Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

6 ปีรัฐประหารอัปยศ

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 377 วันที่ 15-21 กันยายน พ.ศ. 2555 หน้า 5 คอลัมน์ ถนนประชาธิปไตย โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ



เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นายทหารกลุ่มหนึ่งที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ร่วมด้วย พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 เป็นต้น ได้นำกองทัพเข้าก่อการยึดอำนาจทำการรัฐประหาร เพื่อล้มรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นการล้มเลิกประชาธิปไตยและล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งชาติไปด้วย

มาถึงขณะนี้เวลาผ่านมาแล้ว 6 ปี คงจะต้องสรุปว่าการรัฐประหารครั้งนี้เป็นครั้งที่ล้มเหลวที่สุด เป็นรัฐประหารที่นำมาสู่ความวุ่นวาย ความแตกแยก และการนองเลือดของประชาชน ชี้ให้เห็นว่าการแก้ปัญหาทางการเมืองด้วยวิธีการอันไม่เป็นประชาธิปไตยภายใต้กรอบแนวคิดอนุรักษ์นิยมจัด ย่อมไม่ได้ผลและนำไปสู่ความอัปยศเป็นที่สุด

ก่อนอื่นคงต้องอธิบายว่าการรัฐประหารในประเทศไทยครั้งนั้น เผชิญปัญหาประการแรกทันที เพราะเป็นการรัฐประหารที่เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่เอื้ออำนวยของสถานการณ์ระหว่างประเทศ เพราะโลกนานาชาติไม่ได้ถือกันแล้วว่าการรัฐประหารเป็นวิถีทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบอารยะ ประเทศที่ก้าวหน้าในยุโรปไม่มีการรัฐประหารมาเป็นเวลาช้านาน ในลาตินอเมริกา แอฟริกา แทบจะไม่เหลือประเทศที่เปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยวิธีการรัฐประหารเลย

รัฐประหาร พ.ศ. 2549 ของไทยจึงถูกมองด้วยความประหลาดใจและไม่เข้าใจ กล่าวกันว่าแม้กระทั่งสหรัฐอเมริกาก็มีความเห็นว่ารัฐประหารในไทยครั้งนั้น “ไม่มีเหตุผลที่จะยอมรับได้” สถานการณ์เช่นนี้ทำให้คณะรัฐประหารไม่สามารถถือครองอำนาจไว้ได้ยาวนาน ต้องรีบดำเนินการให้กลับเข้าสู่กระบวนการทางการเมืองปรกติโดยเร็ว

ความล้มเหลวของการทำรัฐประหารประการสำคัญ เห็นได้จากการไม่บรรลุข้ออ้างการทำรัฐประหาร เช่น ทำเพื่อการป้องกันความรุนแรงและความแตกแยกในสังคม แต่หลังรัฐประหารสังคมไทยยิ่งแตกแยกยิ่งกว่าเดิม และยิ่งนำมาซึ่งความรุนแรงมากยิ่งกว่าเดิม จนถึงขณะนี้ผลกระทบจากความแตกแยกและความรุนแรงยังไม่อาจเยียวยาได้ แม้ว่า พล.อ.สนธิในวันนี้จะเปลี่ยนบทบาทมาเป็น ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร และรับตำแหน่งประธานกรรมาธิการปรองดองฯของรัฐสภา พร้อมทั้งเสนอกฎหมายปรองดองเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แต่การปรองดองก็ยังไม่บรรลุผล

ข้ออ้างต่อมาคือ เรื่องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เห็นได้ชัดว่าหลังจากรัฐประหารมีการอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาทำลายศัตรูทางการเมืองกันชัดเจน เช่น การใช้มาตรา 112 จับกุมประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก จนถึงขณะนี้ยังมีผู้บริสุทธิ์ถูกคุมขังอยู่ การที่กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการขังผู้บริสุทธิ์ หรือทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตคาคุกเช่นนี้ ไม่ได้เป็นการปกป้องพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด แต่จะยิ่งทำให้เกิดความแยกห่างจากประชาชนมากยิ่งขึ้น

ข้อกล่าวหาเรื่องรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณแทรกแซงองค์กรอิสระ วันนี้องค์กรอิสระทั้งหมดก็ยังถูกแทรกแซงโดยฝ่ายตุลาการ จนทำให้องค์กรเหล่านี้ถูกมองว่ามีบทบาทอันอัปลักษณ์บิดเบี้ยว การดำเนินการและผลงานล้วนไม่เป็นที่ยอมรับ กลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการอยุติธรรมเช่นเดียวกับองค์กรตุลาการอื่น

ส่วนข้อกล่าวเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์อันชัดเจนแต่อย่างใด เรื่องนี้จึงยังเป็นมายาคติขนาดใหญ่ที่มีการสร้างกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฝ่ายประชาชนเสื้อเหลืองเชื่อว่าเป็นความจริง และยังต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไม่ลืมหูลืมตา

