Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ซีรี่ส์ 4)

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 376 วันที่ 8-14 กันยายน พ.ศ. 2555 หน้า 10 คอลัมน์ เพื่อชาติประชาชน โดย Pegasus



เราได้พูดกันถึงอำนาจระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์ว่า ประเทศในระบบเดียวกับเรามีรัฐธรรมนูญที่ต่างออกไปอย่างมาก เรื่องของฝ่ายตุลาการของเราก็ต่างจากต่างประเทศอย่างมาก โดยเรามีข้ออ้างว่ามีการปกครองแบบไทยๆ หรือแปลอย่างผู้รู้ก็คือ เราเป็นเผด็จการทหาร แต่แต่งตัวให้ดูดีว่าเป็นประชาธิปไตยตลอดมา

แล้วพวกข้าราชการ ทั้งทหาร ตุลาการ พลเรือน ก็ร่วมกับกลุ่มธุรกิจผูกขาดเกาะกิน เอารัดเอาเปรียบประชาชนด้วยนโยบายแรงงานราคาถูกตลอดมา จนคนเอาเปรียบร่ำรวยล้นฟ้าอย่างที่เห็นๆกันอยู่

ประเทศอื่นที่เขาเป็นประชาธิปไตยมากกว่าเราเขาก็เจริญเอา เจริญเอา ไม่หยุดยั้ง แม้มีปัญหาบ้าง ประชาชนเขาก็จัดการกันเองได้ไม่มีปัญหาอะไร

ส่วนของไทยเราต้องรอคนดี คนมีคุณธรรมเท่านั้น มิฉะนั้นทหารจะออกมายึดอำนาจ คนดี มีคุณธรรมเหล่านั้นก็คือ คนที่ฝ่ายเผด็จการ กลุ่มธุรกิจผูกขาด ปั้นขึ้นมาด้วยการโฆษณา ทำให้เป็นดารา ทำให้ดูเป็นคนดิบดีต่างๆนานา บางครั้งไม่น่าเชื่อแต่ก็ถูกล้างสมองให้เชื่อไปจนได้

วันนี้ขอพูดถึงสิ่งที่ควรจะมีในรัฐธรรมนูญสำหรับประชาชนอยู่ 2 ประการคือ เรื่องเสรีภาพและการมีส่วนร่วมทางการเมือง ซึ่งทั้ง 2 คำนี้รัฐธรรมนูญปี 2550 มีและโฆษณาว่าดีเลิศ แต่หากอ่านดีๆจะบอกว่ายกเว้นกฎหมายห้ามไว้ ฯลฯ เราก็เลยโดน “กระชับพื้นที่” จนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก ดูเหมือนจะออกมาในรูปที่ว่าอภัยโทษกันหมด ยกเว้นคนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บให้ถือว่าเป็นคราวเคราะห์ไป

เสรีภาพที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ได้แก่ เสรีภาพในการประกอบอาชีพ การแสดงความคิดเห็น การศึกษา การชุมนุมและสมาคม เรื่องอาชีพกับการศึกษานั้นเรื่องพื้นๆ แต่เรื่องการแสดงความคิดเห็น การชุมนุม และการสมาคม ทำไมถึงเขียนไว้แต่ทำไม่ได้ ดูดีแต่ไม่ใช่ ก็เพราะเขียนข้อยกเว้นไว้ว่าต้องแล้วแต่กฎหมาย คือหลอกไว้ว่ามี แต่ไปห้ามไว้ในที่อื่นนั่นเอง แต่ก่อนที่จะไปยกเลิกการห้ามไว้ในที่อื่นต้องทำให้เสรีภาพนี้มีขอบเขตกว้างขวางเสียก่อน ได้แก่ ใครจะทำอะไรก็ได้ตราบเท่าที่ไม่ไปทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น

เริ่มต้นจากการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อ ผ่านเว็บไซต์ ต้องยกเลิกการตรวจสอบทั้งหมด จะยกเว้นก็แต่เข้าข่ายหมิ่นประมาทก็ทำการฟ้องร้องได้ตามกฎหมายปรกติ แต่ห้ามปิดเว็บไซต์ ยกเว้นเว็บไซต์หรือสื่อมวลชนนั้นสนับสนุนแนวทางที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย เช่น บอกให้ทหารออกมายึดอำนาจได้ อย่างนี้ไม่มีใครกล้าปิด โดยอ้างว่าให้เสรีภาพ แต่ในเว็บไซต์ไม่มีเส้น พูดอะไรผิดปากนิดๆหน่อยๆตามปิดกันตลอด

