โดย ดอม ด่านตระกูล
ข่าวความแตกแยก
และรอยร้าวในหมู่แกนนำคนเสื้อแดงนั้น ช่วงนี้เราคงได้ยินกันถี่ขึ้นกว่าแต่ก่อน
ที่ว่า “ถี่ขึ้น”เพราะไม่ใช่ว่าแต่ก่อนในหมู่แกนนำกันเองจะกลมเกลียวกอดคอ
จุ๊บปากกันทุกวันโดยไม่เคยมีความขัดแย้ง ความขัดแย้งในหมู่แกนนำและในกลุ่มก้อนคนเสื้อแดงแต่ละเฉดสีก็มีมาเป็นระยะๆอย่างที่เราเคยได้ยินกันมา
แต่คราวนี้ดูเหมือนจะหนักหนารุนแรงถึงขั้นตัดขาดกันเลยหรืออย่างไร
มวลชนคนเสื้อแดงฟังข่าวแล้วอย่าเพิ่งท้อแท้ โกรธ ผิดหวัง
หรือเสียใจที่เห็นแกนนำทะเลาะกันเอง
ความขัดแย้งเป็นของธรรมดาโลก
ในอดีต “คณะราษฎร” ที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา เมื่อก่อการสำเร็จ ลักษณะนิสัยส่วนตัว
ทัศนคติและภูมิหลังที่แตกต่างก็ยังทำให้ “คณะราษฎร” ต้องขัดแย้งกันเองเป็นหลายกลุ่มหลายฝ่าย
เช่น พระยาทรงสุรเดช ฝ่ายหนึ่ง
พระยาพหลพลพยุหเสนา กับหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนหลวงพิบูลสงคราม (จอมพลป.) ตอนแรกก็อยู่ฝ่ายเดียวกับท่านปรีดี
ต่อมาไปรับคำเชิญของคณะรัฐประหาร 2490
ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีตามกวาดล้างกลุ่มนักการเมืองที่สนับสนุนท่านปรีดี
เรียกว่าปฏิบัติการทุกอย่างอยู่ตรงข้ามกับท่านปรีดีทั้งสิ้น แต่สุดท้ายเมื่ออยู่ในภาวะที่ไว้ใจใครไม่ได้ ความที่เคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมา
และจอมพลป. คงทราบดีว่าท่านปรีดีเป็นคนซื่อสัตย์
และทำทุกอย่างเพื่อชาติบ้านเมืองโดยไม่มีอะไรเคลือบแฝง จึงตัดสินใจเขียนจดหมายไปหาท่านปรีดี
และเตรียมจะแก้ไขกฎหมายเพื่อรื้อฟื้นคดีสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 8
ขึ้นมาใหม่ก็เพื่อให้ท่านปรีดีได้พ้นมลทินจากข้อกล่าวหานี้นั่นเอง แต่ยังไม่ทันจะได้ดำเนินการอะไรเมื่อข่าวคราวแพร่งพรายออกไปท่านก็ถูกรัฐประหารเมื่อปี
2500 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศจวบจนสิ้นลมหายใจเช่นเดียวกับท่านปรีดี
วัฎจักรการต่อสู้ก็เป็นเช่นนี้แล
จากบทเรียนในอดีต เราจะเห็นได้ว่าทุกๆการต่อสู้ ไม่เพียงแต่ในประเทศไทย ในทุกๆประเทศล้วนมีความขัดแย้งเป็นธรรมดา
บางประเทศเมื่อสามารถปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศได้สำเร็จ
ก็ยังมีปัญหาจิปาถะเรื่องการจัดการ ดำเนินงาน จนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ขัดแย้ง ต่อสู้กันเองอีกหลายครั้ง กระทั่งในบางประเทศต้องใช้เวลาเป็นหลายสิบปี
กว่าจะชัดเจนกับการค้นหาวิธีจัดการรูปแบบการเมืองภายในประเทศที่เหมาะสม
ลงตัวที่สุด
ที่สำคัญอยู่ที่
“เป้าหมาย” ถ้าในกลุ่มนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยยังมี “เป้าหมาย” อันเดียวกัน นั่นหมายถึง
“จุดร่วม” เดียวกัน เราก็สามารถร่วมทางกันได้ ส่วนความขัดแย้งหรือวิธีการที่แตกต่างหรืออาจจะเรียกว่า
“จุดต่าง” นั้น ขอให้มวลชนคนเสื้อแดงมองอย่างเข้าใจ และจุดต่างนั้นจะไม่สร้างปัญหาใดๆในการต่อสู้เลย
เพราะการเดินทางเพื่อไปสู่จุดหมายแห่งใดแห่งหนึ่งนั่นย่อมมีหลายหนทางด้วยกัน อย่างที่พูดกันว่า
“แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง”
แต่ว่า..หาก
“จุดหมาย” ไม่ใช่ที่เดียวกันเสียแล้ว ก็คงจะเดินทางร่วมกันลำบาก เพราะถ้า “ฝืน”
เดินต่อ มีแต่จะทำให้หลงทิศหลงทางกันไปเปล่าๆ
มวลชนนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทุกคนที่ปวารณาตัวว่าจะสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้ว
ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนเป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ที่สำคัญสามารถ “ก้าวข้ามแกนนำ” และวิเคราะห์ แยกแยะด้วยตัวเองได้ว่าผู้ใดที่ยังมี
