จาก กองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ RED Power ฉบับที่
28 เดือน
สิงหาคม 2555
ผู้หญิง กับ คำว่า “แม่”
แยกจากกันไม่ได้ เพราะเป็นเพศของผู้ที่ให้กำเนิดลูก
ต้องอดทนทั้งความเจ็บปวดทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรักที่มีต่อ “ลูก” เป็นความรักที่ลึกซึ้ง
เสียสละและทุ่มเท เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการปกป้องคุ้มภัยให้ลูก อันเป็นสัญชาติญาณของผู้หญิงที่เป็นเพศแม่
ซึ่งจะหาสิ่งใดมาเทียบเทียมไม่ได้ การแสดงบทบาทของแม่ จึงมีภาพสะท้อนจากชีวิตจริงไปสู่นวนิยาย
วรรณกรรมและวันสำคัญของชาติแต่ใครเล่าจะเล่าขานความเจ็บปวดของแม่ที่สูญเสียลูกด้วยการใช้อำนาจทางการเมืองที่ไม่เป็นธรรมเฉกเช่น
นางพเยาว์ อัคฮาด แม่ของน้องเกด หรือนางสาวกมลเกด หรือนางสาวกมลเกด อัคฮาร์ด
พยาบาลอาสาผู้เสียชีวิตในวัดปทุมด้วยคมกระสุนของทหารที่ซื้ดด้วยเงินภาษีประชาชน
และถูกปฏิเสธความรับผิดชอบจากราชการมานานกว่า 2 ปี ในโอกาสวันแม่ในเดือนสิงหาคมนี้
จึงเป็นโอกาสสำคัญที่คนได้จะได้รับรู้ร่วมกันในทุกด้านมุมมองของคำว่า “แม่”
แม่ผู้มีอุดมการณ์จากวรรณกรรม
บทบาทแม่จากโลกวรรณกรรมมีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับแม่เข้ามาเกี่ยวข้องบ่อยครั้ง
บางเรื่องสร้างความสะเทือนใจได้อย่างมาก
วรรณกรรมต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับ “แม่” ของแมกซิม กอร์กี้ ซึ่งเก็บประวัติวิถีชีวิตของยอร์ด
ซาโลมอฟ
รัสเซียในระบอบศักดินากรรมกรผู้ต่อสู้เพื่อสร้างสรรค์ระบอบสังคมที่เป็นธรรมที่ต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของแม่ผู้ถูกกดขี่ทางวัฒนธรรมกลายเป็นแม่ที่เป็นนักปฏิวัติ
โดยแม็กซิม กอร์กี้ นักเขียนนามอุโฆษแห่งรัสเซียยุคปฏิวัติได้
นักเรื่องราวมารจนาเป็นวรรณกรรมแห่งโลกมีชีวิต “แม่” โดยผ่านตัวละครเอกชื่อปาเวล
วลาสซอฟ และแม่
ซึ่งฉายให้เห็นภาพความรักของแม่ที่มีต่อลูก
ความรักของแม่ผู้มีอุดมการณ์ในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม เป็นการต่อสู้ของแม่ในฐานะตัวแทนของผู้ใช้แรงงานที่ตรากตรำทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม
และถูกกดขี่ทางเพศ จากสามี และยอมจำนนต่อวัฒนธรรมศักดินาที่กดขี่ความคิด
