เมื่อวันที่ 12 - 13 มี.ค.56 ที่ห้องพิจารณาคดี 504 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนชันสูตรพลิกศพคดี ช.13/2555 ที่พนักงานอัยการสำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของนายจรูญ ฉายแม้น ผู้ตายที่ 1 และนายสยาม วัฒนานุกูล ผู้ตายที่ 2 ถูกยิงเสียชีวิตหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ถ.ดินสอ ในเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ภายใต้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวกับกรณีนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น นายวสันต์ ภู่ทอง และนายทศชัย เมฆงามฟ้า ถูกยิงเสียชีวิต
2 ผู้ถูกยิงในคลิปขณะช่วยทหารเข้าเบิกความ ยันกระสุนมาจากทหาร
นายบดินทร์ วัชโรบล ช่างภาพอิสระจากสมาคมผู้บริโภคสื่อสีขาว ซึ่งบันทึกภาพและถูกยิงบาดเจ็บในเหตุการณ์ ซึ่งมีวิดีโอคลิปเผยแพร่ทางยูทูปด้วยนั้น เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุทราบว่าจะมีการสลายการชุมนุมโดยได้เข้าไปที่ชุมนุมของ นปช. ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ก่อน และเมื่อทราบจากประกาศของเวที นปช. ว่ามีทหารเข้ามาสลายการชุมนุมที่ถนนราชดำเนินจึงขับจักรยานยนต์ไปจอดที่หน้าเทเวศประกันภัย ถนนราชดำเนิน ในเวลา 17.00 น. เศษ ซึ่งขณะนั้นเริ่มมีการโปรยแก๊สน้ำตาลงมาจากเฮลิคอปเตอร์มายังเวทีผู้ชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าและรอบๆ
ใกล้เวลา 18.00 น. บนเวทีสะพานผ่านฟ้าประกาศว่ามีกำลังทหารและรถถัง พร้อมอาวุธครบมือมาถึงสี่แยกคอกวัว, สะพานปิ่นเกล้า, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พยานเดินไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก่อน เห็นทหารยืนประจันหน้ากับผู้ชุมนุม โดยทหารแถวหน้าถือโล่ อยู่ด้านหน้าแถวถัดไปด้านในจะมีสะพายปืนเอ็ม 16 ด้วยหลายชั้น และมีรถหุ้มเกราะตรง ถ.ดินสอ มุ่งหน้ามาทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งขณะนั้นมีทหารประมาณไม่ต่ำกว่า 300 นาย โดยพยานได้บันทึกภาพไว้ด้วย ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุม มีขวดน้ำ มีธง ไม่มีอาวุธปืนหรือมีด ไม่พบคนอื่นแปลกปลอม
นายบดินทร์ เบิกความต่อว่าหลังเคารพธงชาติ ทหารเปิดเพลงชาติ หลังจากนั้นมีรถหกล้อของแกนนำเข้ามา โดยมี พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เป็นแกนนำมาประจันหน้ากับทหาร โดยวิ่งมาจากทางสะพานผ่านฟ้า พร้อมพูดผ่านเครื่องกระจายเสียงบอกทหารด้วยว่า 'ให้ใจเย็นๆ เราพี่น้องกัน เป็นคนไทยด้วยกัน เราอย่าทำร้ายกันและกัน' และเปิดเพลงเสื้อแดง พยานจึงมีการถ่ายวีดิโอไว้ หลังจากนั้นทหารได้ยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าเป็นร้อยๆ นัด ซึ่งพยานอยู่ไกลไม่เกิน 10 เมตร และได้บันทึกทั้งภาพและเสียง โดยขณะนั้นยังไม่มีใครเจ็บหรือตาย หลังจากนั้นผู้ชุมนุมได้กว้างขวดน้ำไปยังแนวทหาร สักพักได้ยินเสียงระเบิด หลังแนวทหารและหลังรถหุ้มเกราะ มีสะเก็ดไฟ ตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอหลังจากนั้นไม่เกิน 10 วินาทีก็มีเสียงดังบริเวณนั้นอีกลูก โดยหลังระเบิดทหารถอยร่นไปทาง สะพานวันชาติ มีผู้ชุมนุมที่อยู่ด้านหน้าบางส่วนตามกลุ่มทหารเข้าไป แต่พยานยังอยู่จุดเดิมไม่กล้าเข้าไป โดยหลังเสียงระเบิดแล้วมีเสียงปืนบ้าง เสียงปืนนั้นมาจากทิศทางไหน พยานไม่ทราบ จึงยืนถ่ายจากด้านนอก
หลังจากนั้น เวลาประมาณ 19.00 น. เห็นมีคนหามคนตายจากด้านในถนนดินสอมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คนตายดังกล่าวศีรษะเปิด พยานได้ถ่ายรูปไว้ หลังจากนั้นเสียงปืนเริ่มเบา พยานจึงเดินเข้าไปดูสภาพด้านใน โดยเลาะด้านขวาถึงหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งตรงนั้นมีทางม้าลาย 2 จุด มีแสงไฟ ขณะยืนถ่ายรูปอยู่นั้นบริเวณหน้าประตูโรงเรียน ข้างหน้ามีคนนอนอยู่บนพื้นถนน 1 คน ซึ่งคิดว่าคงเสียชีวิต และทหารนอนเจ็บ 1 นาย โดยที่ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนจากแนวบริเวณสะพานวันชาติ และเมื่อพยานหันหน้าไปทางนั้น เห็นแสงไฟจากปืนยิงมาทางผู้ชุมนุมที่จะออกไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หลังจากนั้นพยานได้เดินออกไปตามหน่วยพยาบาลเพื่อมาช่วยทหารนอนบาดเจ็บอยู่ โดยพยานได้พบกับอาสาพยาบาลคนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลังว่า นายอิทธิกร ตันหยง จึงได้เข้ามาช่วยทหารคนดังกล่าวกับพยาน พร้อมด้วยผู้ชุมนุม 2-3 คนที่ตามมาช่วยด้วย โดยพยานเริ่มช่วยเหลือจากการพยายามแกะรองเท้าเจ้าหน้าที่ทหารคนดังกล่าวและเอาไม้มาดามขาทหาร ระหว่านั้นทางพยานและผู้ที่เข้ามาช่วยก็พยายามบอกทหารว่าอย่าพึ่งยิงมาทางที่เราอยู่ แต่ยังมีเสียงปืนจากแนวทหารเข้ามาอีก จนอิทธิกร ตันหยง ถูกยิงที่เท้า และกระสุนอีกนัดโดนที่ท้องของพยานเองด้วย
นายบดินทร์ เบิกความยืนยันว่ากระสุนที่โดนตัวเองและนายอิทธิกรนั้นมาจากฝั่งทหาร และหลังจากที่พยานถูกยิงจึงมีคนมาช่วยและพาไปส่งโรงพยาบาลและมีการผ่าตัดลำไส้ด้วย มีการเอ็กซเรย์พบกระสุนฝังอยู่หน้ากระดูกสันหลัง โดยปัจจุบันยังไม่ได้มีการนำเอาออก ซึ่งทั้ง รพ.ตากสินและ รพ.พระรามเก้าได้ออกใบรับรองแพทย์ โดยมีการส่งเอกสารดังกล่าวต่อศาลด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยให้การกับพนักงานสอบสวนมาแล้ว 2 ครั้ง
