Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วาทกรรม “ประเทศไทยไม่พร้อมสำหรับ…” กับดักทางความคิดที่อันตราย

โดย : พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ
เครือข่ายพลังลบ http://www.facebook.com/negativenetwork

มีเรื่องเล่าว่าเมื่อสิงคโปร์ ไม่ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซีย ประชาชนในประเทศวิตกกันเป็นอย่างมาก ประเทศเกาะเล็กๆที่ไม่มีแม้กระทั่งน้ำจืดจะอยู่ได้อย่างไร? หลังจากนั้นประชาชนเขาจึงเริ่มนับหนึ่งด้วยความ ไม่พร้อมไปด้วยกัน

ย้อนกลับมาประเทศไทยเคยมีคนบางส่วนบอกว่าไม่ควรเป็นประชาธิปไตย เพราะประชาชน ไม่พร้อมที่จะปกครองตัวเองอำนาจเลยถูกรวมอยู่ในศูนย์กลางและเมื่ออำนาจถูกกระจายไปสู่มือประชาชน กลุ่มคนที่เคยถือครองอำนาจก็บอกว่าประชาชนไม่พร้อมที่จะปกครองตัวเอง ยังไม่ได้รับการศึกษาเรื่องประชาธิปไตย น่าสงสัยว่าก่อนหน้านั้นที่ปกครองด้วยสมบูรณญาสิทธิราชย์นั้น ได้มีการปูพื้นฐานความรู้ให้กับไพร่ (ที่กลายมาเป็นราษฎร) ให้พร้อมกับการปกครองแบบใหม่รึเปล่า หรือเพียงอาศัยคำว่าไม่พร้อมเพื่อจะปกครองกันในระบอบเก่า

หันไปดูรอบๆกรุงเทพฯในเวลานี้หลายๆจุดเพิ่งเริ่มสร้างรถไฟฟ้าระบบรางทั้งบนดินและใต้ดิน ซึ่งเป็นสิ่งที่นานาชาติแนะนำให้ไทยควรลงทุนกับโครงสร้างขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะระบบขนส่งสาธารณะตั้งแต่สมัย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ที่อุตสาหกรรมแซงหน้าภาคการเกษตรในการส่งออกแล้ว แต่ตอนนั้นก็ไม่กล้าลงทุนและรักษาวินัยการคลังด้วยเหตุผล ไม่พร้อมที่จะลงทุนในโครงการขนาดใหญ่

นั่งฟังส.ส.พรรคภูมิใจไทยคนหนึ่งอภิปรายว่าไม่ควรแจก แท็บเล็ต พีซี ให้กับเด็กกลัวเด็กจะเอาไปเล่นการพนัน เด็กไม่พร้อมที่จะดูแลตัวเองขอถามว่าก่อนที่จะมีแท็บเล็ต ในสมัยเด็กๆใครบ้างไม่เคยเล่นไพ่ เล่นปั่นแปะ เล่นทอยเส้น หรือ จับสลาก แทนที่จะคิดว่าเราจะให้ความรู้ควบคู่กับการแจกแท็บเล็ตได้อย่างไร?

เปลี่ยนช่องไปก็เจอนักวิชาการพูดว่า เรา ไม่พร้อมที่จะยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันซึ่งผมก็เห็นด้วยกับการที่จะงดการเก็บ เพราะเวลาเราเก็บแล้วไปอุ้มตอนน้ำมันแพง แล้วเราใช้น้ำมันถูกกว่าความเป็นจริงเราก้มยังคงก้มหน้าตะบี้ตะบันใช้ แทนที่จะเอาเงินที่อุดหนุนไปส่งเสริมการวิจัยพลังงานทดแทนหรือมีความชัดเจนด้านนโยบายพลังงานว่าจะส่งเสิรมอะไรกันแน่เปลี่ยนไปเปลี่ยน เอทานอล ไบโอดีเซล ฯลฯ

กลุ่มนายจ้างรวมตัวกันบอกว่า ไม่พร้อมที่จะขึ้นค่าแรง 300 บาทเพราะว่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิตและจะทำให้นักลงทุนไทยตาย ซึ่งถ้าหากมองย้อนกลับไปไทยเริ่มแข่งขันในตลาดโลกด้วยการส่งออกปี 2518 ตามคำแนะนำของ โรเบิร์ต แมคนามาร่า จากธนาคารโลกโดยให้มุ่งเน้นการส่งออก พร้อมกับอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เราแข่งด้วยการกดค่าแรงกับเขา จนตอนนี้เขาไปสร้างนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่มทางสินค้าจนตอนนี้เราไปแข่งกับ เวียดนาม ถามว่าเราจะพร้อมแข่งเรื่องประสิทธิภาพการผลิตเมื่อไหร่? แล้วจะกดค่าแรงไปถึงไหน?

