Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

ระบอบสังคมการเมืองที่ “ขัดฝืนการเปลี่ยนแปลง” คือ “อันตรายที่แท้จริง”

ทางประวัติศาสตร์แห่งอนาคตของธงชัยคำแถลงการณ์
Thongchai Menifesto
จาก REDPOWER ฉบับ 24 เดือน มีนาคม 55


Manifesto คือคำประกาศแห่งประวัติศาสตร์ หรือ “คำแถลงการณ์” ที่มีลักษณะแห่งประวัติศาสตร์ คนทั้งโลกรู้จักคำ ๆ นี้จากงานเขียนอันเป็นลักษณะทางประวัติศาสตร์ที่ชี้นำทิศทางการเคลื่อนตัวของสังคมมนุษยชาติในนามของ Communist Manifesto ผลงานข้อเขียนนั้นก่อให้เกิดการปรับขบวนโลกใหม่ มีผลทำให้ผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่ปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ หรือหากปรับกันไม่ได้ก็ต้องพังทลายลงร่วมกันและเป็นจุดกำเนิดของสงครามต่อสู้เพื่อเอกราชและสงครามเย็นในช่วงระยะเวลาเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา ผลงานคำแถลงการณ์นี้เขียนโดย คาร์ล มาร์กและเองเกลส์

          จุดกำเนิดแห่ง Thongchai Menifesto เกิดขึ้นในค่ำคืนของวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2555 ณ โรงแรมรัตนโกสินทร์ ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยผู้คนต่างวัย ต่างสีเสื้อ แต่ก็มองเห็นว่ามีเสื้อสีแดงแซมอยู่เป็นบางจุด ทำให้เป็นสีสันที่สะดุดตาของคืนที่มีการนัดหมายเพื่อฟังปาฐกถาของศาสตราจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์ ในหัวข้อ “ระบอบสังคมการเมืองที่ขัดฝืนการเปลี่ยนแปลงคืออันตรายที่แท้จริง” พอเดินเข้าไปในงานพบว่าส่วนหนึ่งของผู้มาร่วมงานมีหน้าตาที่คุ้นเคยกับเหตุการณ์เดือนตุลาคมเมื่อ 36 ปีที่แล้ว

          เช้ามืด 6 ตุลาคม 2519 กระแสการทำลายล้างกลุ่มนักศึกษาที่มีแนวความคิดตรงกันข้ามกับอำนาจเผด็จการในสมัยนั้น จึงเกิดเหตุการณ์ที่เป็นรอยอัปยศของระบอบการปกครองไทย ซึ่งไม่อาจจะเปิดเผยได้ในเวลานี้ อดีตของ “ธงชัย” เป็นผู้นำนักศึกษาที่ใช้ไมค์โครโฟนเป็นอาวุธเพื่อรักษาชีวิตคนนับพันในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งวันนั้นธงชัยต้องใช้เสรีภาพของตนเองเป็นเครื่องสังเวย 3 ปีในคุกบางขวางเพื่อปกป้องประชาชน พี่น้อง และผองเพื่อน แต่สำหรับคืนวันที่ 11 กุมภาพันธ์ปีนี้ สถานการณ์ต่อสู้กับอำนาจเผด็จการยังคงเดิม แต่เป็นธงชัยในฐานะศาสตราจารย์ยังทำหน้าที่ปกป้องชีวิตของคนไทยเช่นเดิม แต่เป็นการปกป้องชีวิตคนไทยในอนาคตที่แจ่มชัดแล้วอันตรายยิ่งโดยผ่านข้อเขียนและคำพูดของเขาเพื่อให้คนในสังคมไทยเข้าใจปัญหาในอนาคตมากยิ่งขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย เพียงแต่วันนี้ธงชัยยังไม่ต้องใช้เสรีภาพของตนเป็นเครื่องสังเวย (เพราะอนาคตยังไม่มีใครรู้)

การวิเคราะห์กลุ่มคนหรือมวลชนที่มีพลังผลักดันให้กับประชาธิปไตย การกะเทาะเปลือกกลุ่ม hyper-royalism ให้เข้าใจและตระหนักถึงปมปัญหาที่ลึกซึ้งควรรีบจัดการแก้ไขก่อนที่จะสายเกิน เพื่อรักษาชีวิตผู้คนในสังคมไว้อีกครั้ง  Red Power มองว่าการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น  นิติราษฎร์คือผู้จุดคบไฟให้สว่างไสวยามวิกาล ส่วน ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล คือผู้เติมความสว่างไสวให้ยืนยาวไม่มีวันดับ ปาฐกถาครั้งนี้จึงมีลักษณะประวัติศาสตร์เปรียบได้เหมือนแถลงการณ์เฉกเช่น Manifesto ของคาร์ล มาร์ก และ เองเกลส์ ในนาม “แถลงการณ์ของธงชัย” หรือ “Thongchai Manifesto”  