นายบดินทร์ เบิกความอีกว่า ฝั่งที่ทหารอยู่ไม่มีกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ ซึ่งบริเวณนั้นถูกควบคุมโดยทหารทั้งหมด รวมถึงบ้านที่อยู่อาศัยและอาคารที่อยู่ 2 ฝั่งถนนสตรีวิทยานั้นผู้ชุมนุมก็ไม่สามารถเข้าไปได้เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในการควบคุมของทหาร นอกจากนี้ก่อนได้ยินเสียงปืน ขอยืนยันว่าไม่ได้ยินเสียงทหารประกาศว่าจะใช้อาวุธปืนแต่อย่างใด
สำหรับผู้ที่อยู่ร่วมเหตุการณ์กับนายนายบดินทร์ คือ นายอิทธิกร ตันหยง นั้น ได้เดินทางมาเบิกความในวันถัดมาคือวันที่ 13 มี.ค. นายอิทธิกร เป็นอาสาสมัครของมูลนิธิศูนย์พญาอินทรี มีศูนย์ใหญ่อยู่ที่ถนนพัฒนาการ เบิกความว่าในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมทางศูนย์พญาอินทรีได้มีการให้เข้าไปตั้งเต็นท์อยู่ด้านหน้าเทเวศประกันภัย ถนนราชดำเนิน โดยเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปจะใส่ชุดฟอร์มของทางศูนย์และกระเป๋ายาจะมีเครื่องหมายกาชาด ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ไม่พบผู้ชุมนุมมีอาวุธ
สำหรับเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. 53 นายอิทธิกร เบิกความว่า 18.00 น. พยานได้รับแจ้งว่าทางศูนย์ฯ จะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปในที่ชุมนุมราว 18.00-19.00 น. เพื่อให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เนื่องจากทราบว่า ศอฉ. ประกาศว่าจะหยุดปฏิบัติการและนำกำลังพลกลับเมื่อฟ้ามืด ทางศูนย์ใหญ่จึงได้ประสานให้เข้าไปเพราะคิดว่าทหารน่าจะกลับไปแล้ว จากนั้นพยานจึงไปที่ศูนย์ที่พัฒนาการแต่เมื่อไปถึงราว 18.00 น. เศษ เจ้าหน้าที่ได้ออกจากศูนย์ไปแล้วพยานจึงขับรถยนต์ส่วนตัวตามไปที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศเอง แล้วไปจอดรถไว้ที่บาทวิถีหน้าวัดโสมนัสวิหารแล้วเดินเข้าทางถนนหลานหลวงระหว่างทาง เห็นเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่และมีการทิ้งแก๊สน้ำตาลงมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและสะพานผ่านฟ้าลีลาศซึ่งบริเวณนั้นมีผู้ชุมนุมอยู่เต็มพื้นที่ โดยพยานใช้ผ้าชุบน้ำปิดหน้าแล้วเดินต่อเพื่อที่จะไปคอกวัวผ่านเข้าไปที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่เมื่อถึงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีผู้ชุมนุมอยู่ในบริเวณนั้นหนาแน่นมากจึงไปต่อไม่ได้จึงอยู่ในบริเวณนั้น พยานได้เห็นว่าที่ถนนดินสอมีทหารอยู่เป็นจำนวนมากพยายามผลักดันผู้ชุมนุมอยู่มีการขว้างปาขวดน้ำใส่ทหาร โดยทหารพยายามจะเข้าไปในวงเวียนรอบอนุสาวรีย์แต่ผู้ชุมนุมไม่ให้เข้า และมีรถหุ้มเกราะจอดอยู่หน้าทางเข้าถนน 3 คันและยังมีจอดอยู่ข้างในอีก ทางด้านหลังรถหุ้มเกราะมีทหารอยู่หลายร้อยคน ทหารที่อยู่แถวหน้าสุดจะมีโล่กระบอง แถวหลังจะถือปืนลูกซองปากกระบอกชี้ขึ้นฟ้า แถวถัดไปอีกจะถือปืน M16 เล็งมาทางผู้ชุมนุม โดยขณะนั้นพยานอยู่หน้าทางเข้าถนนดินสอฝั่งตรงข้ามร้านแมคโดนัลด์ห่างจากแนวทหารไม่เกิน 10 เมตร พยานไม่เห็นว่ามีคนใส่โม่งหรือมีอาวุธอยู่กับผู้ชุมนุม ขณะนั้นยังท้องฟ้ายังไม่มืดจึงยังสามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้
