ที่มา บทความ "ชิงเมือง" มติชนสุดสัปดาห์ฉบับประจำวันที่ 1-7 มีนาคม 2556
"พวกคุณเป็นสัตว์ร้ายทางการเมือง" นายสุเทพกล่าว และว่า คุณคิดว่าประชาชนลืมสิ่งที่คุณทำไปหมดแล้ว ซึ่งไม่ใช่ ตนขอประกาศแทนได้ว่า คนนางเลิ้ง หมอโรงพยาบาลจุฬาฯ คนราชดำเนิน คนสีลม คนฝั่งธนบุรี ชาตินี้ทั้งชาติไม่มีวันลืมพวกคุณ
นายสุเทพกล่าวว่า พล.ต.อ.พงศพัศเหมือนพระเอกหนังตะลุง จะคอยถูกชักไยจากแดนไกล การเลือกตั้งครั้งนี้เหมือนศึกชิงเมืองหลวง ถ้าเขายึดได้ ปักษ์ใต้บ้านผมก็เอาไม่อยู่" (สัตว์ร้ายการเมือง "เทือก" ถล่มแดงเผาเมือง เดิมพันยึด กทม. ได้ใต้ไม่เหลือ, http://www.thaipost.net/sunday/240213/70032)
คนเชียงใหม่อย่างฉันติดตามข่าวการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน
เช่น ทำไมข่าวการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ จึงสามารถยึดครองพื้นที่สื่อราวกับมันเป็นการเมืองระดับชาติ
ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ สะท้อนภาพการเมืองระดับชาติทั้งหมดได้จริงหรือเราคิดกันเอาเอง?
หรือถึงที่สุดแล้วเราคิดว่ากรุงเทพฯ คือประเทศไทย ประเทศคือกรุงเทพฯ ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่กรุงเทพฯ จึงส่งผลกระทบไปทั้งประเทศ
ทำไม มีแต่ กทม. เท่านั้นที่ได้เลือกตั้งผู้ว่าฯ
ทำไมเมื่อจังหวัดอื่นๆ อยากออกจาก "มหาดไทย" ไปเลือกตั้งผู้ว่าฯ เองบ้างกลับถูกมองว่าเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไม่รักความเป็นไทย ไม่สามัคคี สร้างความแตกแยก แข็งข้อ แน่ใจได้อย่างไรว่ามีปัญญาปกครองตัวเอง แน่ใจได้อย่างไรว่าเมืองทั้งเมืองจะไม่ไปตกอยู่ในมือของมาเฟีย นายทุน นักการเมืองท้องถิ่น
ประเทศไทยจึงมีโครงสร้างการบริหารประเทศที่แปลกๆ นั่นคือ (นอกจากพัทยา) เรามีกรุงเทพฯ เป็นหน่วยการปกครองพิเศษ มีผู้ว่าฯ เป็นของตนเองที่มาจากการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน มีรัฐบาลกลางที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงเทพฯ (รัฐสภา, กองทัพ, ศาล) ปกครองและบริหารราชการทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยผ่านกระทรวงมหาดไทย; ข้าราชการ งบประมาณ, นโยบาย
แม้การปกครองส่วนท้องถิ่นจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่การปกครองส่วนภูมิภาคที่มีประมุขคือผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เรื่อยลงมาจนถึงระดับผู้ใหญ่บ้านเปรียบเสมือนตัวแทนทางสัญลักษณ์ของอำนาจ "รัฐบาลกลาง" ยังคงดำรงอยู่
ราวกับไม่มั่นใจว่า "หัวเมืองประเทศราช" ที่ตกเป็นของสยามอย่างหลวมๆ เมื่อร้อยกว่าปีก่อนนั้น ได้ตกเป็นของสยามโดยเด็ดขาด สิ้นเชิงแล้วหรือยัง?