แต่ได้มีโอกาสเข้าร่วมจึงกลายเป็นนักปฏิวัติในเวลาต่อมาต้องต่อสู้ทางการเมืองร่วมกับลูกชาย “แม่” ของปาเวล จึงกลายเป็นนักปฏิวัติและเป็นผลให้วรรณกรรมเรื่องนี้ได้รับความนิยมและครองใจนักอ่านจากทั่วโลก
ซึ่งไม่ต่างอะไรจากชีวิตของแม่อย่างนางพเยาว์
อัคฮาด และแม่อีกหลายคนที่สูญเสียลูกในเหตุการณ์ล้อมปราบประชาชนที่ผ่านฟ้า
และราชประสงค์ได้กลายเป็นวิกฤติของประเทศไทยที่ยากแก่การมอดดับด้วยกระแสลมแห่งความไม่เป็นธรรมของระบอบเผด็จการไทยที่กำลังพัดกระหน่ำอยู่ในขณะนี้
แม่ทางการเมืองผู้ครองรางวัลโนเบล
สันติภาพร่วมกัน
เมื่อปีที่แล้ว 2011 ข่าวต่างประเทศดังกระหึ่มทั่วโลก
เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงสามคนจาก 2 ประเทศที่ยากจน ได้รับรางวัลโนเบิล
พร้อมในปีเดียวกัน 3 หญิงแกร่งที่เป็นทั้งแม่และผู้นำของประเทศ
ที่ผู้เขียนกล่าวถึงมาจากประเทศ ไลบีเรีย
และเยเมน คือ นางเอลเลน จอห์นสัน เซอร์ลีฟ ประธานาธิบดีหญิงแห่งไลบีเรีย, นางเลย์มาห์
จีโบวี “สตรีนักต่อสู้เพื่อสันติภาพ” ชาวไลบีเรีย
และ นางตอวักกุล การ์มาน สตรีนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยชาวเยเมน
นายธอร์บยอร์น
แจ็คแลนด์ ประธานคณะกรรมการรางวัลโนเบลประกาศให้เธอทั้งสามได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
ประจำปี 2011 ร่วมกัน
ณ กรุงออสโล มันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอนที่จะมอบรางวัลอันทรงเกียรติแก่ผู้หญิงทั้งสามคน
และเป็นแม่ที่ต่อสู้เพื่อคนส่วนใหญ่ของทั้งประเทศ
ผลงานของเธอทั้งสามที่เข้าตากรรมการรางวัลโนเบล
เนื่องจาก การต่อสู้ด้วยสันติวิธี เพื่อความปลอดภัยของผู้หญิง
เพื่อสิทธิของผู้หญิง จากการมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพ และที่สำคัญที่สุดเธอทั้งสามจะใช้สรรพนามแทนตัวเธอว่า
“แม่” เสมอ
วันแม่
น้ำตาแม่ วันแห่งความสูญเสียของนางพเยาว์ อัคฮาดและผู้ร่วมทุกข์
ความหมายของ “แม่”
นั้นลึกซึ้งงดงาม มนุษย์ทุกคนหนึ่ง ที่จะออกมาลืมตาดูโลกได้นั้นเกิดจากความทรมานที่มีความสุขของผู้หญิงหนึ่งคน
จึงเป็นสาเหตุให้คำว่า “แม่” ยิ่งใหญ่เสมอ ความจริงแล้วการก่อเกิดของ “วันแม่” นั้นเกิดขึ้นจากหญิงชาวอเมริกันชื่อ แอนนา เอ็ม
จาร์วิส มีอาชีพครูในรัฐฟิลาเดเฟีย ซึ่งเธอใช้เวลาเรียกร้องประมาณ
