขอภาวนาให้นายกหญิง คนดี
คนเก่งของผม จงอยู่ยงคงกระพันตลอดไป ให้ครบเทอม และต่ออีกเทอม อีกเทอม ไปเรื่อย ๆ
เทอญ.......
สวัสดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น