เรื่องจากปก โดยกองบรรณาธิการ
RED
POWER ฉบับที่ 34 เดือน มีนาคม 2556
23 กุมภาพันธ์
2556 ครบ 22 ปี ของการรัฐประหาร รสช. ล้มรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
สิ่งที่ระบอบอำมาตย์โกรธรัฐบาลชาติชายมากที่สุดคือ การสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง
แต่ที่อ้างว่าเป็น “บุฟเฟ่ต์ คาบิเนต”
นั้นเป็นเรื่องแถระดับชาติ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการรัฐประหาร
19 กันยายน 2549 ล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
และสิ่งที่ระบอบอำมาตย์โกรธรัฐบาลทักษิณมากที่สุดคือ การสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ
แต่ที่อ้างว่าเป็น “ฟาสต์ฟูด คาบิเนต” นั้นเป็นเรื่องแถระดับชาติเช่นเดียวกันซึ่งแถกันมานานกว่า 50 ปี แล้ว
ทำไมการสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังกับการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิจึงเป็นเรื่องที่อำมาตย์ไม่ชอบ?
ตอบตรงๆชัดๆคือ
“ทำให้ประเทศไทยเจริญเร็วไป”
ถามต่อว่า
“
เจริญเร็วไปแล้วบ้านเมืองเสียหายอะไร ? ”
ตอบตรงๆชัดๆว่า
“บ้านเมืองไม่เสียหายแต่ตัวกูเสียหาย
เพราะเมื่อบ้านเมืองเจริญแล้วทำให้คนฉลาด ตัวกูจะอยู่ยาก
เพราะประชาชนจะไม่ยอมให้กูกดขี่”
โดยเนื้อแท้แล้วท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังกับสนามบินสุวรรณภูมิ
เปรียบได้กับเสากระโดงเรือที่ชูธงโลกาภิวัฒน์ให้เห็นเด่นไกล
แต่เนื้อแท้คือโครงสร้างของรัฐจะต้องเปลี่ยนไปตามความสูงของเสากระโดงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ทันทีที่เกิดท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังสิ่งที่ตามมาก็คือ
นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ล้อมรอบท่าเรือและการพัฒนาอุตสาหกรรมภาคตะวันออกที่เติบใหญ่ขึ้นทั้งหมด
การขยายตัวของระบอบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีของไทยซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับทุนนิยมขุนนางผูกขาดของระบอบอำมาตย์
แล้วไม่นานหลังเปิดท่าเรือ รัฐบาลพลเอกชาติชาย ก็ออกกฎหมายปริวรรตเงินตราให้เงินบาทเป็นเงินสกุลของโลกเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
แล้วนั่นก็คือสัญญาณอันตรายที่อำมาตย์ไม่อาจจะยอมได้ต่อไป
การรัฐประหารจึงเกิดขึ้นบนเครื่องบินเวลากลางวันเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534
ขณะที่พลเอกชาติชาย
มีหมายกำหนดการบินไปเชียงใหม่เพื่อจะไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะแปรพระราชฐานไปประทับที่จังหวัดเชียงใหม่
ทันทีที่เกิดสนามบินสุวรรณภูมิสิ่งที่ตามมาก็คือ
เมืองอุตสาหกรรมใหม่ล้อมรอบสนามบินและเชื่อมโยงกับนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกและเนื้อแท้ของสนามบินใหม่ขนาดใหญ่ก็คือ
การขยายตัวต่อยอดจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมส่งออกคือ การผลิตภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศในสายพานของระบบโลกาภิวัฒน์และกรุงเทพฯก็จะกลายเป็นมหานครของโลก
ไม่ต่างอะไรจากลอนดอน, นิวยอร์ก หรือสิงคโปร์ นั้นเอง
และเมื่อจะเริ่มเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ
ตัวสนามบินนั้นเองจึงกลายเป็นสัญญาณอันตรายที่อำมาตย์ไม่อาจจะยอมได้ต่อไป การรัฐประหารจึงเกิดขึ้นในขณะที่
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ที่สำนักงานสหประชาชาติเตรียมจะขึ้นกล่าวในฐานะตัวแทนประเทศไทยเมื่อวันที่
19 กันยายน 2549 เป็นเวลาก่อนจะถึงกำหนดการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 9 วัน
(สนามบินสุวรรณภูมิ เปิด 28 กันยายน 2549)
และสนามบินสุวรรณภูมิก็เป็นเป้าหมายการโจมตีจากคณะรัฐประหารและลูกสมุนว่าเป็นความเลวร้าย
ซึ่งไม่ต่างอะไรจากท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังที่ถูกโจมตีจากคนในของระบอบอำมาตย์ว่าเป็นความเลวร้ายอย่างยิ่ง