(บันทึกนี้ถอดเทปจากคำบรรยายของศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูลพูดที่โรงแรมรัตนโกสินทร์กรุงเทพมหานครฯเมือวันที่ 11กุมภาพันธุ์ 2555 กองบรรณาธิการเห็นว่าเนื้อหาการบรรยายได้ผ่านมาประมาณ1เดือนแล้วโดยไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีและไม่มีการกล่าวตักเตือนใดๆจากเจ้าหน้าที่ตำรวจประกอบกับกองบรรณาธิการเห็นเนื้อหาการบรรยายนี้เป็นเนื้อหาทางวิชาการและเป็นถ้อยคำที่แสดงออกถึงความเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์และเป็นประโยชน์ต่อสังคมเพื่อที่ให้ทุกฝายได้เกิดสติในการหาทางออกจากวิกฤตการเมืองไทยอย่างสันติวิธี)

          ทุกยุคสมัยมีคนจำนวนหนึ่งที่เกิดก่อนกาล พยายามผลักดันการเปลี่ยนแปลง แต่กลับถูกทำร้ายแทบไม่ได้ผุดได้เกิด ทว่าอนาคตพิสูจน์ว่าประวัติศาสตร์ยืนอยู่ข้างเขา  ปรีดี พนมยงค์ถูกใส่ร้ายสังคมเข้าใจผิดการปฏิวัติ2475 เป็นเวลา 30กว่าปี กว่าคนจะเห็นและเข้าใจ ทุกวันนี้คนที่รู้สึกกับท่านปรีดีต่างกับเมื่อสมัย30ปีที่แล้ว เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519ใช่เวลา 20 กว่าปีคนจะรู้ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นอาชญากรรมที่น่าอัปยศและรอการสะสาง  ผมเชื่อมั่นว่า  นิติราษฎร์และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อแก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) คือผู้เกิดก่อนกาลประเภทนี้  อนาคตจะพิสูจน์ว่าประวัติศาสตร์ของสังคมไทยยืนอยู่ข้างพวกเขา  ผมอยากให้ท่านลองคิดถึงอีก 50 ปีข้างหน้าประวัติศาสตร์จะบันทึกความขัดแย้งทางการเมืองและความขัดแย้งกรณีมาตรา 112 ในปัจจุบัน  ว่าสะท้อนภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยว่าอย่างไร ความรู้และทัศนะในอนาคตจะประเมินและวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ปัจจุบันว่าอย่างไร  แม้เราจะบอกไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ปีนี้ ปีหน้า  หรือประมาณ 5-10 ปีข้างหน้าผมก็บอกไม่ได้  แต่แนวโน้มกระแสความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ของสังคมไทยและของโลกในแง่ระบอบการเมือง (ที่จะเป็นเสรีนิยมมากยิ่งขึ้น)  กลับพอจะมองออกได้ ผมขอเสนอว่า  อีก 50 ปีข้างหน้า ประวัติศาสตร์จะอธิบายบริบท หรือภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน  จะบันทึกถึงความขัดแย้งกรณีมาตรา 112 และจะอธิบายการฉุดรั้งขัดฝืนความเปลี่ยนแปลง  ดังนี้ ผมขอตั้งข้อสังเกตบางประการต่อการปรับตัวและฉุดรั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ๆ  ในสังคมไทยสักข้อหนึ่ง คือ ผลของการปรับตัวใหญ่ครั้งหนึ่งๆ มักทำให้เกิดพลังทางการเมืองอย่างใหม่เติบโตขึ้นมาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง  จึงฉุดรั้งขัดฝืนเป็นอุปสรรคขัดขวางการเปลี่ยนแปลงระลอกต่อมาเสียเอง เช่นตัวอย่างยุครัฐสมบรูณาญาสิทธิราชย์ส่งผลให้เกิดรัฐสมัยใหม่สร้างราชการและชนชั้นใหม่ซึ่งต้องการความเปลี่ยนแปลงในเวลาต่อมา แต่รัฐสมบรูณาญาสิทธิราชย์ฉุดรั้งขัดผืนความเปลี่ยนแปลง จึงเกิดการปฏิวัติ 2475 นั่นเอง  การปรับตัวยุคสงครามเย็นและเศรษฐกิจโลกยุคใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง  ทำได้สำเร็จภายใต้เผด็จการทหาร  สร้างชนชั้นกลางซึ่งเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยในเวลาต่อมา  แต่รัฐเผด็จการฉุดรั้งขัดผืนความเปลี่ยนแปลง  จึงเกิดการปฏิวัติ 14 ตุลา 2516เห็นภาพไหมครับ


สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว เกิดพลังใหม่สนับสนุนประชาธิปไตย
               หากเรามองกระแสความเปลี่ยนแปลงในมุมกว้างขึ้นระยะยาวขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่าจะเป็นมุมมองต่อปัจจุบันในอีก 50 ปีข้างหน้า เราจะเห็นว่าวิกฤติปัจจุบันเกิดจากมูลเหตุหลักๆ คือการเติบโตทางเศรษฐกิจตั้งแต่ครึ่งหลังของทศวรรษ 2520 ได้พลิกโฉมชนบทและหัวเมืองทั่วประเทศ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเมือง-ชนบทเปลี่ยนไปวิถีชีวิตของคนในชนบทและหัวเมืองเปลี่ยนไปมาก เข้าถึงการศึกษาระดับสูง ผู้คนรู้จักแสวงโอกาสทางเศรษฐกิจ สร้างตัวเอง ทั้งรู้จักการต่อรองต่อสู้เพื่อทรัพยากรจากภาครัฐด้วย นักวิชาการต่างประเทศเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ชาวนากลายเป็นชนชั้นกลาง ผลก็คือ ผู้คนที่แต่ก่อนไม่ได้รับดอกผลของประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งเท่าไรนัก กลับตระหนักว่าการเลือกตั้งคือช่องทางที่เขาสามารถดึงทรัพยากรจากนโยบายและ โครงการของรัฐบาลที่เขาเลือกให้กลับมาเป็นประโยชน์แก่ท้องถิ่นของเขาได้  การเลือกตั้งคือช่องทางที่ชนชั้นกลางชนบทเหล่านี้ใช้เอาชนะระบบราชการและระบอบการเมืองที่เอียงเข้าข้างคนกรุงมาตลอด  ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย จึงสร้างพลังทางการเมืองอย่างใหม่ขนาดใหญ่มหึมาขึ้นมา ซึ่งพลังทางการเมืองดังกล่าวต้องการระบบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งทักษิณไม่ได้ซื้ออำนาจจากชาวบ้านโง่ๆ แต่พลังทางการเมืองอย่างใหม่หรือชาวบ้านต่างหากที่สร้างทักษิณขึ้นมา ปรากฏการณ์ทักษิณเกิดขึ้นได้ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ชั่ววูบชั่วคราว ไม่ใช่ผลของยุทธวิธีทางการเมืองหรือเงิน แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงระดับพื้นฐานที่ไม่มีทางย้อนกลับได้อีกแล้ว  แต่ผู้ครอบงำระบอบการเมืองไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้ พวกเขาคิดว่ากำจัดปีศาจทักษิณแล้วทุกอย่างก็จะหมดปัญหา พวกเขาไม่เห็นว่าประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ซึ่งครอบงำการเมืองไทยมา 40 ปีต่างหากที่กำลังขัดฝืนความเปลี่ยนแปลง



ประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ไม่ยอมปรับตัว

ความคิดเรื่องระบอบ ประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ เผยตัวเป็นรูปธรรมครั้งแรกหลังการรัฐประหาร 2490 แต่มาเติบโตขึ้นมากช่วงต้นทศวรรษ 2510 โดยนักวิชาการเสรีนิยมยุคนั้นไม่พอใจเผด็จการทหารจึงพยายามแสวงหาทางเลือกอื่น ประสานกับปัญญาชนอนุรักษ์นิยม  จุดพลิกผันที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์สามารถลงหลักปักฐานในระบบการเมืองไทยได้ก็คือ การลุกขึ้นสู้ของประชาชนต่อต้านระบอบเผด็จการทหารเมื่อ 14 ตุลา 2516 โดยกลุ่ม "กษัตริย์นิยม" (ใครก็ตามที่อิงสถาบันฯ เป็นความชอบธรรม หรือเป็นแหล่งที่มาของอำนาจตน และมีมากมายเป็นเครือข่าย) คนพวกนี้เป็นได้ทั้งคนมีสายเจ้าและสามัญชน  อย่างเช่นผมยกตัวอย่างเช่นถ้าผมไปถามท่านพลเอกเปรมว่าท่านมีกษัตริย์นิยมไหม  ท่านก็ต้องบอกว่าใช่ พลเอกเปรมไม่มีทางบอกว่าท่านไม่ใช่  คนพวกนี้ต้องฝ่าอุปสรรคหลายอย่างกว่าจะสถาปนาอำนาจนำได้อย่างแท้จริง   ทั้งความกลัวคอมมิวนิสต์และการปฏิวัติอินโดจีน, การต่อสู้กับอำนาจทหาร กระทั่งหลังเหตุการณ์พฤษภา 2535 กองทัพจึงถอยออกจากการเมือง ยอมอยู่ใต้อำนาจของระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ คือเป็นประชาธิปไตยรัฐสภา มีการเมืองตั้ง โดยมีพวกกษัตริย์นิยมอยู่ชั้นบนเหนือระบบรัฐสภาอีกที  นับจากปี 2516 เป็นต้นมา ระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นแบบไทยๆ มาตลอด ผู้แทนประชาชนถูกจำกัดบทบาท ต้องยอมรับอำนาจกองทัพและอำมาตย์ทั้งโดยเปิดเผยและโดยนัย ระบอบรัฐสภาอ่อนแอ ตั้งแต่พรรคการเมืองจนถึงสถาบันรัฐสภา  หลังรัฐประหาร 2549 พวกกษัตริย์นิยมโฆษณาประชาธิปไตยแบบไทยๆ มิใช่เพราะพวกเขาพยายามสร้างสิ่งใหม่ แต่เป็นการเรียกร้องให้ยึดมั่นอยู่กับประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ พวกเขากำลังฉุดรั้งขัดฝืนการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีทางย้อนกลับได้อีกแล้ว และการฝืนความเปลี่ยนแปลงของพวกเขาคืออันตรายต่อสังคมไทย  ระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ของพวกกษัตริย์นิยมอิงแอบสถาบันฯ อย่างมาก และคือตัวการใหญ่ที่สุดที่ดึงสถาบันฯ มาผูกกับการเมือง ส่งผลให้ประเด็นบางอย่างกลายเป็นปัญหาอย่างไม่ควรจะเป็น หากไม่ปรับตัว จะส่งผลให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันฯ กับระบอบประชาธิปไตย  การปรับตัวหมายถึงต้องทำให้สถาบันฯ อยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง ต้องไม่มีการอ้างอิงสถาบันฯ เป็นแหล่งอำนาจอีกต่อไป ต้องไม่มีพวกกษัตริย์นิยมอยู่ชั้นบนเหนือระบอบรัฐสภาที่มาจากประชาชน ไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักลัทธิกษัตริย์นิยมเสนอว่า ระบอบการเมืองที่พวกเขาต้องการคือลดประชาธิปไตย เพิ่มพระราชอำนาจ ข้อเสนอเช่นนั้นจะยิ่งผลักให้สถาบันฯ พวกเขาไม่ได้ต้องการให้กลับไปเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่ต้องการระบบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์และไม่มีใครว่าได้เพราะกษัตริย์ก็เป็นผู้สนับสนุนประชาธิปไตย ขัดแย้งกับกระแสความเปลี่ยนแปลงหนักยิ่งขึ้น และเป็นอันตรายของสถาบันฯ เองมีความเข้าใจผิดว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องของฝรั่ง ส่วนของไทยคือพระราชอำนาจ การเลือกตั้งเป็นวิธีฝรั่ง การสรรหาแต่งตั้งคนดีมีคุณธรรมเป็นวิธีของไทย  แท้จริงแล้วกระแสประชาธิปไตยมีรากฐานอยู่ที่วิวัฒนาการทางสังคมไม่ว่าชาติไหน สาระที่แท้จริงของประชาธิปไตย คือ เป็นกระบวนการ (วิธีการ) ที่เปิดโอกาสให้พลังทางการเมืองต่างๆ มาปะทะต่อรองอำนาจกันในกรอบกติกาอย่างสันติ กระบวนการนี้จึงไม่มีจุดหมายตายตัว แต่เปิดให้พลังต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมไปได้เรื่อยๆ 



สภาวะปลายรัชกาล

          ระประชาธิปไตยแบบอำมาตย์นับจากปี 2516เติบโตขึ้นมาได้ด้วยปัจจัยจำเป็น 2 อย่างคือหนึ่ง สถาบันกษัตริย์แบบที่แยกไม่ออกจากพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบัน  และ สองลัทธิHyper royalism ที่เติบโตขึ้นมาอย่างมากใน 40ปีที่ผ่านมา ทั้ง2ปัจจัยอิงแอบซึ่งกันและกัน

ผมจะกล่าวถึง Hyper royalism ในหัวข้อถัดไป  10ปีมานี้คนจำนวนมากในสังคมไทยตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อทั้งสังคมที่กำลังจะเกิดขึ้น คือการสืบราชสมบัติ

          สมมติว่าไม่มีประชาธิปไตยแบบอำมาตย์นับจาก 2516 ไม่มีการอ้างสถาบันกษัตริย์เป็นแหล่งความชอบธรรมของอำนาจ  ไม่มีอำนาจของพวกกษัตรีย์นิยมเหนือระบบประชาธิปไตยรัฐสภา  การสืบราชสมบัติและคุณสมบัติของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันหรือองค์ต่อๆไปย่อมไม่มีผลใดๆต่ออำนาจการเมืองและย่อมไม่เป็นสวนหนึ่งของวิกฤติทางการเมือง  ไม่เป็นประเด็นที่ผู้คนต้องวิตก ซุบซิบนินทากันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่ความจริงคือระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์อิงแอบอ้างสถาบันกษัตริย์อย่างมาก  จึงทำให้การสืบราชสมบัติและคุณสมบัติมีผลต่อการเมืองและสังคมทั้งระบบและโดยเฉพาะต่อพวกกษัตริย์นิยมเอง  การซุบซิบนินทาจึงหนาหูอย่างหนาหูอย่างยิ่งในหมู่อำมาตย์นั่นเอง  ประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ของพวกกษัตริย์นิยมคือตัวการใหญ่ที่สุดที่ดึงเอาสถาบันกษัตริย์มาผูกกับการเมือง  และคือสาเหตุที่ทำให้การสืบราชสมบัติเป็นประเด็นขึ้นมาอย่างไม่ควรจะเป็น

         