ปัญหาที่สำคัญมากปัญหาหนึ่งของสังคมไทยคือการไม่ยอมรับ "ความใหม่" ของตนเอง สังคมไทยไม่เคยยอมรับว่าประเทศไทยมีเอกราชสมบูรณ์แบบเมื่อเราได้เอกราชทางการศาลในปี 2481
สังคมไทยไม่ยอมรับว่าประเทศไทยตามแผนที่อย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนั้นเพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว
สังคมไทยไม่ยอมรับว่าสำนึกแห่งความเป็นไทยที่เรามีอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาใหม่ไม่เกิน 70 ปี
ไม่ยอมรับว่าภาษาไทยที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นของใหม่ถูก standardized หรือทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อเป็นภาษาของรัฐชาติที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่
เมื่อเราไม่ยอมรับว่าประเทศไทย ชาติไทย และความเป็นไทย ที่เป็นรูปขวานทองอยู่ทุกวันนี้เพิ่งจะก่อร่างสร้างตัวมาไม่นาน ไม่ได้แน่นแฟ้น รักกันปานจะกลืน ไม่ได้เข้ามารวมกันแบบสมัครใจในทุกกรณี เพราะหลายๆ กรณีก็ไม่รู้ตัวว่าถูกผนวกมาตอนไหน อย่างไร เพราะสำนึกเรื่องรัฐ และดินแดน "ผุด" ขึ้นมาในแต่ละท้องถิ่นไม่พร้อมกัน รู้ตัวอีกทีก็ "อ้าว"-กลายเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยไปแล้ว
จากนั้นก็เข้าสู่การเรียนภาษาไทยมาตรฐาน
รับ "สื่อมวลชน" มาตรฐานจากส่วนกลาง เรียนหนังสือหลักสูตรจากส่วนกลางที่สอนเราว่าประเทศไทยนี้หนามีมาอย่างน้อย 700 ปี ตั้งแต่สมัยสุโขทัย จากนั้น วิชาประวัติศาสตร์ก็สอนกล่อมให้เราหลงเชื่อว่า เราเหล่าคนไทยในเจ็ดสิบกว่าจังหวัดเป็นคนไทยอยู่ด้วยกันอย่างนี้มาตาปีตาชาติ รู้รักสามัคคีมาด้วยกันตั้งแต่สมัยรบพม่ารามัญนู่น
ผลแห่งการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยฉบับหลอกตัวเองนี้ทำให้คนไทยต้องเผชิญกับสภาวะขัดแย้ง สับสนในตัวเอง
เช่น ภูมิใจในความเป็นไทย ความรู้รักสามัคคี ความเก่าแก่ของชาติไทย ขณะเดียวกัน ก็เปราะบางหากถูกวิจารณ์ โจมตี หรือตั้งคำถามว่าความเป็นไทยดีจริงหรือ มีจริงหรือ งดงามจริงหรือ ยิ่งใหญ่จริงหรือ?
เหตุที่เปราะบางก็เพราะลึกๆ แล้วรู้ว่าทั้งหมดที่ตนเองเชื่อไม่มีข้อเท็จจริงรองรับอยู่สักเท่าไร
สภาวะเปราะบางขัดแย้ง สับสนในตัวเอง นี้ยังเกิดขึ้นกับกลุ่มอาการความกลัวเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ฉันไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า หากมีใครสักคนเสนอว่าประเทศไทยน่าจะแบ่งเขตการปกครองใหม่ มีรัฐบาลท้องถิ่นที่มีสภาเป็นของตนเอง มีอำนาจออกกฎหมาย รวมทั้งอำนาจศาลที่เป็นศาลท้องถิ่นเป็นของตนเอง-หากมีใครอุตริเสนอโมเดลอะไรแบบนี้ขึ้นมาในเมืองไทยจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นพวก ล้มชาติ ฝักใฝ่สาธารณรัฐ มุ่งสร้างความแตกแยกให้กับประเทศชาติ กบฏ
หากมีใครเสนอว่าทางออกของปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้ที่ดีที่สุดคือให้สี่จังหวัดภาคใต้เป็นเขตการปกครองพิเศษ-บุคคลผู้นั้นย่อมถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งๆ ที่เราก็รู้กันอยู่ว่ารูปแบบของรัฐนั้นมีทั้งรัฐเดี่ยวและสหพันธรัฐ-การเป็นสหพันธรัฐ ไม่ได้หมายถึงการแยกประเทศแต่อย่างใด
แต่เหตุใดคนไทยและสังคมไทยจึงมีความรู้สึกราวกับว่าหากมิได้เป็นรัฐเดี่ยวเสียแล้ว ประเทศไทยคงสิ้นสลายไปในบัดดล ขวานทองของเราคงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พลันประเทศไทยจะหายไปจากแผนที่โลก-สูญพันธุ์!