2 ปี เพื่อเรียกร้องให้มีการกำหนดวันแม่ จนกระทั่งมีการบรรจุวันแม่ไว้ในปฎิทินของประเทศอเมริกาในปี
ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) ตรงกับสมัยของประธานาธิบดี
วูดโรว์ วิลสัน โดยมีคำสั่งให้วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ
ดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ถ้าวันแม่มาถึงเมื่อไหร่บ้านหลังไหนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่จะถูกประดับตกแต่งบ้าน
หรือประตูบ้านด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู ถ้าบ้านไหนประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาวแสดงว่าบ้านนั้น
“แม่” ได้เสียชีวิตไปแล้ว จากวันแม่ของชาวอเมริกันจึงกลายเป็นวันแม่ในหลายประเทศ แม้กระทั่งประเทศไทยจะแตกต่างกัน เพียงแค่วันและวันที่ต่างกันเท่านั้น
สำหรับ “วันแม่” ของไทยใช้สัญลักษณ์ดอกมะลิแทนใจลูกเพื่อกราบเท้าแม่ แต่ “แม่” ที่สูญเสียลูกเมื่อ 19 พฤษภาคม
2553 แม่ “พะเยา อัคฮาด” ควรจะได้รับการกราบเท้าจากลูกสาว
“น้องเกด
หรือ กมลเกตุ อัคฮาด” อันเป็นที่รักด้วยดอกมะลิเฉกเช่นแม่ชาวไทยทั่วไป แต่แม่พเยาว
กลับมีเพียงรอยน้ำตาและรูปถ่ายของลูกไว้ข้างกายเท่านั้น
เหตุการณ์เมื่อ 3
ปีที่แล้วกระสุนปืนที่วิ่งฝ่าความอลหม่านของประชาชนที่พยายามหนีตายเพื่อเอาชีวิตรอดไปอาศัยภายในวัดปทุมที่ได้ชื่อว่า
“เขตอภัยทาน” กระสุนหลายนัดที่ฝ่าความสลัวของเวลาใกล้ค่ำหลายนัดได้พรากลูกของแม่
“น้องเกด” สาวน้อยผู้มีใจอารีก้าวเข้ามาสู่ม็อบ”เสื้อแดง”
เพียงแค่เป็นอาสาสมัครพยาบาลเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เป็นเด็กและคนแก่
นางพเยาว์ อัคฮาด ก่อนเกิดเหตุการณ์
19 พค. 53 เธอเป็นแม่ค้าขายพวงมาลัยอยู่ตลาดสดหน้าหมู่บ้านที่อาศัยของครอบครัว
“อัคฮาด” 5 ชีวิต เธอเป็นแม่ที่เลี้ยงดูลูกทั้ง 3 คนด้วยความรัก ความเข้าใจ และอิสรภาพกับลูก เธอไม่เคยสนใจการเมือง
ไม่ชอบการเมือง ไม่แม้กระทั่งไปเลือกตั้งเธอไม่สนใจสีเสื้อใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่หลังจากที่การประกาศยุติการชุมนุมของ นปช. หรือ เสื้อแดงผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง
เธอรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวของครอบครัวที่ไปเป็นอาสาพยาบาลให้กับคนในที่ชุมนุมของ