แต่ผลของรัฐประหารที่เสียหายอย่างยิ่งคือ การล้มเลิกรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ เพราะความจริงแล้วการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยพัฒนาอย่างราบรื่นมาตั้งแต่ พ.ศ. 2535 มีการเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ และมีกติกาชัดเจนว่าพรรคการเมืองที่ได้เสียงมากที่สุด และรวบรวมเสียงในรัฐสภาได้มากกว่าครึ่งจะได้จัดตั้งรัฐบาล การเปลี่ยนรัฐบาลก็เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยเสมอ

ยิ่งกว่านั้นรัฐธรรมนูญฉบับที่ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2540 ถือว่าเป็นฉบับประชาธิปไตย และประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดฉบับหนึ่ง แต่คณะรัฐประหารล้มเลิกหมด แล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับอัปลักษณ์ ที่ให้อำนาจแก่ศาลอยู่เหนือการเมืองมาใช้แทน จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก แต่กระนั้นความพยายามที่จะแก้ไขยกเลิกรัฐธรรมอัปลักษณ์นี้ก็ยังถูกต่อต้านจากฝ่ายปฏิกิริยาเสมอมา

ปัญหาสำคัญที่นำมาสู่ความรุนแรงก็คือ การที่กลุ่มอำมาตยาธิปไตยที่อยู่เบื้องหลังทางการเมืองหลังรัฐประหารสนับสนุนให้มีการตั้งรัฐบาลจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 2 ในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2550 โดยการรวบรวมเสียงจากพรรคเสียงเล็กๆ กับกลุ่มแปรพักตร์มาตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ นั่นคือรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่รับตำแหน่งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 จึงนำมาซึ่งการต่อต้านคัดค้านอย่างหนัก โดยกลุ่มชนชั้นนำที่ค้ำจุนรัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้ “ผังล้มเจ้า” มาใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม เพื่อเปิดทางให้เกิดการใช้ความรุนแรงในการกวาดล้างปราบปรามประชาชนโดยกองทัพ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 94 คน และบาดเจ็บนับพันคน มีผู้ถูกจับกุมจำนวนมาก และขณะนี้ก็ยังมีการดำเนินคดีกับประชาชนที่ถูกจับกุมอยู่

แต่อีกด้านหนึ่ง รัฐประหาร พ.ศ. 2549 ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หวนกลับ โดยเฉพาะการตื่นตัวของประชาชนที่มีความสนใจและมีส่วนร่วมทางการเมือง ทำให้การทำรัฐประหารครั้งใหม่เกิดขึ้นได้ยาก ที่เห็นได้คือการเกิด “ปรากฏการณ์ตาสว่าง” ที่ทำให้ประชาชนเห็นถึงความชั่วร้ายของฝ่ายอำมาตย์ และทำให้เกิดการปฏิเสธสถาบันหลัก (Establishment) ที่ครอบงำสังคมไทยมาช้านาน ทำให้เห็นว่าสังคมไทยที่แท้จริงแล้วเป็นเมืองตอแหล หน้าไหว้หลังหลอก พร่ำพูดกันแต่เรื่องดีด้านเดียว ไม่สนใจความจริง ชนชั้นนำไทยไม่สนใจและเอาใจใส่ชีวิตของประชาชนระดับล่าง ยิ่งกว่านั้นยังได้เห็นธาตุแท้ของตุลาการและกระบวนยุติธรรมที่ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนชั้นล่าง แต่ยอมจำนนกับการรัฐประหารและพร้อมจะเอื้ออำนวยให้มีการจับผู้บริสุทธิ์เข้าคุก

สถานการณ์ในระยะ 6 ปีนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า การที่จะสร้างประเทศให้มีความก้าวหน้ามั่นคงไม่อาจจะฝากความหวังใดกับชนชั้นนำ เพราะชนชั้นนำไทยมีแนวโน้มทางทรรศนะที่เป็นอนุรักษ์นิยมจัด โลกทัศน์แคบ หวาดกลัวความคิดแตกต่าง ยอมรับและปอปั้นอภิสิทธิ์ชนและไม่นิยมประชาธิปไตย

อำนาจในการเปลี่ยนแปลงสังคมจึงอยู่ที่ประชาชนระดับล่าง ซึ่งมีใจรักประชาธิปไตย เคารพในสิทธิของมนุษย์ คิดในหลักเสมอภาคและมีจิตใจกล้าต่อสู้ ปัญญาชนที่ก้าวหน้าและอยู่ฝ่ายประชาชน เช่น กลุ่มนิติราษฎร์ ครก.112 กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และนักวิชาการแนวหน้าคนอื่นๆ อาจจะมีบทบาทในการนำเสนอประเด็นต่อสังคมไทย แต่การผลักดันให้เป็นจริงย่อมอยู่ที่การทำให้ประเด็นเหล่านั้นมีลักษณะยอมรับร่วมกันในหมู่ประชาชน การเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยจึงจะเป็นจริงได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น