“จุดหมาย” เดียวกันกับมวลชน และมุ่งเดินทางไปสู่ “ความก้าวหน้า”
ถ้าเป็นแกนนำที่มุ่งประโยชน์ของมวลชนเป็นหลัก
ต้องสามารถนำขบวนการ ประคับประคอง ยืดหยุ่นตามจังหวะเวลา ปล่อยให้มวลชนเรียนรู้
สร้างสรรค์ และพัฒนาการไปสู่ความคิดที่ดีกว่า สูงกว่ายิ่งๆขึ้นแม้จะอยู่ภายใต้โครงครอบของผู้ปกครองที่พยายามควบคุมมวลชน
ปิดหู ปิดตา ปิดปากไว้ด้วยกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม แต่แกนนำก็จะพาฝ่าข้ามไปยังที่ถูกที่ควรที่เหมาะสม
เพื่อสังคมอารยะจนได้
การเดินทางไปสู่
“ความก้าวหน้า” จะเป็นไปตามธรรมชาติ และสนับสนุนให้มวลชนเป็นผู้ที่เติบโตทางความคิด
ขับเคลื่อนด้วยพลังความรู้สึกจากภายในเปี่ยมล้นไปด้วยความต้องการ “สิทธิ
และเสรีภาพอันเท่าเทียม” นั่นคือระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์
เพื่อให้เกิดคลื่นพลังมวลชนที่มีทั้งคุณภาพและอานุภาพจนสามารถทำลายล้าง
“ระบบเก่า” ได้อย่างถอนรากถอนโคน
ไม่ใช่ยอมตามเป็นมวลชนที่ว่านอนสอนง่าย แต่เป็นมวลชนที่แกร่งกล้าด้วยความรู้
และความคิด รู้ตัวตนว่า “เรากำลังจะเดินไปไหน เรากำลังต่อสู้กับใคร?
และเราควรทำอย่างไร”
โลกเปลี่ยนไปแล้ว
เรื่องราวในประเทศเราไม่ใช่ส่งผลสะเทือนแค่ภายในประเทศ เราไม่ได้สู้อยู่อย่างเดียวดาย
ทุกวันนี้เราแค่เปิดคอมพิวเตอร์ เปิดมือถือ
หรือเครื่องมือสื่อสารชนิดต่างๆมากมายหลากหลายชื่อ ทั้งไอแพด ไอโฟน สมาร์ทโฟน
แท็บเลต ฯ แค่พริบตาเราก็สามารถติดต่อกับคนขั้วโลกใต้ ขั้วโลกเหนือได้อย่างง่ายดาย
ข้อมูลข่าวสารอันเร้นลับที่เคยถูกบิดเบือน ปิดบัง อำพราง มาบัดนี้ข้อมูลมากมายเหล่านั้นได้ถูกเปิดเผยและแลกเปลี่ยนกันอย่างฉับไว
ไม่สามารถซ่อนเร้นไว้ในมุมมืดได้อีกต่อไป
การต่อสู้ของมวลชนคนเสื้อแดงหลากหลายเฉดสียังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องพร้อมไปกับการให้
และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ อันจะสั่งสมความ “ตาสว่าง” ให้กระจ่างแจ้งชัดเจนขึ้น
ฉะนั้นมวลชนที่อาจจะกำลังหนักใจ กลุ้มใจในเรื่องราวความขัดแย้งของแกนนำ โปรดวางใจ
ทำใจให้สบายไม่ต้องกังวลใจแต่อย่างใด คิดเสียว่า “ความขัดแย้ง” เป็นของธรรมดาโลก
ส่วนเรื่องการนิรโทษกรรม การพิจารณามาตรา 112
และการแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดว่าด้วยระบอบการปกครองของประเทศนั้น
จักต้องเกิดขึ้นภายใต้ระบอบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย ตราบใดที่ประเทศนี้ยังไม่มีการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย
การเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เกิดขึ้น แต่อย่าเพิ่งท้อกับการต่อสู้ที่ดูเหมือนเส้นทางจะยาวไกล
เราต้องเดินกันต่อไปทำกันเต็มกำลัง ก้าวไปทีละก้าวอย่างน้อยถึงยังไม่ได้ประชาธิปไตยแต่สิ่งที่ควรจะได้
และขอแรงมวลชนร่วมกันสนับสนุนคือ ขอให้ได้สิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์กลับคืนมาบ้าง
นั่นคือ “สิทธิในการประกันตัว” ของผู้ต้องหาคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
โดยเฉพาะคดี 112 ควรจะได้รับสิทธิในการประกันตัวเช่นเดียวกับผู้ต้องหาคดีอื่นๆ
ส่วนในเรื่องการแก้ไขตัวบทกฎหมาย
ผู้เขียนเชื่อว่าถ้ามวลชนยืนหยัดที่จะมุ่งหน้าเดินทางไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแน่วแน่และมั่นคง
สุดท้ายแล้วกฎหมายอันเป็นประชาธิปไตยก็จะค่อยๆตามมา
ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ เพราะเมื่อมวลชน “ตาสว่าง” แล้ว ย่อมเรียกร้องโหยหา
“สิทธิและเสรีภาพ” อันเท่าเทียม และพลังอธรรมอันใดก็จะไม่สามารถหยุด “ไฟพลังมวลชน”
ได้
....................................................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น