นายอิทธิกร เบิกความต่อว่า ผู้ชุมนุมกับทหารผลักดันกันได้ซักพักมีรถประชาสัมพันธ์ 6 ล้อ เข้ามาที่บริเวณถนนดินสอและประกาศว่า “ทหารอย่าทำร้ายประชาชน ทหารกับประชาชนเป็นพี่น้องกัน อย่าทำร้ายกัน” และมีการเปิดเพลงด้วย หลังเพลงจบก็ได้มีเสียงปืนดังขึ้นจากทางฝั่งทหารเป็นการยิงทีละนัด แต่ยิงหลายนัดเป็นช่วงๆ ขึ้นฟ้า จากนั้นทหารมีการผลักดันผู้ชุมนุมรุกเข้าพื้นที่การชุมนุมทหารได้มีการยิงใส่ผู้ชุมนุมทำให้มีผู้รับบาดเจ็บพยานได้เข้าไปช่วยพาคนเจ็บออกมาและทำการปฐมพยาบาล 3 คน ซึ่งได้รับบาดเจ็บมีเลือดไหลออกเล็กน้อยคาดว่าจะได้รับบาดเจ็บจากกระสุนยาง ต่อมาได้ช่วยคนเจ็บอีกเป็นคนที่ 4 ซึ่งได้รับบาดเจ็บเป็นแผลฉกรรจ์ที่หน้าออกมีเลือดไหลออกมา และที่หลังมีปากแผลกว้างและมีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก พยานคาดว่าเกิดจากการถูกกระสุนจริงยิงจึงพาไปขึ้นรถกู้ชีพที่จอดอยู่ในบริเวณนั้น หลังจากนั้นจึงหลบที่ต้นไม้ใหญ่ที่หน้าทางเข้าถนนดินสอ ขณะที่กำลังช่วยคนเจ็บและหลบออกมาแล้วนั้นได้ยินเสียงปืนดังอยู่ตลอดจากทางฝั่งทหารเท่านั้นและได้เห็นแสงไฟจากปากกระบอกปืนของทหารด้วย
ต่อมามีเสียงระเบิดดังขึ้นที่บริเวณทางเข้าถนนดินสอและตรงรถหุ้มเกราะ 3 ครั้ง ทหารได้ถอยลึกเข้าไปในถนนดินสอ เมื่อทหารถอยเข้าไป มองไม่เห็นทหารแล้ว หลังเสียงระเบิดยังมีเสียงปืนดังอยู่เป็นช่วงๆ พยานได้เห็นมีคนลากคนเจ็บออกมา 4 คน ซึ่งทั้ง 4 คนไม่รู้สึกตัวแล้ว รถประชาสัมพันธ์ได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมกลับไปที่หน้าเวทีที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศผู้ชุมนุมจึงออกจากบริเวณนั้นไปจนเกือบหมดแต่มีผู้ชุมนุมบางส่วนเดินตามทหารเข้าไป ขณะนั้นพยานยังหลบอยู่หลังต้นไม้ที่หน้าทางเข้าถนนดินสอ เมื่อเสียงปืนเริ่มเงียบลงเพยานกำลังจะเดินกลับไปที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศได้มีนักข่าวคนหนึ่งมาจับแขนพยานไว้และบอกว่าข้างในถนนดินสอมีผู้ได้รับบาดเจ็บให้เข้าไปช่วยด้วยกัน ภายหลังทราบว่าคือนายบดินทร์ วัชโรบล