“เสื้อแดง” จะกลับบ้านไม่ได้ เวลาใกล้ค่ำประมาณหกโมงเย็นเวลาเคอร์ฟิว “แม่” ก็โทรศัพท์หาลูกสาว
แต่สิ่งที่ได้ยินเป็นเสียงความวุ่นวาย เสียงปืนที่ดังผ่านการพูดคุยของเธอกับลูกสาวทางโทรศัพท์ทำให้เธอตกใจมากยิ่งขึ้น
เธอย้อนหลังเรื่องราวในวันนั้นกับหนังสือ RedPower ด้วยเสียงที่ชัดเจนราวกับว่าเกิดขึ้นมาเมื่อวานนี้
“เป็นห่วงลูกกลัวลูกจะกลับบ้านไม่ทัน
พยายามโทรไปหาเขาเราได้ยินเสียงปืนเราก็ตกใจ
ถามไปว่าทำไมมีเสียงปืนแกนนำมอบตัวตั้งแต่บ่ายแล้วไม่ใช่เหรอ
เขาก็บอกว่าหนูก็ไม่รู้เหมือนกัน เสร็จแล้วเราก็ถามว่าหนูอยู่ไหนนี่
เขาก็บอกว่าหนูอยู่หน้าวัด เราก็คิดว่าเต็นท์อยู่ริมถนนเพราะเราเคยเห็น
แต่ไม่คิดว่ารถของลูกเราอยู่ในวัด ก็บอกให้เขาไปอยู่ในวัด
พรุ่งนี้ค่อยกลับนะเดี๋ยวไม่มีรถ แล้วเขาก็บอกว่าแค่นี้ก่อนนะ” แหละนี่คือเสียงสุดท้ายที่สองแม่ลูกจะได้ยินจากกันและกัน
คำกล่าวกันว่า
ความรักและความเป็นห่วงของพ่อแม่ที่มีต่อลูกจะยังคงเป็นเช่นนั้นตลอด
จนกว่าลูกจะกลับมาอยู่ในสายตาของคนในครอบครัว
คำพูดเหล่านี้เป็นจริง เพราะ “แม่พเยา” ยัง
เป็นห่วงและความเป็นห่วงยังไม่ทันจางหายไปจากความรู้สึก เวลาประมาณสองทุ่มของคืนนั้น คืนที่สร้างความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตของแม่
“มีคนโทรไปหาเพื่อนของน้องเกด
แล้วก็โทรไปบอก
น้องสะใภ้ของแม่ว่า....น้องเกตุ
โดนยิง แล้วเขาก็โทรมาหาแม่
แม่ก็ตกใจรีบโทรกลับไปตามเบอร์ที่โทรหาเขาก็บอกน้องโดนยิงแต่ไม่รู้เป็นยังไง แม่ก็เลยโทรไปที่เบอร์ที่โทรมาโทรเท่าไหร่ก็ไม่ติด
จึงตัดสินใจโทรไปที่เบอร์ลูกสาวก็มีคนรับ คนที่รับเป็นเพื่อนของเจ้าเกดที่รอดตาย
เราก็ถามว่าน้อง
เป็นยังไง
เขาก็บอกว่าน้องโดนยิง เราก็ถามว่าส่งโรงพยาบาลรึยัง
เด็กก็เงียบไปพักหนึ่ง.... เด็กเขาก็บอกว่าน้องตายแล้ว แม่ก็ไม่เชื่อนะ
แล้วก็ว่าเขาว่า ล้อเล่นอย่างนี้มันไม่ดีนะ ฉันเพิ่งคุยกับลูกฉันเมื่อตอนหกโมงกว่านี่เอง
เด็กมันก็ร้องไห้โฮเลย มันก็บอกน้องโดนยิงจริง ๆ น้องตายแล้วจริง ๆ หนูไม่โกหก
หนูอยู่กับศพน้องยังอยู่ตรงหน้าหนูนี่” สิ่งที่แม่พเยากลัวที่สุดคือ “ศพหาย”
ถึงกับร้องสั่งเพื่อนน้องเกดไปว่าให้เอาศพไปไว้ในวัดระวังศพหาย ที่เธอห่วงเรื่องดังกล่าวเพราะ
“ลูกสาวเธอนั่นเอง”
วันสุดท้ายที่น้องเกดกลับมาเล่นสงกรานต์กับน้องและเป็นวันสุดท้ายที่แม่ได้เจอหน้าลูก