ประชาธิปไตยจึงเป็นวิธีการที่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลงปรับตัวของสังคม

ประชาธิปไตยจึงไม่ใช่เรื่องของฝรั่งหรือไทย แต่เป็นกระบวนการวิธีการที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาจัดการกับอำนาจในสังคมที่แตกต่างและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สังคมไทยก็แตกต่างและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเช่นกัน มิใช่สังคมหรือชุมชนเล็กๆ ที่ผู้คนมีผลประโยชน์เหมือนๆ กันและคิดคล้ายๆ กันอีกต่อไป ต่อให้ทุกคนในสังคมไทยเป็นคนดีมีคุณธรรม ไม่มีคนเลวเลยแม้แต่คนเดียว ก็ยังมีความแตกต่างขัดแย้งอยู่ดี จึงต้องอาศัยวิธีการประชาธิปไตยมาจัดการความขัดแย้งซึ่งเป็นสิ่งปกติของสังคม

ประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือความเชื่อในพระราชอำนาจว่าจะจัดการความขัดแย้งแตกต่างได้ จึงเป็นความเพ้อเจ้อที่จะยิ่งดึงสถาบันฯ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความแตกต่างขัดแย้ง ยิ่งสังคมเติบโตแตกต่างมาก การหวังพึ่งพระราชอำนาจจะยิ่งทำให้สถาบันฯ ตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น  ในเมื่อเราห้ามหรือหยุดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทางอออกจึงมีทางเดียวคือปรับตัวขอยืมคำของ "เกษียร เตชะพีระ" มากล่าวอีกทีว่า นี่ไม่ใช่เสนอให้ล้มเจ้า แต่ต้องการล้มการอ้างอิงสถาบันฯ  นี่เป็นทางออกทางเดียวที่จะทำให้การสืบราชสมบัติไม่มีปัญหา ไม่เป็นประเด็นที่ให้คนที่อิงเจ้าเอาไปใช้  ไม่เป็นประเด็นที่องคมนตรีหรืออดีตนายกต้องไปซุปซิปให้พวกทูตอเมริกันรู้แล้วก็รายงานไปทั่วโลกให้คนทั้งโลกรู้  นี่เป็นทางออกเดียวที่ทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างไม่มีปัญหาระหว่างคนที่รักศรัทธาเจ้าแบบไม่ต้องมีเหตุผลเลยคนแบบนั้นเราก็ให้เขาอยู่นะ กับคนที่รักแบบมีเหตุผล กับคนที่ไม่ค่อยรักเท่าไหร่แต่ยังเคารพคนที่รักอยู่  กับคนที่ไม่รักเลย พูดกันตรงๆว่าในสังคมไทยมีคนไม่แคร์กับการมีเจ้าการพูดแบบนี้ไม่ใช่การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พูดแบบนี้เป็นการพูดแบบคอนเซปไทยที่เป็นการดูหมิ่นคนที่ไม่รักเจ้านะเพราะฉะนั้นไม่หมิ่น สังคมไทยควรที่จะให้คนทุกประเภทที่รักแบบไม่ต้องมีเหตุผลเลยตลอดจนกระทั่งคนที่ไม่รักเลย ก็อยู่ไปเถอะ  จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเครื่องล่าแม่มดมาตามปิดเว็บไซต์ไม่ต้องไล่ใครออกนอกประเทศไม่ต้องล่วงเกินหยาบคายถึงพ่อแม่คนอื่น ไม่ต้องแขวนคอใครและไม่ต้องเผาใครทั้งเป็น แถมนี่ยังเป็นหนทางที่จะรักษาสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยด้วย

          

สภาวะ Hyper-royalism

ในสังคมไทย  Hyper แปลว่าอะไร ล้นเกิน คลั่ง ผมขอใช้คำนี้เรียกแทนพวกกษัตริย์นิยมล้นเกิน พูดง่ายๆว่าคลั่งเจ้า  ถือว่า 112 เป็นมาตราศักดิ์สิทธิ์ ห้ามแก้ไขหรือแตะต้อง ต่อให้ทำตามที่รัฐธรรมนูญอนุญาตก็ตาม เพราะมาตรา 112 เป็นมากกว่ากฎหมายอาญามาตราหนึ่ง คือเป็นเครื่องมือบังคับควบคุมความคิดของลัทธิ Hyper-royalism  การใช้มาตรา 112 ยังเปลี่ยนไปตามเวลาอีกด้วย การใช้ในแบบล่าสุดระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือใช้ทำลายจิตวิญญาณ หมายถึงการใช้อย่างไร้ความปรานีจนกว่าจะยอมรับสารภาพ คือมักจับไว้ก่อน ไม่ให้ประกันตัว พิจารณาลับ ลงโทษรุนแรง แต่ให้ความหวังว่าจะพ้นคุกได้เร็วถ้ายอมรับสารภาพ จนหลายคนยอมแพ้ในที่สุด นี่คือการทำร้ายถึงจิตวิญญาณ หากต้องการอิสรภาพทางกายต้องยอมแพ้ราบคาบทางมโนสำนึก หลังจากนั้นชีวิตที่มีอิสระทางกายต้องกักขังจิตวิญญาณเสรีไว้ข้างในตลอดไป Hyper-royalism  เป็นลัทธิความเชื่อหนึ่งซึ่งไม่ได้อยู่บนความมีเหตุผล  แต่อยู่กับความศรัทธา ความเชื่อ และความกลัว ทั้งกลัวจะละเมิดโดยไม่ตั้งใจและกลัวคิดต่างจากคนอื่นแล้วจะถูกรังเกียจ สังคมใต้อิทธิพลเช่นนี้ไม่สามารถสร้างประชากรที่มีวิจารณญาณ เพราะวัฒนธรรมทางปัญญาและวิชาการอยู่ภายใต้ความกลัว