นายอิทธิกร เบิกความต่อว่า ในขณะที่เข้าไปในถนนดินสอได้ชูกระเป๋ายาซึ่งมีเครื่องหมายกาชาดขึ้นและตะโกนบอกว่าเป็นอาสาพยาบาลจะเข้าไปช่วยคนเจ็บ อย่ายิง เมื่อเข้าไปได้ราว 20 เมตร ถึงตรงบริเวณทางม้าลายหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาพยานเห็นทหารอยู่ในช่วงปลายถนนดินสอ เมื่อเดินเข้าไปถึงจุดที่มีคนเจ็บพบทหารได้รับบาดเจ็บขาหักนั่งพิงท้ายรถกระบะโดยหันหน้าไปทิศทางสะพานวันชาติ ขณะนั้นเห็นมีคนกำลังช่วยแกะเชือกรองเท้าให้อยู่ พยานจึงไปหาไม้มาดามขาที่หัก พยานเข้าไปช่วยดามขาให้ทหารนายนั้นโดยพยานนั่งหันหลังให้โรงเรียนสตรีวิทยา ด้านซ้ายของพยานหันไปทางสะพานวันชาติ ระหว่างที่ปฐมพยาบาลให้ทหารนายนั้นอยู่ก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จากทางกลุ่มทหาร จึงหันมองไปตามทิศทางของเสียง ไม่นานนักมีเสียงปืนดังขึ้นครั้งที่ 2 พยานจึงถูกยิงเข้าที่หลังเท้าข้างซ้ายแล้วจึงกระโดดหลบไป มีเสียงปืนดังขึ้นตามมาอีกหลายนัดจากทางกลุ่มทหารจึงได้เอาตัวชิดกำแพงเดินเขย่งเท้ากลับออกไปและได้มีคนมาช่วยพาเขาออกไปขึ้นรถพยาบาลที่จอดอยู่ทางเข้าถนนดินสอและถูกนำส่งโรงพยาบาลตากสิน ในช่วงที่เข้าไปในถนนดินสอกับนายบดินทร์นั้นนายบดินทร์ได้บันทึกภาพเอาไว้ตลอดด้วย
เมื่อถึงโรงพยาบาลแพทย์ได้ทำการผ่าตัดเอาหัวกระสุนที่ฝังออกกระดูกหลังเท้าแหลกหายไปบางส่วนทำให้เท้าเสียรูป แพทย์ได้บอกว่ากระสุนที่ฝังอยู่เป็นกระสุนปืน M16 พยานจึงได้ขอกระสุนและฟิล์มเอ็กซเรย์กับแพทย์แต่แพทย์ไม่ได้ให้มา ได้ทำการรักษาที่โรงพยาบาล 40 กว่าวันและกลับบ้านมาพักรักษาตัวอีก 8 เดือน ปัจจุบันยังเจ็บเท้าอยู่ตลอด และนางสุภานันท์ ตันหยง ภรรยาของพยานได้เข้าแจ้งความกับตำรวจด้วยว่าพยานถูกยิง และได้เข้าให้การกับพนักงานสอบสวนและ DSI ด้วย ในภายหลังเขาทราบด้วยว่านายบดินทร์ที่เข้าไปในถนนดินสอด้วยกันก็ถูกยิงที่ท้องเช่นกัน
นายอิทธิกร เบิกความยืนยันด้วยว่าในวันเกิดเหตุนั้นไม่พบชายชุดดำและไม่พบว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธ มีเพียงขวดน้ำ โดยก่อนเข้าพื้นที่ชุมนุมได้มีการตรวจค้นผู้ชุมนุมก่อน ทนายญาติผู้ตายได้ถามนายอิทธิกร ว่าตอนที่เห็นทหารทำการยิงเป็นการยิงในลักษณะท่าทางใด นายอิทธิกร เบิกความว่าเห็นเล็งมาทางผู้ชุมนุมในแนวระนาบตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นมา ถ้ายิงถูกก็อาจทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิต
นายอิทธิกร เบิกความด้วยว่า ในถนนดินสอยังมีแสงสว่างจากไฟถนนอยู่และกระเป๋าของเขากว้างราวกระดาษ A4 เครื่องหมายกาชาดมีขนาดใหญ่ ดังนั้นทหารจึงสามารถเห็นได้ โดยการยิงของทหารมายังพยานเป็นการยิงมุ่งเอาชีวิตเพราะมีการยิงไล่ซ้ำมาอีก และการใช้อาวุธปืนของทหารนั้นก่อนใช้ไม่มีการประกาศเตือนก่อนด้วย สำหรับบ้านทรงไทยที่อยู่ตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยานั้น ยืนยันไม่มีผู้ชุมนุมเข้าไปอยู่ในนั้นและไม่เห็นว่าในบ้านมีคนอยู่
บุตรสาวของนายจรูญ เบิกความพ่อถูกยิงตายขณะเข้าช่วยทหาร