ได้เล่าให้แม่ฟังว่า เหตุการณ์ 10 เมษา 53 มีมวลชนโดนยิงและมีการแย่งศพกันระหว่างทหารกับผู้ชุมนุม
“เสื้อแดง” เป็นสาเหตุที่ แม่พเยาต้องสั่งไปโดยอัตโนมัติ
“ว่าอย่าให้ศพหาย”
ถึงอย่างไรเธอก็ยังไม่เชื่อว่าลูกสาวสุดที่รักจะลาจากโลกนี้ไปจริง
จะแน่ใจได้
อย่างไรในเมื่อ “น้องเกด หรือ กมลเกด อัคฮาด” หญิงสาววัย 25 ปี เพิ่งมาขอความฝันสูงสุดของเธอ
จากแม่ว่า...จะสอบเข้าเรียนพยาบาลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แต่อุปสรรคที่ขวางกั้นแม่เดินทางไป
หาลูกสาวคือ
เคอร์ฟิว แม่ต้องใช้ทั้งความเข้มแข็งและความอดทน รอถึงวันรุ่งขึ้น พอ 6
โมงเช้า สิ่ง
ที่ทำสิ่งแรก
คือโทรศัพท์ไปที่เบอร์น้องเกตุแต่ไม่เปิด เธอตัดสินใจหาเบอร์โทรเข้าไปในวัด พอพระ
รับแม่พเยาว์ก็ถามว่า
“ในวัดมีศพผู้หญิง จริงหรือไม่ พระก็บอกว่ามีศพหนึ่ง”
เป็นคำตอบที่แม่
พเยาว์หรือแม่อีกหลายคนที่เจอกับเหตุการณ์อย่างนี้ไม่อยากได้ยินเลย
แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนต้อง
ระงับมันไหวแล้วจัดการกับสิ่งที่ต้องทำ
นี่คือความเข้มแข็งของเพศหญิงที่ได้ชื่อว่า “แม่” เธอจึงบอก
กับพระว่า
“ดิฉันจะเข้าไปดูศพลูก
หลวงพ่อบอกโยมอย่ามา มาไม่ได้ มันยังยิงกันอยู่เลย ข้างในออก
ไม่ได้
ข้างนอกเข้าไม่ได้ โยมอย่ามา ตอนนี้เราติดต่อ สส. สว.
ให้มานำคนที่มาหลบอยู่ในวัดออกไป
จะให้เขามาเอาศพ
6 ศพส่งไปโรงพยาบาลให้ โยมอย่ามามันอันตราย”
แม่พเยาว์ไม่เชื่อยังพยายามหารถไปที่ราชประสงค์
แต่อุปสรรคยังไม่หมด เรียกได้ว่ามัน
เป็นบทพิสูจน์ของความเป็นแม่ที่มีหัวใจแข็งแกร่ง
ไม่ยอมต่ออุปสรรคใด ๆ และไม่เชื่อผู้ใด
หากไม่เห็นด้วยดวงตา แม่พยายามเรียกรถแท็กซี่หลายคัน ไม่มีคันไหนยอมไป แถมด้วยการเล่าให้แม่ฟังอีกว่า
ทหารมันเห็นแท็กซี่มันยิงเลย นี่คือการจุดประกายให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเป็นแค่แม่ของลูก
แม่บ้าน และแม่ค้า เธอคิดว่านี่มันประเทศไทยรึเปล่า สุดท้ายเธอกับลูกชายกลับมาตั้งหลักที่บ้าน
บ่ายวันที่ 20
พค. 53 ทีวีก็ออกข่าวว่าจะนำศพไปโรงพยาบาลเพื่อพิสูจน์ศพ
โดยมีหมอพรทิพย์ออกมาว่าจะไปพิสูจน์ศพตอนบ่าย แม่ยังเชื่อในวิถีของอาชีพแพทย์ว่าจะไม่โกหก
เพราะลูกสาวเธอเคยไปช่วยหมอคนนี้คราวสึนามิเกิดขึ้นทางภาคใต้ ทำให้เธอดีใจว่าศพจะได้พิสูจน์แล้ว