นั่งลงสำรวจความกลัวนี้ให้ดีจะพบว่า มันมาจากการที่คนไทยทุกคนลึกๆ ก็รู้ดีอยู่ว่า "ความเป็นไทย" ที่จินตนาการเอาว่ามีอยู่อย่างนี้อย่างนั้นมันจับต้องไม่ได้ มีจริงหรือเปล่าไม่รู้
สิ่งเดียวที่จะทำให้มั่นใจว่า "ความเป็นไทย" ที่ตัวเองยึดมั่นถือมั่นเอาไว้จะไม่สูญหายไปไหนก็คือการเฝ้าระวังรักษาสัญลักษณ์แห่งความเป็น "ไทย" ทั้งหลายเอาไว้ให้มั่น รวมไปถึงการรักษาอำนาจของรัฐบาลกลางซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการการรักษาความเป็นไทยแบบราชการเอาไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ภาษา วัฒนธรรม เครื่องแบบ พิธีกรรม ระบบบริหารราชการอันเป็นมรดกตกค้างของระบบของอาณานิคม
มิได้พัฒนาไปสู่ความเป็นสมัยใหม่แต่อย่างใด ตั้งแต่เครื่องแบบสีกากี ไปจนถึงวัฒนธรรมองค์กรที่ยังต้องมีนายใหญ่ที่ย้ายมาจากส่วนกลางทำงานกับเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่เป็นคนท้องถิ่น ฯลฯ
ปัญหาความย้อนแย้งสับสนในตัวเองของสังคมไทยจะไม่เกิดขึ้นเลยหากเรากล้าเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์ของเราในฐานะที่เป็นประเทศที่เคยเป็นทั้งเจ้าอาณานิคม เป็นทั้งประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม และเป็นทั้งหัวเมืองเล็กเมืองน้อยที่ถูกผนวกรวมเข้ากับสยามเมื่อครั้งสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ครั้งหนึ่ง และทั้งหมดนี้กลายเป็น "ไทย" อีกครั้งหนึ่งหลัง 2475
จนถึงวันนี้ควรจะมั่นคง มั่นใจได้แล้วว่า ประเทศไทยที่เกิดมาใหม่ๆ นี้ได้ก้าวเข้าสู่การเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย และพร้อมที่จะปรับปรุงโครงสร้างการบริหารประเทศให้เหมาะสมกับยุคสมัย
เช่น มีการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่น หรือปล่อยให้ท้องถิ่นจัดการบริหารส่วนราชการของตนเองได้ ลดความสำคัญของกรุงเทพฯ สร้างหัวเมืองใหญ่ กระจายความเจริญ กระจายศูนย์อำนาจออกไปได้หลายจุดมากขึ้น จินตนาการถึงแผนที่ใหม่ๆ ที่จะเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยคิดถึงกรุงเทพฯ ได้น้อยลง ฯลฯ
และทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรจะทำให้ประเทศไทยในฐานะประเทศหนึ่ง รัฐหนึ่ง จะหายไปจากแผนที่โลกได้
สังคมไทยควรต้องเดินออกจากภาพลวงตาเรื่องพม่าบุกยึดกรุงศรีอยุธยาอะไรนั่นเสียที
เพราะอยุธยาก็คืออยุธยา ไม่ใช่ "ไทย" ในความหมายของประเทศไทยอันเป็นหน่วยการเมืองในความหมายของรัฐชาติสมัยใหม่
ไม่นับว่าเหตุการณ์ไทยรบพม่า พม่ารบไทย มีรายละเอียดหวือหวาอย่างที่เห็นในหนังและละครย้อนยุคที่เขียนบทตามจินตนาการของคน "ไทย" ในสมัยปัจจุบันที่เอาคอนเซ็ปต์ของ "ชาติ" ในศตวรรษที่ 19 ไปอธิบายสงครามระหว่างอาณาจักรในศตวรรษที่ 14 (ก่อนมี "ชาติ")
เดินออกมาแล้วจะได้ลงมานั่งหัวเราะเยาะเรื่อง "ยึดเมืองหลวง"
เพราะคงต้องถามว่า ยึดไปทำไม? เพื่ออะไร? เมืองหลวงในฐานะที่เป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการ ยึดแล้ว-ยึดแล้วต้องถามว่า แล้วไง?
ถามต่ออีกว่า แล้วมันยึดได้จริงหรือเปล่าในทางกายภาพ?
พรรคประชาธิปัตย์เป็นเจ้าของอธิปไตยเหนือดินแดนกรุงเทพฯ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หากแพ้การเลือกตั้งเพราะความไม่เอาไหนของตนเองแล้วถึงกับจะทำให้กรุงเทพฯ ต้องเสียอธิปไตย?!!!!
วาทกรรม "ยึดเหมืองหลวง" ของพรรคประชาธิปัตย์ต่างหากที่กำลังแยก กรุงเทพฯ ออกจากอีก 76 จังหวัดทั่วประเทศ
วาทกรรมนี้กำลังสร้างความเป็นอื่นให้กับประชาชนใน 76 จังหวัดที่เหลือ
วาทกรรมนี้กำลังทำให้คนกรุงเทพฯ รู้สึกว่าคนอีก 76 จังหวัดทั่วประเทศนั้นเปรียบเสมือนข้าศึกที่กำลังจะเดินทางเข้ามาเขมือบกลืนกินกรุงเทพฯ ทั้งกรุงเทพฯ ผ่านพรรคการเมืองของ "คนต่างจังหวัด" อันเป็นวาทกรรมที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับเรื่องเล่า โง่ จน เจ็บ-คนต่างจังหวัด โง่ ขายเสียงให้นักการเมืองเลว
หากประเทศไทยจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก็เป็นเพราะการสร้างวาทกรรมแห่งความเกลียดชังเช่นนี้ออกสู่สาธารณะ มิใช่การกระจายอำนาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่น
และหากจะมีประโยคใดในคำปราศรัยของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่น่าฟัง ประโยคนั้นก็คือ "พวกคุณเป็นสัตว์ร้ายทางการเมือง" ที่น่าฟัง เพราะคนเสื้อแดง และผู้สูญเสียจากการสลายการชุมนุมภายใต้การนำของรัฐบาลประชาธิปปัตย์ก็ไม่เคยลืมเหตุการณ์วันที่ 12-19 พฤษภา 2553 เช่นเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น