 Hyper-royalism  ทำให้การสื่อสารในทางสาธารณะมีขีดจำกัดจนบางเรื่องเชื่อถือไม่ได้ เริ่มจากความกลัวจนกลายเป็นการควบคุมตัวเองแล้วกลายเป็นการร่วมแพร่ข่าวสารด้านเดียว ร่วมประจบสอพลอ ข่าวสารข้อมูล ความคิดเห็นจึงหลบเลี่ยงลงสู่ใต้ดิน “ข่าวลือจึงว่อนเต็มไปหมดแล้ว” และบ่อยครั้งที่มีความจริงมากกว่าข่าวสาธารณะเสียอีก  เรากล้ายอมรับความจริงกันได้ไหมว่าวัฒนธรรมนินทาเจ้าแผ่ไปทั่วสังคมแล้ว  นักวิชาการบางท่านอยากให้สังคมไทยมีการวิจารณ์ผมบอกว่าการนินทาเจ้านี่แหล่ะคือนี่คือวัฒนธรรมการวิจารณ์แบบไทยๆอย่างหนึ่ง  บ่อยครั้งไม่สร้างสรรค์แต่ไม่มีทางเลือกอื่น  เพราะในสังคมสาธารณะอนุญาติให้มีแต่การประจบสอพลอและการจงรักภักดี เรากล้ายอมรับความจริงไหมว่าในสังคมชั้นสูง และพวกกษัตริย์นิยมเองสดุดีในที่แจ้งแต่นินทาว่าร้ายในที่ส่วนตัว  การสดุดีศรัทธาสรรเสริญและการนินทาว่าร้ายสองอย่างนี้มันขัดกันแต่ปัจจุบันทั้งศรัทธาความเชื่อและนินทาว่าร้ายอยู่ด้วยกันและบ่อยครั้งรวมอยู่ในตัวคนเดียวกันแล้วยังทำเป็นเรื่องปกติ  แล้วสังคมก็ทำเป็นเรื่องปกติด้วย พฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอกปากว่าตาขยิบนี้ที่ระยะหลังคนเขาเรียกว่า”ตอแหล”  พฤติกรรมตอแหลกำลังแพร่หลายในหมู่ผู้ที่เอ่ยปากว่าจงรักภักดีอย่างถวายหัว  เพราะเขานินทาว่าร้ายเจ้าด้วยความจงรักภักดี เป็นเรื่องปกติในตัวผู้นิยมเจ้าและประชาชนโดยทั่วไป ผมไม่ได้กำลังหมิ่นเจ้าเลย แต่ถ้าบอกว่าผมกำลังหมิ่นคนที่กำลังทำอยู่นี้ผมบอกเลยว่าใช่  สิ่งต่างนี้เป็นตัวขัดฝืนความเปลี่ยนแปลงและทำลายสถาบันเอง  ซึ่งมันจะพินาจกันหมด  แต่หากไม่อยากให้อันตรายต่อสถาบันฯ และประชาธิปไตยสะสมมากไปกว่านี้ นิติราษฎร์ได้เสนอทางออกหนึ่งไว้ให้แล้วด้วยเจตนาที่ไม่อยากเห็นความขัดแย้งไปถึงจุดที่ทุกคนต้องสลดใจ  นิติราษฎร์และครก.112 สามารถเอาตัวเองออกจากความเจ็บปวดในปัจจุบันได้อย่างสบายๆ แต่พวกเขายอมเจ็บตัวเพื่อช่วยหาทางออกแก่สังคมไทย แต่พวกลัทธิกษัตริย์นิยมกลับยังมองไม่เห็นความน่าสมเพชและความอับจนของตนเอง ในอนาคตประวัติศาสตร์จะบันทึกว่า เป็นความผิดพลาดมหันต์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่ฟังนิติราษฎร์และครก.112 แถมยังผลักไสทำร้ายความปรารถนาดีของพวกเขาเสียอีก

ในระยะที่ผ่านมามีคำกล่าวและปรากฏการณ์มากมายที่สะท้อนความวิปลาศในสังคมไทย ทุกปรากฏการณ์ที่จะยกเป็นตัวอย่างต่อไปนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นในสังคมอารยะ แต่สังคมไทยกลับไม่รู้สึก ไม่เห็นเป็นความผิดปกติแต่อย่างใด