เรื่องการชุมนุมก็เช่นกัน จะมีกฎหมายการชุมนุมก็ไม่ว่ากัน แต่ต้องไม่ห้ามการชุมนุม เพราะประชาชนจะตอบตัวเองได้ว่าควรมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มไหน จริงอยู่บางคนอาจเคยหลงผิดไปชุมนุม “ไล่ทักษิณ” แต่เมื่อความจริงปรากฏจะมาห้ามการชุมนุมอีกคงไม่ถูก ต้องปล่อยให้มีการชุมนุมได้ ใช้ที่สาธารณะได้ รัฐอาจต้องจัดหาให้ หากไม่สามารถจัดได้ที่ท้องสนามหลวงก็อาจยกเลิกสวนสัตว์ดุสิตแล้วให้ประชาชนไปชุมนุมบริเวณนั้นแทน มิใช่ไล่ให้ไปชุมนุมกันที่สวนจตุจักรเหมือนสมัย คมช.

อีกเรื่องที่สำคัญมากคือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ซึ่งส่วนหนึ่งคือยื่นรายชื่อเพื่อถอดถอน แต่ที่สำคัญกว่าคือ การควบคุมงบประมาณที่ลงไปในระดับอำเภอ ในส่วนของการปกครองส่วนภูมิภาค อบต. หรือ อบจ. ในส่วนของการปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีนี้ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยส่งตัวแทน อาจเป็นคณะกรรมการหมู่บ้านในทุกแห่งของพื้นที่อำเภอ อบจ. หรือ อบต. นั้นมาร่วมวางแผนตั้งโครงการ พองบประมาณในอีก 2 ปีตกลงมาก็มาร่วมบริหารโครงการ โครงการจะเป็นอย่างไร ลงทุนกันเท่าไร ประชาชนต้องรู้ทั้งหมด จากนั้นก็กำหนดให้ประชาชนกลุ่มอื่นไม่ใช่คนที่ร่วมบริหารโครงการเป็นผู้ตรวจรับงาน เช่น การสร้างถนนเข้าหมู่บ้านหรือถนนระหว่างอำเภอ ประชาชนต้องรู้ว่างบประมาณที่ใช้ไปคุ้มค่าหรือไม่ มีการจัดเวรเฝ้าดูว่ามีการเปลี่ยนขนาดของเหล็ก การผสมปูนหรือไม่ เป็นต้น เรื่องแบบนี้ประชาชนจบการศึกษาภาคบังคับทุกคนทำได้อยู่แล้ว ไม่ยากอะไร

เพราะประชาชนเป็นเจ้าของงบประมาณ หรือเป็นเงินของตัวเอง การบริหารงาน การตรวจงาน ย่อมมีประสิทธิภาพกว่าให้ส่วนราชการซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน มาเป็นผู้ตรวจงาน นอกจากการรับรองทางวิศวกรรมซึ่งเป็นเรื่องทางเทคนิค หากทำได้เช่นนี้การก่อสร้างต่างๆก็จะตรงกับความต้องการของประชาชน เพราะประชาชนเป็นผู้ตรวจสอบว่ามีการรั่วไหลหรือไม่ งบประมาณจะถูกใช้อย่างคุ้มค่า และการทุจริตก็เกิดขึ้นได้ยาก เท่านี้ประเทศชาติก็วิ่งฉิวแล้ว

เรื่องเสรีภาพที่ต้องเปิดกว้างกว่าเดิม และการมีส่วนร่วมในการบริหารงานโครงการต่างๆของรัฐ จะทำให้ประชาชนรักและหวงแหนประชาธิปไตย ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย การซื้อสิทธิขายเสียงก็เป็นไปได้ยาก ไม่ช้าประเทศไทยก็จะขาวสะอาด เป็นที่ยอมรับและน่าลงทุนจากต่างชาติ ประชาชนจะมีรายได้มากขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ซึ่งความสุขเช่นนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อยกเลิกระบบคุณธรรมและคนดีจอมปลอมรวมถึงประชาธิปไตยแบบไทยๆให้ได้เสียก่อนเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น