“ย้อนรอย” เลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 2554 ประชาธิปัตย์เสื่อมถอยจาก 12.1 ล้านเสียง ปี 2550 เหลือเพียง 10.1 ล้านเสียง ในปี 2554 ในขณะที่เพื่อไทยเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ได้ 12.3 ล้านเสียง มาเป็น 13.8 ล้านเสียงในปี 2554 โดยเพื่อไทยได้ ส.ส. 265 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. 159 ที่นั่ง
ภาพรวมคือประชาธิปัตย์คะแนนหายไป 2 ล้านคะแนน มีจำนวน ส.ส.ลดลงไป 6 ที่นั่ง ในขณะที่เพื่อไทยคะแนนเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านคะแนน มี ส.ส.เพิ่มขึ้น 32 ที่นั่ง
จากข้อมูลผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 2554 มีกี่คน คิดเป็นกี่เปอร์เซ็น
การเลือกตั้งใหญ่ สส ประจำปี 2554 มีจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 46,921,682 คน
การลงคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ
จำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35,203,107 คน
คิดเป็นร้อยละ 75.03 %
บัตรเสีย 1,726,051 ใบ คิดเป็นร้อยละ 4.9
ผู้กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน (vote no) 958,052 ใบ คิดเป็นร้อยละ 2.72
การลงคะแนนเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
จำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35,119,885 คน
คิดเป็นร้อยละ 74.85 %
บัตรเสีย 2,039,694 ใบ คิดเป็นร้อยละ 5.79
ผู้กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน (vote no) 1,419,088 ใบ คิดเป็นร้อยละ 4.03
มีหลายคนสงสัยว่าจากเดิมคะแนน ส.ส.ในระบบสัดส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยเคยใกล้เคียงกันในปี 2550 ประมาณ 12 ล้านเสียง ทำไมวันนี้กลับกลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทยถึงได้มีคะแนนเสียงห่างจากประชาธิปัตย์ถึง 3.7 ล้านคะแนนในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปีกว่าการลงคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ
จำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35,203,107 คน
คิดเป็นร้อยละ 75.03 %
บัตรเสีย 1,726,051 ใบ คิดเป็นร้อยละ 4.9
ผู้กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน (vote no) 958,052 ใบ คิดเป็นร้อยละ 2.72
การลงคะแนนเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
จำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35,119,885 คน
คิดเป็นร้อยละ 74.85 %
บัตรเสีย 2,039,694 ใบ คิดเป็นร้อยละ 5.79
ผู้กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน (vote no) 1,419,088 ใบ คิดเป็นร้อยละ 4.03
แม้จะดูเป็นเรื่องที่ยากว่าเสียงที่หายไป 2 ล้านคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์หายไปไหนและ พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านจากใคร?