เพราะทำให้ชาวนาต้องขายที่นาเพื่อไปสร้างนิคมอุตสาหกรรม
จากความเป็นจริงของโครงสร้างการเมืองเผด็จการระบอบอำมาตย์ที่คอยขัดขวางการพัฒนาและความเจริญของระบอบทุนนิยมเสรีและระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม
ด้วยเพราะการพัฒนาให้รัฐเกิดความเจริญอย่างรวดเร็วตามการเคลื่อนตัวของระบอบโลกาภิวัฒน์นี้เป็นการทำลายระบอบอำนาจโบราณและโครงสร้างวัฒนธรรมโบราณที่ครอบงำความคิดประชาชนไว้ให้งมงายและกลายเป็นฐานอำนาจทางการของระบอบอำนาจโบราณนี้
จึงเป็นความล้าหลังที่เปรียบได้เสมือนระบอบการเมืองเศรษฐกิจยุคไดโนเสาร์ที่โลกได้เคลื่อนตัวผ่านยุคนั้นไปแล้ว
แต่บังเอิญยังมีสภาพแวดล้อมบางแห่งที่หลบหูหลบตามนุษย์โลกทำให้ยังมีไดโนเสาร์หลงเหลืออยู่บนโลกนี้
(ตามความฝันของนักสร้างภาพยนตร์บางคนที่พยายามจินตนาการ)
ด้วยเหตุที่โครงสร้างอำนาจทางการเมืองและการทหารของไทยเป็นเช่นนี้
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญต่อสิ่งนี้ ซึ่งแน่นอนเหลือเกินว่าจะกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการวางแผนปรับปรุงโครงสร้างการขนส่งทั้งระบบด้วยเงินทุน
2 ล้านล้านบาท ที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคม
เงินกู้
2 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นอภิมหาโปรเจกนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนเรียกร้องให้รัฐบาลไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดควรต้องทำภายใต้ภาษาไทยใหม่ที่ทุกคนคุ้นหูว่าผู้นำรัฐควรต้องมีคือ
“วิสัยทัศน์” นั่นคือเราอยากจะเห็นอนาคตของการพัฒนารัฐไทยว่าควรเป็นเช่นไร
แน่นอนที่สุดวันนี้จากคำสัมภาษณ์ของ
ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ซึ่งถือเป็นแม่งานใหญ่ของอภิมหาโปรเจกนี้ย่อมทำให้เราเห็นได้ว่าภายใน 7 ปี
นับแต่นับหนึ่งประเทศไทยจะเกิดการก้าวกระโดดทางการพัฒนาจากประเทศล้าหลังสู่ประเทศก้าวหน้าหรือจากประเทศกำลังพัฒนาก้าวกระโดดไปเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างแน่นอน
ด้วยระบบการขนส่งที่ทันสมัยและเป็นประเทศศูนย์กลางการพัฒนาของโลกไม่เฉพาะอาเซียนแต่จะครอบคลุมทั้งเอเชียใต้และแน่นอนที่สุดคุณภาพชีวิตของคนไทยจะก้าวหน้ากระโดดไปสู่คุณภาพชีวิตใหม่ที่อยู่ดีกินดีมีค่าแรงสูง
และเมื่อถึงวันนั้นโครงสร้างระบอบทุนผูกขาดของเหล่าอำมาตย์จะต้องพังทลายเพราะไม่อาจจะทนพลังคลื่นเศรษฐกิจใหม่ของระบอบทุนเสรีที่จะไหลบ่าเข้าสู่ประเทศไทย
เนื่องจากจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการพัฒนาท่าเรือฝั่งตะวันตก (ท่าเรือทวาย)
เสร็จสิ้นและเปิดใช้รวมทั้งการพัฒนาเมืองใหม่ชายทะเลรอบอ่าวไทยด้วยการถมทะเลก็จะเกิดสัมฤทธิ์ผลเชื่อมโยงเข้ากับระบบการขนส่งใหม่ของรถไฟความเร็วสูงจากเหนือเชื่อมอีสาน
– กรุงเทพฯ – ภาคตะวันออก และภาคใต้
หลับตามองภาพแล้วนึกไม่ออกจริงๆว่าระบอบไดโนเสาร์ที่ล้าหลังจะหลบอาศัยอยู่
ณ ที่ใด ใน 7 ปีข้างหน้า
รัฐบาลไม่เดินหน้าโครงการแห่งอนาคตนี้ก็ไม่ได้
แต่หากเดินหน้าไปอันตรายที่ไดโนเสาร์จะขี่รถถังออกมาก็มีโอกาสสูงยิ่ง
ขอให้กำลังใจรัฐบาลและขอเสนอแนะให้รัฐบาลต้องเตรียมการป้องกันอันตรายจากไดโนเสาร์ด้วยการจัดตั้งและทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อให้ประชาชนเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กปกป้องรัฐบาลนี้ประการหนึ่ง,
อีกประการหนึ่งรัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับฝูงไดโนเสาร์ที่ถือปืนคอยทำตามคำสั่งเพื่อให้ยอมรับแนวทางการพัฒนาของโลกและจะต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าไดโนเสาร์จะไม่สูญพันธุ์และจะมีที่อยู่อย่างสบาย
เพียงแต่จะออกอาละวาดตามอารมณ์อย่างทุกวันนี้ไม่ได้เท่านั้น
เดินหน้าเถอะครับรัฐบาล
ถึงเวลาแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น