หัวข้อเดิม ขอแสดงความยินดีกับเบอร์
9 ล่วงหน้าแต่ผู้ชนะแท้จริงไม่ใช่เบอร์ 9
ผลการเลือกตั้งผู้ว่า
กทม. ไม่ว่าใครจะชนะ แต่ผู้ที่ชนะที่แท้จริง คือ ประชาชนเพราะช่วงเวลา 42
วันของการหาเสียงเลือกตั้งเป็น 42 วันที่ทำให้ประชาชนคนกรุงเทพฯตาสว่างมากยิ่งขึ้น
1.เป็นภาวะตาสว่างที่ส่องสว่างมาจากองกรค์อิสระ: กกต. ที่แสดงบทบาทควบคุมการเลือกตั้งได้แสดงบทบาทควบคุ้ม(ครอง)การเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์จนหมดความสงสัยดังเช่นกรณีคน
ปชป.จัดทำรูปภาพใส่ร้ายป้ายสี พล.ต.อ.พงศพัศ ว่าเผาบ้านเผาเมือง กกต.
เห็นตำตาแต่ก็ยังว่าไม่ผิด แต่กรณีหลายมหาวิทยาลัยทำโพลล์ตามหลักวิชาการวิจัยและทุกผลโพลล์
พงศพัศ เบอร์ 9 นำ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เบอร์ 16 มาตลอด ปชป.เกิดรำคาญใจจึงแจ้งความว่าเป็นโพลล์ชี้นำช่วยเบอร์
9, กกต.กลับให้สัมภาษณ์ปรามคนทำโพลล์ว่าอาจจะผิดกฎหมายได้ฟังดูแล้วทำให้คิดถึงผลคำพิพากษายุบพรรคที่ยุบพรรคได้ยุบพรรคดีโดยเฉพาะพรรคการเมืองฝ่ายทักษิณรวมทั้งพรรคต่างๆที่เข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับฝ่ายทักษิณจึงเกิดกรณีตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการพรรคทั้ง
111 คน, 109 คน , โดนกันถ้วนหน้าไม่ว่าพรรคไทยรักไทย, พรรคพลังประชาชน , พรรคชาติไทย
และพรรคมัชฌิมาธิปไตย แต่แม้ใครจะฟ้องพรรคประชาธิปัตย์อย่างไรศาลก็ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์
ขณะที่อ่านบทชี้นำนี้ผลการเลือกตั้งผู้ว่า
กทม.ออกมาแล้วถ้าพรรคเพื่อไทยชนะจริงตามโพลล์ก็ขอให้ฝ่ายชนะอย่าพึ่งดีใจอย่ามองข้ามฤทธิ์เดชของ
กกต.ที่อำมาตย์วางกลไกองค์กรอำนาจตามรัฐธรรมนูญไว้ตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน
2549 เพื่อใช้ลูกสมุนเฝ้าคอยฆ่าพรรคการเมืองที่ไม่เชื่อฟังระบอบอำมาตย์
เพราะอาจจะเจอลูกดอกอาบยาพิษเพิกถอนเบอร์ 9 หลุดจากตำแหน่งได้อีก,
ตำแหน่งนายกฯระดับประเทศก็เคยล้มมาแล้วแค่ระดับผู้ว่าฯจะมีอะไร แต่ถ้าเบอร์ 9
แพ้ก็เป็นไปตามความอาฆาตหมายของอิทธิฤทธิ์ของอำมาตย์ที่มีฤทธิ์เหนือโพลล์และเหนือประชาชน
2.เป็นภาวะตาสว่างที่ส่องสว่างมาจากตัวอำมาตย์ผู้ใกล้ชิด
:
พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำและเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยยุครัฐประหาร
19 กันยา 49 และศิลปินแห่งชาติ ประวัติจากวิกิพีเดียบอกชัดถึงฐานะความเป็นอำมาตย์ตัวเอ้ได้แสดงความเห็นชี้ชัดว่าการเลือกตั้งผู้ว่า
กทม.มิใช่การเลือกตั้งทั่วไปในระบอบประชาธิปไตยแต่เป็น “สงคราม” ระหว่างไทยกับพม่า
โดยเขียนบทความเผยแพร่ในเฟชบุคชื่อเรื่องว่า “สงครามชิงกรุงเทพ
: สงครามชิงเมืองไทย”ด้วยเนื้อความว่า
“ถ้าเลือกเบอร์ 9 เท่ากับเสียกรุงเทพฯให้แก่ข้าศึกศัตรู
ก็เท่ากับเสียเมืองไทยทั้งประเทศให้แก่ข้าศึกศัตรู”
โอ้...วจีสัจจะของท่านสว่างไสวจริงๆท่านแกนนำอำมาตย์!!!
3.เป็นภาวะตาสว่างที่ส่องสว่างมาจากพรรคประชาธิปัตย์เอง
:
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีทัศนะที่แสดงออกต่อสาธารณะหลายครั้งหลายหนคล้ายกับทัศนะตัวแทนอำมาตย์ใหญ่อย่าง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร และที่เด่นชัดที่สุดจากกระบอกเสียง
ปชป.คือ
“จะเลือกผู้ว่าเมืองหลวงหรือจะเลือกผู้ว่าเมืองขึ้น”
แค่นี้ก็สว่างไสวชัดเจนแล้วว่าฝ่ายอำมาตย์ทั้งขบวนเขามองระบอบประชาธิปไตยเป็นภาวะสงครามที่สร้างเงื่อนไขให้กลุ่มศัตรูคือพรรคเพื่อไพร่บุกเข้าเมืองได้เขาจึงประสานเสียงระดมยิงฝ่ายประชาไพร่จากป้อมปืนต่างๆของเขาอย่างไม่อายโลก
คงไม่ต้องถามว่าอนาคตประเทศไทยจะจบลงด้วยการปรองดอง
หรือ ปองร้าย หลังการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร
นี้คือเหตุผลสนับสนุนว่าผู้ชนะที่แท้จริงไม่ใช่ใครที่ไหน
แต่เป็นประชาชนเพราะภาวะตาสว่างของประชาชนคือภาวะที่ประชาชนได้ชัยชนะต่อการครอบงำความคิดของระบอบเผด็จการอำมาตย์ที่ใช้การเลือกตั้งเป็นเพียงโรงละครประชาธิปไตยที่เคยใช้ตบตาประชาชนอย่างได้ผลในอดีต.....แต่วันนี้อำมาตย์เกิดภาวะ
“วีนแตก” เก็บอาการไม่อยู่ 555555555
ยิ่งเลือกตั้งประชาชนยิ่งชนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น