เรื่องนี้น่าสนใจ เพราะถึงแม้ว่าจะอ้างอิงยากจากโพลต่างๆซึ่งในยุคนี้มีความคลาดเคลื่อนในทุกสำนัก แต่เอ็กซิทโพลล์ของ มหาวิทยาลัยศรีปทุมดูจะผิดพลาดน้อยกว่าสำนักอื่นๆ (แต่ก็ยังผิดพลาดมากอยู่ดี) มีการวิเคราะห์ฐานคะแนนของพรรคการเมืองที่เปลี่ยนไปของมหาวิทยาลัยศรีปทุมที่น่าสนใจ เพื่อพอเป็นตุ๊กตาให้เห็นภาพได้ดังต่อไปนี้1. ประชาธิปัตย์สูญเสียคะแนนให้เพื่อไทยมากที่สุด กล่าวคือ คนเคยเลือกประชาธิปัตย์ในปี 2550 แล้วเปลี่ยนใจหันไปเลือกเพื่อไทยทั้งประเทศปีนี้ประมาณ 18.34 % ส่วนคนเคยเลือกพรรคพลังประชาชนปี 2550 แล้วเปลี่ยนใจหันไปเลือกประชาธิปัตย์ประมาณ 10.46% หรือประมาณการคร่าวๆก็คือ 2 ล้านคะแนนของคนเคยเลือกประชาธิปัตย์เสียคะแนนสุทธิให้กับพรรคเพื่อไทยไปประมาณ 4.7 แสนคะแนน
โดยทั้งนี้เมื่อคิดเป็นรายภูมิภาคจะพบว่า คนเคยเลือกประชาธิปัตย์แล้วหันกลับไปเลือกพรรคเพื่อไทยมากที่สุดตามลำดับคือ ภาคอีสาน 31.43% ภาคเหนือ 27.25% ภาคกลาง 22.57% กรุงเทพ 14.34% และภาคใต้ 5.31% ในขณะที่คนเคยเลือกพรรคพลังประชาชนแล้วหันกลับมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์น้อยกว่ายกเว้นภาคใต้ ดังนี้ ภาคใต้ 29.65% ภาคกลาง 15.78% ภาคเหนือ 12.42% กรุงเทพ 7.36% และอีสาน 6.28%2. พรรคภูมิใจไทยตัดคะแนนทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ในระดับใกล้เคียงกัน โดยพรรคภูมิใจไทยได้คะแนนเสียงในระบบบัญชีรายชื่อประมาณ 1.1 ล้านคะแนน โดยเป็นการตัดฐานคะแนนประชาธิปัตย์ปี 2550 ไปประมาณ 3.62% และเป็นการตัดฐานคะแนนพรรคพลังประชาชนปี 2550 ได้ไม่เป็นตามเป้าหมายคือตัดได้ใกล้เคียงกับประชาธิปัตย์คือ 3.87% โดยประมาณแล้วหมายความว่าคะแนนที่พรรคภูมิใจไทย 1.1 ล้านคะแนนได้นั้นมาจากฐานเสียงของประชาธิปัตย์และเพื่อไทยในระดับพอๆกัน
ที่น่าสนใจก็คือเสียงที่ให้กับประชาธิปัตย์ในภาคอีสานปี 2550 มาเทให้พรรคภูมิใจไทย 7.72% ในขณะที่เสียงที่เคยสนับสนุนพรรคพลังประชาชนในภาคอีสานปี 2550 มาเปลี่ยนเลือกพรรคภูมิใจไทย 4.85%3. โหวตโนตัดคะแนนประชาธิปัตย์และเพื่อไทยทั้งคู่ โดยมีผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนนในระบบเขตประมาณ 1.4 ล้านคน และในระบบบัญชีรายชื่อประมาณ 9.5 แสนคน โดย ในช่วงหลัง การรณรงค์โหวตโนเน้นหนักในเรื่องระบบเขตมากกว่าระบบบัญชีรายชื่อ โดยโพลล์ของมหาวิทยาลัยศรีปทุมวิเคราะห์ฐานเสียงนี้จากเอ็กซิทโพลล์ว่า เป็นฐานเสียงของคนเคยเลือกประชาธิปัตย์ในปี 2550 ที่เปลี่ยนใจมาโหวตโนประมาณ 2.84% และเป็นฐานเสียงของคนเคยเลือกพรรคพลังประชาชนที่เปลี่ยนใจประมาณ 1.66%
โดยคะแนนโหวตโนในกรุงเทพมหานครมาจากฐานเสียงประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชาชนมากที่สุดคือเป็นฐานเสียงจากประชาธิปัตย์เดิม 5.70% และมาจากฐานเสียงจากพรรคพลังประชาชนอีก 3.63% รองลงมาคือคะแนนโหวตโนมาจากฐานเสียงประชาธิปัตย์ในภาคอีสานประมาณ 3.31% ภาคกลางอีก 2.72% ภาคเหนือ 2.31% ภาคใต้ 2.04% ในขณะที่คะแนนโหวตโนมาจากฐานเสียงของพรรคพลังประชาชนภาคกลาง 1.95% ภาคใต้ 1.74% ภาคเหนือ 1.35% และภาคอีสาน 1.30%4. ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตัดคะแนนประชาธิปัตย์มากกว่าเพื่อไทย โดยพรรครักประเทศไทยได้คะแนนเสียงในระบบบัญชีรายชื่อประมาณ 8.5 แสนคน มหาวิทยาลัยศรีปทุมวิเคราะห์จากเอ็กซิทโพลล์ว่า มาจากฐานเสียงคนเคยเลือกประชาธิปัตย์ 2.49% และมาจากฐานเสียงคนเคยเลือกพรรคพลังประชาชน 1.44% โดยเป็นการตัดเสียงประชาธิปัตย์มากที่สุดในกรุงเทพมหานครประมาณ 6.95% และเป็นการตัดเสียงพรรคเพื่อไทยมากที่สุดในกรุงเทพมหานครอีกเช่นกันประมาณ 3.84% นอกนั้นเป็นฐานเสียงจากประชาธิปัตย์ในภาคกลาง 3.05%, ภาคอีสาน 1.77%, ภาคเหนือ 1.56%, ภาคใต้ 1.48% และมาจากฐานเสียงของพรรคพลังประชาชนในภาคกลาง 2.38%, ภาคใต้ 2.36%, ภาคเหนือ 1.04%, ภาคอีสาน 1.04%
