นับตั้งแต่เดือนธันวาคม
2555
เป็นต้นมา เกิดเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับนักโทษการเมืองหลายอย่างนับตั้งแต่การเสียชีวิตของคุณวันชัย
รักษ์สงวนศิลป์ มาจนถึงการพิพากษาคดี 112 ของคุณสมยศ
พฤกษาเกษมสุข และครบรอบ 2 ปี ที่คุณสุรชัย แซ่ด่าน
ถูกจับขังคุกในเดือนกุมภาพันธ์ รวมทั้งปี 2556 นี้ จะมีการเคลื่อนไหวสำคัญเกี่ยวกับนักโทษการเมือง
เช่น กลุ่มนิติราษฎร์เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญนิรโทษกรรมแก่ผู้ที่มีคดีการเมือง
การเคลื่อนไหวปลดปล่อยนักโทษการเมืองของกลุ่มปฏิญญาหน้าศาลและองค์กรแนวร่วม ฯลฯ บทความนี้จะลองประเมินสถานะของนักโทษการเมืองภายใต้กรอบเสรีภาพและสัญญาประชาคมของรุสโซ(Jean-Jacques
Rousseau;1712–78) ซึ่งเป็นนักปรัชญาในยุคตาสว่างของยุโรป(enlightenment) โดยก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับคำว่า อำนาจอธิปไตย เสรีภาพ ความเสมอภาค
ในทัศนะของรุสโซเป็นเบื้องต้นเสียก่อน คือ
ความคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน(popular
sovereignty)มีที่มาจากการเสนอของ รุสโซ รุสโซได้สร้างประชาคมการเมืองขึ้นมาด้วย
"เจตจำนงค์ส่วนรวม"(general will) เจตจำนงค์ส่วนรวมคือที่มาของหลักการอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนซึ่งเป็นรากฐานของประชาธิปไตยในปัจจุบัน
ซึ่งเขากล่าวไว้ในหนังสือสัญญาประชาคม(The Social Contract) แต่ก่อนหน้าหนังสือสัญญาประชาคม
รุสโซได้เสนอความคิดอันเป็นพื้นฐานที่เป็นต้นกำเนิดของความไม่เสมอภาคของมนุษย์ โดยจำแนกความไม่เสมอภาคเป็น
2 ประเภท คือ ประเภทแรก ความไม่เสมอภาคอันเกิดจากธรรมชาติหรือความไม่เสมอภาคทางกายภาพ
ประกอบไปด้วยความแตกต่างด้านอายุ สุขภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย
และคุณภาพของจิตใจหรือจิตวิญญาณ ประเภทที่สอง ความไม่เสมอภาคทางการเมืองหรือศีลธรรม
ซึ่งขึ้นอยู่กับระเบียบแบบแผน ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือความยินยอมของมนุษย์ ประกอบด้วย
อภิสิทธิ์ต่างๆ ที่ทำให้บางคนมีความสุขมากกว่า ร่ำรวยกว่า
การมีอคติต่อผู้อื่น มีเกียรติยศ อำนาจ ตลอดจนการบังคับให้คนอื่นอยู่ใต้อำนาจ
รุสโซเชื่อว่ามนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ มีอิสระ มีเสรีภาพโดยสมบูรณ์โดยไม่อยู่ใต้ผู้อื่น
จึงเป็นผลให้ทุกคนเสมอภาคกัน เพราะมีสถานะอย่างเดียวกันคือต่างก็มีเสรีภาพ
หรืออีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์มีเสรีภาพและความเสมอภาคกันตามธรรมชาตินั่นเอง (เสรีภาพและความเสมอภาคจึงเหมือนเป็นสองด้านของเหรียญที่มิอาจแยกขาดจากกันได้)
แต่เมื่อถึงจุดที่สภาพการณ์บังคับให้ต้องยกเลิกความเป็นอยู่ตามธรรมชาติเพื่อความอยู่รอด
จึงเป็นที่มาของการเกิดสังคมขึ้น สังคมเป็นผลของวิวัฒนาการด้านลบของมนุษย์
การเกิดขึ้นของสังคมในทัศนะของรุสโซจึงไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ
เมื่อมาอยู่ในสังคมมนุษย์กลับตกเป็นทาสของสิ่งที่มนุษย์คิดค้นพัฒนาขึ้น
ตกเป็นทาสของมนุษย์ด้วยกัน ความเจริญก้าวหน้าในศิลปะวิทยาการกลับยิ่งทำให้มนุษย์อ่อนแอลงเพราะตกอยู่ในพันธนาการจนไม่อาจมีเสรีภาพและความเสมอภาคที่เคยมีตามธรรมชาติได้
ดังที่รุสโซเริ่มต้นประโยคแรกของหนังสือสัญญาประชาคมว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี และทุกแห่งหนเขาตกอยู่ในพันธนาการ
มีบางคนที่เชื่อว่าพวกเขาเป็นนายเหนือผู้อื่น
และซึ่งเขาก็เป็นทาสไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนอื่น”
รุสโซให้ความสำคัญกับเสรีภาพในฐานะที่เป็นแก่นของความเป็นมนุษย์
โดยนิยามเสรีภาพผูกโยงกับความเป็นมนุษย์และศีลธรรม
การไม่มีเสรีภาพเป็นการฝ่าฝืนศีลธรรมและเมื่อใดที่ปราศจากเสรีภาพเมื่อนั้นก็ไม่อาจเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป
“การปฏิเสธเสรีภาพ คือ การปฏิเสธความเป็นมนุษย์
สิทธิและหน้าที่ของความเป็นมนุษย์
ไม่มีอะไรที่จะทดแทนได้สำหรับคนที่สละทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนั้น
การสละซึ่งเสรีภาพนั้นเป็นการฝ่าฝืนธรรมชาติของมนุษย์
การลบล้างเจตจำนงค์แห่งเสรีภาพเท่ากับเป็นการลบล้างศีลธรรมออกจากทุกการปฏิบัติของมนุษย์”
การปราศจากเสรีภาพและความเสมอภาค
ความเลวร้าย ความอัตคัตขัดสนทั้งปวงล้วนเกิดจากน้ำมือมนุษย์ในสังคม
ทางออกของรุสโซที่จะแก้ปัญหานี้ คือ "สัญญาประชาคม"
หรือการสร้างระเบียบสังคมการเมืองเสียใหม่ โดยมนุษย์จำต้องยอมเสียสละเสรีภาพและความเสมอภาคตามธรรมชาติเพื่อแลกกับเสรีภาพและความเสมอภาคทางการเมืองในฐานะที่เป็นพลเมือง
นั่นคือสัญญาประชาคมจะทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากภาวะอันไม่พึงประสงค์และได้เสรีภาพและความเสมอภาคกลับคืนมา
สัญญาประชาคมของรุสโซเกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ทุกคนต้องยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้มาอยู่ภายใต้เจตจำนงค์ส่วนรวม
ดังที่รุสโซกล่าวว่า "พวกเราแต่ละคนมอบตนเองและอำนาจทั้งหมดให้มาอยู่รวมกันภายใต้เจตนารมณ์อันสูงสุดของเจตจำนงค์ส่วนรวม(general
will) ; และเราในฐานะประชาคมก็จะรวมสมาชิกแต่ละคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมดที่มิอาจแบ่งแยกได้"
การรวมกันเป็นประชาคมก็เพื่อจะรวมพลังของทุกคนมาเอาชนะสภาพการณ์อันเลวร้ายต่างๆ
และขับเคลื่อนไปสู่สิ่งที่พึงปรารถนาร่วมกัน
แต่ละคนจะได้รับทุกสิ่งทุกอย่างเทียบเท่ากับสิ่งที่เขาสูญเสียไปและจะได้พลังที่เข้มแข็งกว่าเดิมในการปกป้องสิ่งที่เขามีอยู่
โดยประชาคมนั้นจะได้ชื่อร่วมกันว่า "ประชาชน"(people)(ความหมายแบบองค์รวม) และเรียกว่า "รัฐาธิปัตย์"(sovereign) เมื่อมันแสดงออกว่าเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด
สมาชิกของประชาคม(ประชาชนแต่ละคน)จะมีส่วนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยหนึ่งในส่วนของทั้งหมด
