Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

วงจร "อุบาทว์" กรณี ทำร้าย "วรเจตน์" วงจร "กระทิงแดง"

ที่มา:มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 3 มีนาคม2555

เห็นภาพการเข้ามอบตัวของ 2 พี่น้องฝาแฝด นายสุพจน์ ศิลารัตน์ กับ นายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ ซึ่งยอมรับว่าไปดักรอเพื่อชก นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

แล้วเหนื่อย

มิใช่เหนื่อยเพราะว่า 2 คนนี้มีประวัติถูกจับมาแล้ว โดย นายสุพจน์ ศิลารัตน์ พี่ชายถูกจับคดีมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะขับรถผ่านด่านตรวจบริเวณแยกประชาอุทิศ ถนนสรงประภา แขวงสีกัน เขตดอนเมือง เมื่อเดือนมกราคม 2553

โดย นายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ น้องชายถูกจับข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นกลางสี่แยกไฟแดง กม.27 ถนนพหลโยธิน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544

มิใช่เหนื่อยเพราะภาพในเฟซบุ๊กส่วนตัวแวดล้อมด้วยอาวุธปืนและการใช้ปืน

หากที่เหนื่อยมากยิ่งกว่า เพราะระหว่างการแถลงข่าวเมื่อนักข่าวถามว่า อยากพูดอะไรหรือไม่ คำตอบที่ออกจากปากคือ  "อยากเตะนักข่าว"
เหนื่อยเพราะเป็นคำพูดอันออกมาจากปากของชายฉกรรจ์วัย 30 เหนื่อยเพราะเป็นการพูดหลังจากรุมชกต่อย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ กลางวันแสกๆ พร้อมกับร้องตะโกน   "มึงอยากรู้ว่ากูเป็นใครให้ไปดูกล้องวงจรปิด"
เพียง 1 วันภายหลังปฏิบัติการสั่งสอนต่อ นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ 2 พี่น้องฝาแฝดจากปทุมธานีก็เดินทางเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

เป็นการมอบตัวและรับสารภาพ ไม่มีอาการสะทกสะท้าน

"ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันก่อเหตุจริงโดยมาเฝ้าสังเกตการณ์ที่มหาวิทยาลัยหลายวันแล้ว กระทั่งวันเกิดเหตุพบที่ลานจอดรถจึงรุมชกต่อยทันที สาเหตุมาจากเรื่องความเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน"
เป็นแถลงจาก พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

หลักฐาน 1 อันสะท้อนทรรศนะ "ต่าง" ทางการเมือง คือ การเดินทางร่วมกับกลุ่มสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทยมาประท้วงคณะนิติราษฎร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยการนำของ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน และนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์

เป็นการประท้วงโดยเผาหุ่น นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์

จากการเผาหุ่นก็พัฒนาเป็นมาเฝ้ารอที่ลานจอดรถ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อรอ "สั่งสอน" โดยการรุมเข้าชกต่อย

เห็นภาพของ 2 พี่น้องฝาแฝดแล้วนึกถึงภาพเหล่า "กระทิงแดง" เมื่อปี 2518 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ล้อมปราบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519

อดไม่ได้ที่จะนึกถึงแกนนำคนสำคัญ นายเฉลิมชัย มัจฉากล่ำ

นายเฉลิมชัย มัจฉากล่ำ เป็นนักเรียนอาชีวะที่ชมชอบในการใช้กำลัง ต่อมาได้รับการหนุนเสริมจาก พล.ต.สุตสาย หัสดิน ปั้นแต่งให้เป็นผู้นำ "กระทิงแดง"

เปิดปฏิบัติการตอบโต้การเคลื่อนไหวของกลุ่มนิสิตนักศึกษาตั้งแต่ปี 2518 เป็นต้นมา

ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวโดยการขว้างระเบิดขวด ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวโดยการยิงปืนก่อกวนอีกฝ่าย ก็ไม่เคยถูกจับกุม

เพราะว่า "กระทิงแดง" มี กอ.รมน.อยู่เบื้องหลัง
ยิ่งบทบาทของ "กระทิงแดง" ในสถานการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่ร่วมกับลูกเสือชาวบ้านและ ตชด.จากหัวหิน ยิ่งมากด้วยความเหี้ยมหาญ

เหมือนกับได้รับใบอนุญาตฆ่า แบบเดียวกับ เจมส์ บอนด์

หลังสถานการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ส่วนหนึ่งของกระทิงแดงก็เข้าไปมีส่วนในการถืออาวุธคุ้มครองการสร้างทางเข้าสู่เขตที่มั่นทางทหารของกองทัพปลดปล่อยแห่งประเทศไทย

ยิ่งทำให้การใช้อาวุธมีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น

เมื่อสถานการณ์สงครามกลางเมืองสงบลงก็เข้าสังกัดเป็นกำลังพลในศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการทหารสูงสุด ปฏิบัติการลับในหลายจุดอันมากด้วยผลประโยชน์ กระทั่งในที่สุดเข้าพัวพันกับคดีสังหารผู้ว่าราชการจังหวัดในโรงแรมใหญ่ย่านรัชดาภิเษก

ถูกศาลพิพากษาจำคุก

เส้นทางของ 2 พี่น้องฝาแฝดแห่งปทุมธานีอาจไม่เหมือนเส้นทางของ นายเฉลิมชัย มัจฉากล่ำ

แต่กระบวนการแห่งความขัดแย้งทางการเมืองก็สร้างคนอย่าง นายเฉลิมชัย มัจฉากล่ำ และสร้างคนอย่าง 2 พี่น้องฝาแฝดให้ปรากฏและแสดงตัวในรูปแบบอันแทบไม่แตกต่างกัน

เป็นเหมือนกงเกวียนกำเกวียน ซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนเขาวงกต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น