ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 376 วันที่ 8-14 กันยายน พ.ศ. 2555
หน้า 11 คอลัมน์ กรีดกระบี่บนสายธาร โดย เรืองยศ จันทรคีรี
คาดหมายไม่ยากนักสำหรับการสัประยุทธ์ในวาทกรรมอุทกภัยระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้านจะต้องเกิดขึ้น
ซึ่งฝ่ายค้าน รวมไปถึงฝ่ายต่อต้านทุกแขนงไผ่ แม้แต่ฝ่ายที่เรียกว่า “อำนาจแฝง” หรือ
“อำนาจเร้นลับ” ก็ตาม
การเริ่มต้นของสงครามเห็นได้จากกรณีที่นายปราโมทย์ ไม้กลัด
อดีตอธิบดีกรมชลประทาน ออกมาโต้แย้งนายปลอดประสพ สุรัสวดี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กบอ.)
หรืออดีตอธิบดีกรมชลประทานอย่างนายกิจจา ผลภาษี ที่เสนอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี ปลดนายปลอดประสพออกจากประธาน กบอ.
โดยให้เหตุผลว่านายปลอดประสพไม่รู้เรื่องการบริหารจัดการน้ำ
เพราะในอดีตเป็นแค่อธิบดีกรมประมงและกรมป่าไม้
จึงเกิดวิวาทะร้อนแรงเรื่องการแก้ไขปัญหาอุทกภัยช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
วิวาทะสงครามน้ำยังไม่จบเพียงเท่านี้
ยังมีการตอบโต้รัฐบาลที่มีแผนให้ทดสอบการระบายน้ำ
โดยนายปลอดประสพเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องทดสอบประสิทธิภาพการระบายน้ำว่าเป็นอย่างไร
เพื่อรองรับอุทกภัยที่จะเกิดขึ้น ประเด็นแรกจะได้รู้ว่างบประมาณที่ให้ กทม.
ไปบริหารได้กระทำเสร็จหรือไม่ และถ้ามีปัญหาอย่างไรจะได้แก้ไขให้ดีขึ้น
รายการทดสอบนี้มีการสร้างวิวาทะอีกรอบ ทั้งจากฝ่ายนายปราโมทย์และ กทม. โดยเฉพาะ
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ให้สัมภาษณ์ว่าไม่เห็นด้วยในการทดสอบการระบายน้ำ
และอยากให้เลื่อนออกไปเป็นเดือนตุลาคมมากกว่า โดยให้เห็นผลว่าเนื่องจากช่วงวันที่ 5
และ 7 กันยายนที่จะทดสอบการระบายน้ำนั้นเป็นช่วงที่มีน้ำทะเลหนุนสูง
และอาจมีพายุเข้ามาด้วย จึงเสี่ยงที่จะสร้างปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนได้
กรณีนี้แม้รัฐบาลจะอธิบายว่าการระบายน้ำไม่มีปัญหา เพราะระบายเพียง 30% เท่านั้น
ถ้าเกิดปัญหาก็ระงับได้ทัน ส่วน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ในฐานะที่เป็นผู้บริหารสูงสุดของ
กทม. ย้ำว่าถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็ขอให้ฟังความเห็นของตัวเองเพียงคนเดียวเท่านั้น
ไม่ต้องฟัง กบอ. แม้จะออกมาแถลงว่าไม่มีปัญหาขัดแย้งกันแต่อย่างใดก็ตาม
ความจริงไม่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใดว่าปี 2555
นี้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจะเอาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งมาเป็นอาวุธโจมตีรัฐบาล
โดยคาดหวังจะต้อนให้รัฐบาลเข้ามุมอับ ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่เรื่องงบประมาณ 350,000
ล้านบาท เพียงอย่างเดียว
ความจริงแล้วรัฐบาลมีประสบการณ์การบริหารจัดการปัญหาอุทกภัยจากเมื่อปีที่แล้ว
ก็จะรู้ว่าอะไรเป็นจุดอ่อน จุดบกพร่อง และจุดแข็ง
แล้วจึงประมวลเป็นวิธีบริหารจัดการในปี 2555 ได้เป็นอย่างดี โดยสรุปจากบทเรียนเก่า
และแก้ไขข้อบกพร่องในเชิงประชาสัมพันธ์อย่างเป็นรูปแบบ เช่น