ตัวอย่างที่ 1 มหาวิทยาลัยที่รับก้านธูปถูกตั้งคำถามถูกตำหนิ แต่มหาวิทยาลัยที่ปฏิเสธก้านธูปเพียงเพราะความคิดของเด็กกลับไม่ถูกสอบสวน ไม่โดนสังคมประณามด้วยซ้ำไป ทั้งที่ในสังคมอารยะอื่นๆ การกระทำเช่นนี้จะต้องถูกประณามแน่ๆ เขาเคยทำผิดทำนองนี้มาแล้วในยุคแมคคาร์ธีตั้งแต่ 60 ปีก่อน กลายเป็นรอยด่างทางประวัติศาสตร์ที่น่ารังเกียจ จึงเป็นบรรทัดฐานของอารยสังคมปัจจุบันที่จะไม่ทำอีก ในสังคมอารยะอื่นๆ อาจารย์ที่ฟ้องนักศึกษาเพียงเพราะความคิดต่างควรถูกไล่ออก เพราะเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ ละเมิดจรรยาบรรณของนักวิชาการอย่างไม่ควรให้อภัย แต่สังคมไทยเฉย แถมกลับลงโทษเหยื่อ


ตัวอย่างที่ 2 การออกมาขับไล่คนที่ไม่สมาทานลัทธิ Hyper-royalism ให้ออกนอกประเทศ พฤติกรรมแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นในอารยสังคม เพราะเป็นการกระทำที่โง่เขลาน่าสมเพชสิ้นดี เอาอะไรมาเป็นเหตุผลขับไล่คนที่คิดต่างจากลัทธิของตัวออกนอกประเทศของเขาเอง


ในอารยประเทศ คนที่ขับไล่ผู้คิดต่างออกนอกประเทศจะถูกด่าประณามและถูกเรียกร้องให้ขอโทษ ยิ่งถ้าคนพูดเป็นผู้บัญชาการทหารยิ่งเป็นความผิด 2 ชั้น เพราะเขาไม่มีสิทธิให้ความเห็นทางการเมืองตราบที่ยังอยู่ในอำนาจ ถ้าอยากทำก็ออกจากอำนาจเสียก่อน ถ้าเกิดขึ้นในประเทศประชาธิปไตย ผู้บัญชาการทหารรายนี้โดนปลดอย่างแน่นอน แต่สังคมไทยไม่ว่าอะไร


ตัวอย่างที่ 3 คำกล่าวประเภท พ่อแม่ไม่สั่งสอนสะท้อนจิตใจและรสนิยมต่ำของผู้พูด ยิ่งเป็นสื่อมวลชนที่มีผู้ฟังมากมาย ในอารยสังคมเขาจะถูกประณาม ถูกเรียกร้องให้ขอโทษและถูกถอดรายการ เพราะถือเป็นความไม่รับผิดชอบต่อสังคม แต่สังคมไทยเฉย


ตัวอย่างที่ 4 เมื่อนิติราษฎร์ถูกขู่ ถูกทำร้ายหยาบคายด้วยวาจา ถูกคุกคามโจ่งแจ้งเปิดเผย นิติราษฎร์จึงถูกลงโทษจากสังคมและถูกจำกัดพื้นที่ ถูกเรียกร้องให้สอบสวน ให้ลงโทษทางวินัย

ในอารยสังคม เขาเรียกร้องอาการทำนองนี้ว่าการลงโทษเหยื่อที่ถูกข่มขืน

โปรดตระหนักว่า ความวิปริตข้อนี้มีอยู่ในสังคมไทยมานานแล้ว ความวิปริตข้อนี้มีมูลเหตุเดียวกันกับการที่คนจำนวนมากยืนดูการแขวนคอ เผาทั้งเป็น ตอกอกในที่สาธารณะได้โดยไม่เข้าช่วยเหลือยับยั้ง หรือความพึงพอใจขณะดูเก้าอี้ฟาดร่างไร้ชีวิตบนปลายบ่วงเชือก


ตัวอย่างที่ 5 จนป่านนี้ ยังมีปัญญาชนวิปริตเรียกร้องให้ทหารออกมาทำรัฐประหารอยู่อีก


อีก 50 ปีข้างหน้าประวัติศาสตร์อาจจะบันทึกความผิดปกติของสังคมปัจจุบันโดยจดจำความวิปลาศที่ยกตัวอย่างมาจนเป็นตำนาน ความวิปลาศเหล่านี้สะท้อนอะไร?