การรับศพคงจะไม่เป็นอุปสรรคอีกแล้ว เธอตัดสินใจโทรไปโรงพยาบาล แม่โทรไปโรงพยาบาล แต่คำตอบคือ
ไม่ต้องมา มาก็ยังไม่ได้รับศพ มาก็ไม่ให้ดู พวกเขาต้องพิสูจน์ศพก่อน ให้มารับศพวันต่อไป
เป็นอันว่าแม่พเยาว์ต้องอดทนกับความเจ็บปวดที่เก็บไว้ข้างในจนกระทั่งได้พบลูกอีกครั้งวันที่
21 พค.53
ก้าวที่ช้าแต่แข็งแกร่งของแม่
“ชีวิตจริงมันยิ่งกว่านิยาย
หรือนิยายก็มาจากชีวิตจริง” ประโยคดังกล่าวไม่ได้ห่างไกลไปจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเลย
แม่หลายคนที่ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่ลูกทำ แม่หลายคนเปลี่ยนความคิดว่าตนเองมีหน้าที่แค่การทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว
ไม่เคยสนใจสิ่งรอบข้างหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเอง
แต่หลังจากการสูญเสียลูกหรือสามีหรือบุคคลอันเป็นที่รัก
มักส่งผลให้เธอเหล่านั้นก้าวเดินด้วยความแข็งแกร่ง
หลังจากแม่พเยาว์พยายามหาทางไปรับศพในวันที่สองของการเสียชีวิตของน้องเกตุแล้วได้รับคำตอบว่า
“ไม่ได้” วันที่ 21 พค. 53
แม่และลูกชายไปถึงทางโรงพยาบาลตำรวจ ได้ดูรูปศพจากคอมพิวเตอร์ว่าศพไหนที่ใช่ และแม่ก็เจอรูปน้องเกตุ ติดป้ายชื่อไว้ว่า
“หญิงไม่ทราบชื่อ” ทำให้แม่ต้องรีบบอกว่า “คนนี้แหละลูกฉัน นางสาวกมลเกตุ อัคฮาด” น้องชายของน้องเกตุไปถามหมอว่า “พี่ผมโดนยิงกี่นัด”
หมอตอบว่า “สองนัด” และ “ถูกยิงจากล่างหรือบน” หมอตอบ “ไม่ได้” ณ เวลานั้นแม่พเยาว์ไม่ต้องการรู้เรื่องใดทั้งสิ้นสิ่งที่ต้องการคือ
เอาศพลูกสาวไปบำเพ็ญกุศลก่อน
คืนที่สองของการตั้งสวดอภิธรรมศพน้องเกตุมีหน่วยงานอาสา
ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไปนำทั้ง 6 ศพจากวัดปทุมมาส่งโรงพยาบาลตำรวจ เขามาบอกกับแม่ว่า น้องเกตุโดนยิงมากกว่าสองนัด
นับจากวินาทีนั้นเป็นต้นมาแม่พเยาว์ต้องใช้ความอดกลั้นแล้วเดินต่อไป
เมื่อถึงวันเผาศพแม่พเยาว์อาจทำเหมือนคนไทยทั่วไปที่เปิดเพื่อดูหน้าคนที่ตนรักเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากกันตลอดไป
แต่แม่ทำมากกว่านั้นคือเปิดโลงศพแล้วถ่ายรูปและร่องรอยที่ถูกยิง ปรากฏว่าน้องเกตุโดนยิงตั้งแต่ขาไปจนถึงหัวเลย
น้องเกตุถูกยิงทั้งหมด 11 นัด มันไม่ใช่สองนัดอย่างที่หมอพรทิพย์ออกมานั่งแถลงข่าวกับ ศอฉ.