การจัดนิทรรศการเปิดเผยเรื่องการจัดนิทรรศการน้ำให้ประชาชนรับทราบ
เปิดเผยข้อเท็จจริงการป้องกันอุทกภัย การตั้งรับ ตลอดจนการฟื้นฟูและพัฒนาในระยะยาว
ซึ่งปีที่แล้วเห็นได้ชัดเจนว่าการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลด้อยประสิทธิภาพอย่างมาก
แต่งานประชาสัมพันธ์เพียงเท่านี้คงไม่พอที่จะตั้งรับสงครามทางการเมืองกับวาทกรรมน้ำ
เพราะบริบทการเล่นงานรัฐบาลคงมีทุกมิติ ทั้งในสภาและนอกสภา
รวมทั้งสงครามข่าวสารทั่วไป
ตั้งแต่หลังวันที่ 7 กันยายนเป็นต้นไปจึงจะเห็นชัดเจนว่าสงครามน้ำปี 2555
จะมีความกราดเกรี้ยวไม่แพ้ปีที่ผ่านมา
ทั้งจะเป็นบทเรียนนอกตำราที่ไม่มีในหลักสูตรใดๆอีกด้วย
เพราะการเมืองเรื่องน้ำศึกษาได้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นเอง
อีกทั้งยังเป็นการอวดภูมิรู้ที่แตกต่างกันอีกด้วย
ความยากของรัฐบาลจึงไม่ใช่เพียงการบริหารจัดการน้ำเท่านั้น
หากต้องบริหารบุคลากรที่มีความรู้ทั้งหลายให้สามารถบูรณาการร่วมกันได้อย่างไร
นอกจากการตีรันฟันแทงให้พินาศไปเพราะลุแก่อำนาจ
สงครามน้ำครั้งนี้จึงจะได้เห็นอำนาจแฝงอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง
และจะเปิดเผยตัวตนให้เห็นมากมายว่าใครเป็นใครในสงครามน้ำปีที่ผ่านมาและปีนี้
พรรคประชาธิปัตย์ต้องจับเรื่องนี้เป็นเกมสัประยุทธ์อย่างซับซ้อนและทุกมิติ
บางบริบทอาจเป็น “หลุมลึก” ที่อาจกลายเป็น “กับดัก” ให้รัฐบาลหลงทางได้ไม่ยาก
เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องระมัดระวังเป็นพิเศษมากกว่าปีที่ผ่านมา
ดังจะเห็นได้จากการฆ่าแกนนำในการเรียกร้องค่าชดเชยเรื่องน้ำที่อยุธยาเมื่อเดือนที่แล้ว
โดยเชื่อว่าแกนนำดังกล่าวมีความขัดแย้งกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จ่ายค่าชดเชยให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอย่างไม่ยุติธรรม
ความขัดแย้งระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับประชาชนอาจกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชนขึ้นมาได้
จึงเป็นไปได้ว่าหมากที่ซ้ำซ้อนจนแปรให้ “น้ำผึ้งหยดเดียว”
กลายเป็นวิกฤตนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
จึงเป็นอีกหลุมการเมืองที่รัฐบาลต้องระมัดระวังให้มาก
เรียกว่าประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เพราะสงครามน้ำปี 2555
จะเกิดขึ้นอย่างซับซ้อนและละเอียดอ่อนกว่าปีที่แล้วแน่นอน
ทั้งอาจกลายเป็นไม้ตายไม้หนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการหวังโค่นล้มรัฐบาลได้
ตลอดจนการสนับสนุนของแนวร่วมสารพัดกลุ่มที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ซึ่งสุดจะหยั่งคาดการณ์ได้
สงครามน้ำจึงจะมีไปอย่างต่อเนื่องและรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่รัฐบาลก็กำลังทำให้สถานการณ์สุ่มเสี่ยงที่ทดสอบการระบายน้ำโดยปล่อยน้ำเข้า
กทม.
สงครามครั้งนี้จึงอาจทำให้พรรคประชาธิปัตย์สร้างภาพ
สร้างสถานการณ์ขัดขวางการระบายน้ำผ่านคูคลองต่างๆ
ซึ่งถ้าทำจริงประชาชนก็จะเดือดร้อน แต่จะเป็น
“บูมเมอแรงที่ย้อนกลับมาหารัฐบาลอย่างเต็มเป้า”
ลูกโป่งอาจจะแตกตอนนี้ก็ได้!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น