น.ส.นงลักษณ์ ฉายแม้น บุตรสาวของนายจรูญ ฉายแม้น เบิกความว่า เข้าร่วมชุมนุมกับครอบครัวตั้งแต่เดือน มี.ค.-เม.ย.2553 โดยสวมเสื้อยืดสีแดง ก่อนเข้าชุมนุมจะมีการตรวจค้นอาวุธ ระหว่างการชุมนุมไม่มีการปราศรัยชักชวนให้ทำลายทรัพย์สินทางราชการ และเคยไม่เห็นชายชุดดำปะปนอยู่กลุ่มผู้ชุมนุม โดยส่วนใหญ่สวมแต่เสื้อสีแดง ในวันเกิดเหตุ พยานไปร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์ตั้งแต่ 09.00 น. ส่วนพ่อตามมาเวลาประมาณ 10.00 น. และอยู่ด้วยกันจนถึงเวลาประมาณ 18.00 น. พยานจึงกลับบ้าน ส่วนพ่อกับแม่และน้ายังอยู่ที่หน้าเวทีราชประสงค์
กระทั่งเวลา 20.00 เศษ น.ส.สุปราณี บุญเนา น้าสาว โทรศัพท์มาถามว่าอยู่กับพ่อหรือเปล่า และบอกให้ใจเย็นๆ แล้วให้มาที่รพ.กลาง พยานจึงไปกับน้องสาว เมื่อไปถึงก็ทราบว่า พ่อบาดเจ็บสาหัสอยู่ชั้น 9 พยานขึ้นไปก็พบพ่อเสียชีวิตแล้ว และเห็นบาดแผลถูกเย็บปิด แต่ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร ในวันรุ่งขึ้นจึงมารับศพพ่อไปประกอบพิธีทางศาสนา หลังจากนั้นได้พบกับนายไพบูลย์ อดีตเจ้าหน้าที่ธนาคาร บอกพยานว่า ไปร่วมชุมนุมอยู่หน้า ร.ร.สตรีวิทยา ใกล้กับพ่อ ขณะนั้นมีการปะทะกันระหว่างผู้ร่วมชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ทหาร แต่ผู้ร่วมชุมนุมไม่มีอาวุธ นายไพบูลย์เป็นคนให้พ่อไปช่วยทหารที่ได้รับบาดเจ็บ แต่พ่อถูกทหารยิงล้มไปหน้า ร.ร.สตรีวิทยา หลังจากพ่อเสียชีวิตก็ไม่ได้ติดตามข่าวใดๆ จึงไม่ทราบสาเหตุของการปะทะกัน
นางบุญนำ ตาเวียง พี่สาวของนายสยาม เบิกความว่า น้องชายเคยเข้าร่วมชุมนุมตั้งแต่ปี 2549 ส่วนพยานเข้าร่วมชุมนุมตั้งแต่เดือน มี.ค.-พ.ค.2553 โดยประจำอยู่ในเต็นท์ของพัทยาที่เวทีสะพานผ่านฟ้า ส่วนใหญ่ผู้ชุมุนมจะสวมเสื้อสีแดงและไม่มีอาวุธ ตลอดการชุมนุมก็ไม่เห็นชายชุดดำแต่อย่างใด ทุกครั้งที่เข้าร่วมชุมนุมจะไม่ได้อยู่จุดเดียวกับน้องชาย เพราะอาศัยอยู่กันคนละที่จึงแยกกันมา แต่จะโทร.คุยกันตลอด วันเกิดเหตุ พยานอยู่ที่เต็นท์ของพัทยาที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศตั้งแต่เช้า เพราะทราบว่าทหารจะเข้ามาสลายการชุมนุม จึงโทรศัพท์นัดกับน้องชายว่าตอนเย็นเจอกัน และพี่สาวอีกคนจะไปนอนด้วย เวลาประมาณ 14.00 น. พยานไปอยู่ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ก็เห็นทหารเดินเข้ามาจากทั้ง 2 ด้าน ประมาณหลายร้อยนาย แลประกาศให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ แต่ผู้ชุมนุมไม่ยอม จึงมีการผลักดันกัน ทหารใช้โล่และกระบองดันผู้ชุมนุม แต่ไม่มีการทำร้ายกัน และไม่เห็นชายชุดดำ ส่วนผู้ชุมนุมก็ไม่มีอาวุธ มีเพียงขวดน้ำ