5. ประชาธิปัตย์เสียฐานเสียงให้พรรคเกิดใหม่และพรรคอื่นๆมากกว่าพรรคเพื่อไทย โดยพรรคประชาธิปัตย์เสียฐานเสียงให้กับพรรคมาตุภูมิ 0.73%, พรรครักษ์สันติ 0.51%, พรรคอื่นๆรวมกันอีก 4.28% ในขณะที่พรรคเพื่อไทยเสียฐานเสียงให้กับพรรคมาตุภูมิ 0.36%, พรรครักษ์สันติ 0.21% และพรรคอื่นๆ 3.64%6. นอกเหนือจากงานวิเคราะห์การย้ายฐานเสียงจากเอ็กซิทโพลโดยมหาวิทยาลัยศรีปทุมแล้ว ก็น่าจะพิจารณาบัตรเสียระบบเขตที่มีมากผิดปกติ โดยบัตรเสียในระบบเขตนั้นน่าสนใจว่ามีการเพิ่มขึ้นโดยในปี 2550 มีบัตรเสียในระบบเขตอยู่ที่ 2.56% มาเป็น 5.79% ซึ่งสูงถึง 2,039,694 บัตร ซึ่งแน่นอนว่าพรรคเพื่อไทยน่าจะมีปัญหาทั้งๆที่ไม่ควรเกิน 1 ล้านบัตร น่าจะมีสาเหตุดังนี้
ประการแรก น่าเชื่อได้ว่าบัตรเสียจำนวนหนึ่งเป็นบัตรคนที่กากบาทให้เบอร์ 5 โดยหลงเข้าใจว่ามีผู้สมัครพรรครักประเทศไทยในระบบเขตด้วยประการที่สอง น่าเชื่อได้ว่ามีการขานคะแนนไม่สงค์ลงคะแนนให้กลายเป็นบัตรเสียในหลายพื้นที่
ประการที่สาม มีคนอยากโหวตโนเพราะเบื่อการเมือง แต่ไม่ต้องการเป็นพวกเดียวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงส่งกระดาษเปล่าแทนประการที่สี่ ส่วนที่ผิดปกตินี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยมีปัญหาเฉพาะบัตรเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อเท่านั้น ส่วนประชาธิปัตย์ก็ไม่ประสบปัญหาใดๆเกี่ยวกับบัตรเลือกตั้งเช่นกัน
อย่างไรก็ตามคะแนนโหวตโน + พรรคทางเลือกใหม่ (รักประเทศไทย +รักษ์สันติ + มาตุภูมิ +พลังชล) + ส่วนบัตรเสียเฉพาะส่วนที่เพิ่มมาผิดปกตินั้น ก็น่าจะอนุมานได้ว่าเป็นประชาชนที่เบื่อการเมืองในระบบเดิมน่าจะมีจำนวนรวมกันประมาณ 3.5 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่ผิดหวังจากการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่นับคนที่ไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์อีกจำนวนไม่น้อยที่ไปเลือกทั้งๆที่ไม่ได้พอใจในผลงานหรือชอบพรรคประชาธิปัตย์ แต่เพราะกลัวพรรคเพื่อไทยจะมาตามคำขู่ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งอันที่จริงแล้ว ประชาธิปัตย์ไม่เคยและไม่สามารถชนะพรรคเพื่อไทยได้ภายใต้เงื่อนไขที่เป็นอยู่ในขณะนี้
***สรุปว่าการที่ประชาธิปัตย์พ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ควรมาใส่ร้ายป้ายสีโหวตโน (ซึ่งต่อให้คะแนนโหวตโนเทให้ประชาธิปัตย์ก็ยังแพ้เพื่อไทยอยู่ดี) แต่ข้อเท็จจริงก็คือประชาธิปัตย์แพ้เพราะความเสื่อมของพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง และควรจะสำรวจตัวเองเพื่อแก้ไขปรับปรุงและทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านให้ดีมากกว่าจะไปตีโพยตีพายกล่าวหาให้ร้ายป้ายสีประชาชนที่กากบาทไม่เลือกตัวเอง
ท่านเคยได้ยินคำที่ชาวบ้านทุกวันนี้พูดกันจนติดปากว่าในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาว่า
"ไปรับเงินหมา มากาเบอร์ 1 "
ที่มาของข้อมูล :
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น