นี่คือที่มาของหลักการอำนาจอธิปไตยของประชาชน
ในแง่ของระบบกฎหมาย สัญญาประชาคมหรือเจตจำนงค์ส่วนรวมก็คือต้นกำเนิดของกฎหมายทั้งปวง
หรืออำนาจอธิปไตยที่ชี้นำโดยเจตจำนงค์ส่วนรวมคือที่มาของกฎหมายทั้งปวง
กฎหมายจะมีได้โดยเจตจำนงค์ส่วนรวมเท่านั้น
รุสโซได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่สังคมจะต้องมีกฎหมาย โดยมีเป้าหมายคือความยุติธรรม
ซึ่งมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่มีสิทธิในการบัญญัติกฎหมาย(กฎหมายที่มาจากอำนาจอธิปไตยของประชาชนเท่านั้นจึงจะเรียกว่าเป็นกฎหมาย)
และผู้ปกครองจะไม่สามารถอยู่เหนือกฎหมายได้เพราะผู้ปกครองเป็นแค่สมาชิกคนหนึ่งของประชาคม
ในประการสำคัญ รุสโซได้ผนวกรวมแก่นทางปรัชญาของเขาคือ
เสรีภาพและความเสมอภาคเข้ากับกฎหมาย และกลายเป็นเป้าหมายของการบัญญัติกฎหมายหรือเป้าหมายของสัญญาประชาคม
ดังที่รุสโซได้กล่าวว่า "ถ้าเราจะหาว่าสิ่งใดคือประโยชน์สูงสุดของเป้าหมายอันจำเป็นสำหรับระบบกฎหมาย
เราจะพบว่ามันถูกจำกัดอยู่ในสองสิ่งเท่านั้น คือ เสรีภาพและความเสมอภาค
เสรีภาพเพราะทุกรูปแบบของการไร้ซึ่งเสรีภาพย่อมหมายถึงว่ารัฐเองก็ได้สูญเสียความเข้มแข็งลงไปดุจเดียวกัน
ความเสมอภาคเพราะเสรีภาพมิอาจดำรงอยู่ได้หากปราศจากความเสมอภาค" ในทัศนะของรุสโซ
ระบบสังคมโดยพื้นฐานคือพันธะสัญญาที่จะนำความเสมอภาคทางกฎหมายและศีลธรรมมาแทนที่ความเสมอภาคตามธรรมชาติเพื่อแก้ปัญหาความไม่เสมอภาคทางกายภาพตามธรรมชาติ
ได้แก่ ความแข็งแรงหรือสติปัญญา
ความเสมอภาคจะเป็นจริงได้ก็ด้วยข้อตกลงและสิทธิของคนทุกคน ถึงที่สุดแล้วสัญญาประชาคมของรุสโซคือความพยายามแสวงหารูปแบบการปกครองที่ชอบธรรม
การปกครองที่ชอบธรรมจำต้องได้อำนาจมาจากประชาชนในฐานะที่เป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์เท่านั้น
และการปกครองที่ชอบธรรมต้องปกป้องเสรีภาพ(และความเสมอภาค)ซึ่งเป็นแก่นของความเป็นมนุษย์
ในสังคมไทยที่เสรีภาพหลายเรื่องเป็นสิ่งต้องห้าม
การบัญญัติกฎหมายที่มิได้มาจากอำนาจของประชาชน มีระบบกฎหมายที่กดขี่บังคับไม่ให้มีเสรีภาพ
นักโทษการเมืองถูกขังโดยกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและไร้ความยุติธรรม
ภายใต้ระบอบการปกครองอันเลวร้ายนี้ ต่อให้คุณสมยศชนะคดี 112
คุณสุรชัยและนักโทษการเมืองตลอดจนคนที่โดนคดีการเมืองทั้งหมดได้รับนิรโทษกรรม
ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขามีความเป็นมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่นัก
รวมทั้งประชาชนไทยทั้งประเทศก็ไม่ต่างกันคือเป็นได้แค่สิ่งมีชีวิตที่หน้าตาคล้ายมนุษย์
มีสถานะที่แท้จริงต่ำกว่ามนุษย์
เหตุเพราะพวกเขายังไม่มีเสรีภาพและความเสมอภาคที่แท้จริง ตราบใดที่ยังไม่ปลดปล่อยให้ประชาชนคนไทยมีเสรีภาพอย่างแท้จริง
พวกเขาทั้งหมดก็มีสถานะไม่ต่างจากสัตว์เท่านั้น
เรามาเขียนสัญญาประชาคมกันใหม่เถอะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น