นางบุญนำ เบิกความต่อว่า สักพักทหารโยนแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม และเกิดเหตุการณ์ชุลมุน ก่อนที่ทหารจะถอนกำลังกลับ กระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น. มีเฮลิคอปเตอร์ขับวนอยู่หลายรอบ และมีผู้ร่วมชุมนุมจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศวิ่งมาบอกว่า มีการโยนแก๊สน้ำตาลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ เวลาประมาณ 18.00 น. บนเวทีประกาศว่า ทหารจะเข้ามาทาง ถ.ดินสอ ให้ผู้ชุมนุมชายรวมตัวกันที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ พยานจึงไปยืนอยู่หน้าเวที สักพักมีรถติดเครื่องขยายเสียงของ นปช. ขับไปจอดอยู่หน้ารถถังของทหารที่จอดอยู่หน้าร.ร.สตรีวิทยา ตรงวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขณะนั้นเห็นรถสายพานลำเลียงประมาณ 2-3 คัน จอดเรียงกันตาม ถ.ดินสอ และเห็นทหารประมาณหลายร้อยคน ด้านหน้าจะถือโล่และกระบอง ส่วนทหารที่ยืนอยู่บนรถถังจะถืออาวุธปืนยาว พยานจึงไปร้องรำทำเพลงร่วมกับผู้ชุมนุมคนอื่น แต่เพลงยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาจากฝั่งทหารเป็นการยิงจากปืนกระบอกเดียวแบบทีละนัด เวลา 19.00 น. เศษ ได้ยินเสียงปืนรัวเป็นชุด พยานจึงก้มหมอบลงกับพื้น บริเวณโค้งวงเวียนหัว ถ.ดินสอ ตรงข้ามร้านแมคโดนัลด์ สักพักเห็นผู้ชุมนุมบาดเจ็บจากการถูกยิงถูกหามขึ้นรถพยาบาล 2 คน แต่ทราบว่าก่อนหน้านี้มีอีกหลายคนที่ถูกนำส่ง รพ.แล้ว
พยานเบิกความอีกว่า กระทั่งเวลา 20.00 น. เศษ ได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิด 2 ครั้ง หน้าร.ร.สตรีวิทยา ที่ทหารประจำการอยู่ โดยบนเวทีประกาศว่า ทหารถอยไปแล้ว จากนั้นมีผู้ชุมนุมควบคุมตัวทหารที่สะพายอาวุธปืน 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนขึ้นไปบนเวที และมีการนำศพผู้ชุมนุมขึ้นไปบนเวทีด้วย ขณะนั้นไม่ทราบว่าน้องชายอยู่ที่ใด แต่คิดว่าชุมนุมอยู่ที่ราชประสงค์ กระทั่งวันที่ 11 เม.ย. พี่สาวชื่อนางปราณีต กลับเพียร ที่จะไปนอนกับน้องชาย ติดต่อน้องชายไม่ได้ จึงออกตามหาที่รพ.ต่างๆ และไปเห็นรูปถ่ายศพของน้องชายแปะอยู่ที่รพ.กลาง พยานและพี่สาวจึงเข้าไปดูก็พบศพน้องชาย ทราบจากตำรวจที่รพ.กลางว่า น้องชายถูกยิงกระสุนฝังใน บริเวณ ถ.ดินสอ หน้า ร.ร.สตรีวิทยา หลังจากนั้นได้รับการติดต่อจาก น.ส.ศิริพร เมืองศรีนุ่น ทนายความ บอกให้ไปดูคลิปเหตุการณ์วันเกิดเหตุ ในคลิปเห็นน้องชายขณะยังไม่เสียชีวิต สวมเสื้อยีนส์แขนยาวยืนอยู่หน้า ร.ร.สตรีวิทยา ใกล้กับจุดที่นายวสันต์ ภู่ทอง ถูกยิงล้มลง และน้องชายเดินถอยออกมาจากจุดที่มีคนยืนมุงกันอยู่ จากนั้นก็ไม่เห็นน้องชายแล้ว โดยก่อนสลายการชุมนุม เจ้าหน้าที่ไม่ได้ประกาศเตือนว่าจะใช้อาวุธปืนกับผู้ชุมนุมแต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น