ว่านางสาวกมลเกตุถูกยิงสองนัดไม่มีหัวกระสุนในตัว มันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แม่พเยาว์คิดว่า
พวกคุณยิงลูกฉันแล้ว พวกคุณยังช่วยเหยียบย่ำลูกฉันอีกเหรอ ตั้งแต่วันนั้นแม่พเยาว์ก็บอกกับลูกสาวที่อยู่ในสภาพร่างไร้วิญญาณว่า
แม่สู้ตายเพื่อลูกของแม่ เธอประกาศว่าจะไม่ยอมรัฐบาลและทุก ๆ
บุคคลที่รวมกันฆ่าลูกเธอและใส่ร้ายป้ายสีลูกของเธออีก ร่างกาย นับจากวันนั้นแม่พเยาว์ผู้ไม่เคยสนใจการเมือง
หรือจะมาข้องแวะกับการเมือง เธอไปทุกที่ทุกแห่งเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกของเธอ
สุดท้าย DSI ก็ออกมาสรุปว่าโดนยิง 5
นัด ถึงแม้เรื่องจริง ๆ แล้วน้องเกตุโดนยิงทั้งหมด 11 นัด ความจริงที่ปรากฏอีกประการคือ
ทุกศพที่ถูกยิงในวัดปทุมนั้น น้องเกดคนเดียวที่โดนยิงมากที่สุด น้องเกตุเป็นผู้หญิงเป็นอาสาพยาบาลมีเครื่องหมาย
“กาชาด” ซึ่งถือว่ายามศึกสงครามห้ามทำร้ายเด็ดขาด แม่พเยาว์กล่าวด้วยอารมณ์โมโหทุกครั้งเมื่อมีใครก็ตามมาถามถึงเรื่องการเสียชีวิตของลูกสาว
“น้องเกดุเสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
พวกเขาออกแถลงการณ์อย่างบิดเบือนข้อเท็จจริง แรก ๆ
ออกมาบอกว่า น้องเป็นพยาบาลเถื่อน
ถูกยิงจากนอกวัดแล้วลากศพเข้ามาในวัด โดยเฉพาะ “นาย
ไก่อู
คนพูดสวมเครื่องแบบกองทัพแต่พูดตอแหลกันได้อย่างหน้าตาเฉย
ลูกฉันตายเพราะถูก
ฆาตรกรรมนะ
ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างยิงกันแล้วโดนยิงตาย ” นี่คืออีกสาเหตุที่ทำให้แม่พเยาว์ต้องออกมา
ต่อสู้ หาความเป็นธรรมให้กับลูก
สิ่งที่แม่อย่างเธออยากรู้คือ
พวกเขาฆ่าลูกฉันทำไม น้องเกตุถูกยิงขณะที่มือเขายังสวมถุงมือ
ผ้ายังคาดปาก
สัญลักษณ์กาชาดยังอยู่บนตัว การที่ ศอฉ. ออกมาแถลงเกี่ยวกับการเสียชีวิตในวัดปทุมเกิดจากการต่อสู้กันแล้วถูกยิงตาย
ทหารที่ยิงเข้าไปในวัดออกมาบอกว่ายิงต่อสู้กับชายชุดดำ แต่แม่พเยาว์ตั้งข้อสังเกตว่า..... “ทั้งหกศพพิสูจน์แล้วมือไม่มีเขม่าดินปืนสักศพ
หลักฐานเหล่านี้ทำให้แม่พเยาว์ออกมาประกาศทันทีว่า “การตายของน้องเกตุและหกศพเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
แต่ไม่ยอมรับเพราะความกลัวคนจะว่าทหารยิงประชาชน การใช้ข้ออ้างเกี่ยวกับทหารถูกปล้นปืนไปมันใช้ไม่ได้
ไม่เกี่ยวกับการที่ทหารไปยิงคน พวกคุณยังพิสูจน์ไม่ได้เลยว่า
คนกลุ่มนี้เขาเอาปืนคุณไปจริงรึเปล่า แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ 6 ศพถูกฆ่าในวัดมันคือเรื่องจริง”
จากวันนั้น 19 พฤษภาคม 2553 จนถึงวันนี้ “แม่” ผู้สูญเสียที่เปลี่ยนตัวเองจากแม่ค้า
กลายนักสู้เพื่อหาความยุติธรรมให้กับลูกสาวที่เสียชีวิต และเพื่อคนอื่น ๆ ในสังคม
แม่พเยาวจึงเปิดศูนย์ที่อิมพีเรียลไว้สำหรับการรับเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ
ของคนเสื้อแดงผู้ได้รับผลกระทบแล้วยังไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐ เธอจะเป็นผู้ติดตามเรื่องราวและต่อกรกับผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนที่จะที่ไม่ยอมให้ความยุติธรรมประชาชนในสังคมไทย
เธอยังเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งจนกว่า “คนสั่งฆ่าจะไม่ลอยนวล”
-----------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น