คำตอบที่ 1 สะท้อนว่าสังคมไทยมีลักษณะพิเศษ พิเศษเสียจนต้องยุติการใช้เหตุผล ยุติอารยธรรม ยุติมนุษยธรรม และต้องใช้ความเชื่อ ศรัทธา หรือเหตุผลวิปลาศ


คำตอบที่ 2 สะท้อนว่าสังคมไทยป่วยหนัก หนักจนหลง แถมหลอกตัวเองไม่รู้ว่ากำลังป่วย ป่วยจนอธิบายหาเหตุผลไม่ได้ก็อ้างว่าเป็นลักษณะพิเศษ สำนวนปัจจุบันเรียกว่า ไปไม่เป็นแต่สังคมไทยกลับเชื่ออย่างภาคภูมิใจ


อาการวิปลาศอย่างที่กล่าวมายังสะท้อนด้วยว่าสังคมไทยไม่มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งพอ นั่นคือ วัฒนธรรมทางปัญญาตกต่ำ  เราเถียงกันด้วยเหตุผลไม่ค่อยได้ไกลเพราะอยู่กันด้วยความเชื่อกับความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เราไม่ชอบปัจเจกชนที่เป็นอิสระ เรากลัวคนที่คิดนอกกรอบ  ความอ่อนแอทางปัญญา สะท้อนออกมาในสองวงการที่คุณภาพต่ำอย่างน่าวิตก คือ ระบบการศึกษาและสื่อมวลชน  บ่อยครั้งผมรู้สึกเหมือนสังคมไทยอยู่ในยุคของกาลิเลโอ ในยุคนั้นอำนาจอยู่กับศาสนจักรที่ยึดมั่นในความรู้ความคิดผิดๆ ห้ามกาลิเลโอเผยแพร่ความรู้ใหม่ที่ถูกต้อง เพราะสิ่งที่กาลิเลโอเสนอขัดแย้งกับความเชื่อและศรัทธาของผู้มีอำนาจและสังคมในขณะนั้น

มนุษย์เราโหดร้ายและขลาดเขลาพอที่จะทำอย่างนี้เป็นประจำ เพราะมนุษย์ปกติมักสายตาสั้น มองโลกแคบ ยิ่งสังคมที่ขาดวุฒิภาวะทางปัญญายิ่งขลาดเขลาเกินกว่าจะมองเห็นความเป็นอนิจจังของสังคม

ผมไม่ทราบว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า อีก 50 ปีข้างหน้า ประวัติศาสตร์จะย้อนมองมายังปัจจุบัน จะเห็นมูลเหตุของวิกฤติประการใหญ่ๆ ดังที่กล่าวมา จะเห็นว่าวิกฤติของระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์เกิดจากความสำเร็จย้อนกลับมาท้าทายระบอบดังกล่าวเสียเอง จะเห็นความไม่สามารถปรับตัวอันเกิดจาก Hyper-royalism และจะบันทึกความพยายามของคนจำนวนหนึ่งรวมทั้งนิติราษฎร์และครก.112 ที่จะหาทางออกแก่สังคมไทยด้วยปรารถนาดี  แต่ผมไม่ทราบว่าลงท้ายระบอบการเมืองปัจจุบันจะปรับตัวสำเร็จหรือไม่ อันตรายที่แท้จริงอันเกิดจากการฉุดรั้งขัดฝืนความเปลี่ยนแปลงจะถูกถอดชนวนทันกาล หรือจะดึงดันไปถึงจุดสุดท้ายของอภิชนาธิปไตยขบวนนี้

สังคมไทยจะยอมปลดล็อค เปิดประตู แล้วเดินเข้าสู่ประตูของการปรับตัวหรือไม่ นิติราษฎร์ และครก.112 ช่วยเสนอทางปลดล็อคให้ทางหนึ่งแล้ว  เราท่านทุกคนมีส่วนในการตัดสินใจเพื่ออนาคตของสังคมไทยและลูกหลานของเราว่าจะเดินเข้าสู่ประตูของการปรับตัวหรือไม่ 


ประวัติ

ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชาวไทย เกิดและโตที่กรุงเทพ ประเทศไทย อดีตเป็นผู้นำนักศึกษาซึ่งถูกจับกุมในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519ย้ายไปสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2534 ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประวัติศาสตร์ไทย ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐอเมริกา  อ.ธงชัยจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ปริญญาตรีจากคณะศิลศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโทและเอกจาก มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย สาขาที่สนใจคือประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและวิทยาการของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคต้นสมัยใหม่  โดยเฉพาะการปะทะกันระหว่างสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอารยธรรมตะวันตก, ประวัติศาสตร์สยาม/ไทย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ของความรู้ แนวคิด และนักคิด, และการเมืองวัฒนธรรมไทยสมัยใหม่ ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงปัจจุบัน, ชาตินิยม, ภูมิศาสตร์ การแผนที่ ประวัติศาสตร์ที่อันตราย ความทรงจำ และวิธีที่สังคมจัดการกับอดีตที่เป็นปัญหาเหล่านั้น ได้รับรางวัล แปซิฟิกอาวอร์ดครั้งที่16จากประเทศญี่ปุ่นและขณะนี้สังคมโลกได้มอบตำแหน่งประธานของแอสโซซิเอชั่น ฟอร์มเอเชียนสตัดดี่ เอ เอ เอส ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นองค์กรที่รวมนักวิชาการชั้นนำของเอเชียที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น