รัฐวิสาหกิจเช่น การรถไฟ และ ขสมก. ก็บอกว่าหน้าที่ของพวกเขาคือต้องแบกรับความขาดทุนเพื่อที่ประชาชนจะได้สบาย เพราะ “ประชาชนไม่พร้อมที่จะเสียเงินแพงดังนั้นต้องให้สหภาพดูแลผลประโยชน์ แต่สิ่งที่ไม่เคยบอก เช่น ที่ดินรถไฟทำกำไรไปมากมายเงินไปไหน? ทำไมระบบขนส่งมวลชนในประเทศอื่นเขาถึงบริหารได้กำไรได้ แล้วทำไมเราถึงบริหารขาดทุน? หรือ จริงๆเงินที่ไปชดเชยการขาดทุนก็มาจากภาษีประชาชนที่รัฐจ่ายเคยบอกกันไหม?

กระทรวงวัฒนธรรม บอกว่าประเทศไทยนั้นยัง ไม่พร้อมที่จะรับวัฒนธรรมที่เปิดกว้างดังนั้นจึงควรอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีงาม เราลืมไปหรือเปล่าว่าเรื่องลามกทะลึ่งหยาบโลน มีอยู่ในศิลปะเพลงพื้นบ้านของไทยมาช้านาน เราหลับตาข้างหนึ่งรึเปล่าที่ไม่รับรู้ว่า เรื่องกระเทย เรื่องตำรวจคอร์รัปชั่น เรื่องท้องก่อนวัยอันควร เรื่องโสเภณี เรื่องพระทำผิดศีล มีอยู่จริงในสังคมไทย? เราเลยพร้อมใจรับไม่ได้ที่มันถูกสะท้อนออกมาในศิลปะ กรอบศีลธรรมอันดีงามแท้จริงเราก้าวพ้นศิลปะแบบวัดๆวังๆ ซึ่งเป็นของประชาชนกลุ่มน้อยนิดในสังคมที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านหรือยัง? เราจึงได้แต่ดูหนังวนเวียนเรื่อง วีรกรรมบูรพกษัตริย์ และ คนๆโขนๆ

เรายังคงเป็นเมืองกึ่งพุทธกึ่งผีกึ่งพราหมณ์ และเราก็ยังหลงเชื่อว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ เราตามอ่านทวิตเตอร์ของพระเซเลบฯ ไปปฏิบัติธรรมกับแม่ชีเซเลบฯ(ที่เปิดตัวเครื่องสำอางค์ในสำนักปฏิบัติธรรม) เพราะใครๆเขาก็ทำกันและทำแล้วรู้สึกดี แต่เราลืมไปว่าการนั่งสมาธิหรือการตามอ่านทวิตเตอร์พระแล้วคิดว่าเป็นการทำดี ซึ่งเรายังแยกกันไม่ออกว่าการทำดี กับการเจริญสมาธิเป็นคนละส่วนกัน โดย ไม่พร้อมที่จะตั้งคำถามถึงความถูกต้องของหลักคำสอนที่ถูกบอกต่อๆนั้น มันก็ขัดกับหลักกาลามสูตร เป็นเมืองพุทธที่ยังกราบหมาสามขา วัวสองหัว โอ้!ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ประเทศไทย อาจยังไม่พร้อมสำหรับเทคโนโลยี 3G” เมื่อโครงข่ายแพร่หลายข้อมูลถูกส่งผ่านได้อย่างรวดเร็ว รัฐไม่สามารถสกัดกั้นเนื้อหาที่ต้องการปิดกั้นได้หมด หรือแม้กระทั่งเรื่องการสัมปทาน ประเทศ ยังไม่พร้อมกับการแข่งขันเสรีที่โปร่งใสเลยยังต้องนิยมกับการสัมปทานผูกขาดแบบเสือนอนกิน ของ TOT และ CAT ต่อไป เพราะทั้งสองเจ้าอยากจะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ หรือ เป็นห่วงขุมทรัพย์มหาศาลกันรึ?

ประชาชนบางส่วนก็ดูเหมือนจะ ไม่พร้อมจะรับผิดชอบทางการเมืองเหมือนว่าพอเลือกตั้งเสร็จหน้าที่ของเราก็จบแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ก็แล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง ไม่พร้อมจะติดตามนโยบาย ตรวจสอบ และมีส่วนร่วมทางการเมือง เอ้า!!ก็ไทยนี่มันรักสงบนี่นา อยู่เฉยๆสบายกว่ากันเยอะ พอนักการเมืองทำอะไรไม่ดีไม่ถูกใจ เราก็ได้แต่บ่นกันว่า นักการเมืองเลว

ความไม่พร้อมทำให้เราต้องวิ่งหา ผู้ใหญ่ใจดีและยกอำนาจในการตัดสินใจให้กับเขาเชื่อฟังโดยว่าง่าย ห้ามเถียง ห้ามสงสัยในความหวังดีของท่าน เราจะเติบโตกันอย่างไร หากไม่พร้อมที่จะเสี่ยงอะไรเลย ไม่พร้อมแม้จะตั้งคำถามกับสิ่งรอบๆตัว แล้วมีคนคิดแทนให้หมดทุกเรื่องได้หรือ?

แทนที่เราจะเป็นเหมือนเด็กหัดขี่จักรยาน ที่แรกเริ่มก็ต้องมีการล้มลุกคลุกคลาน หัดแล้วหัดอีก ผู้ใหญ่ก็แทนที่จะให้กำลังใจและประคับประคอง แต่กับซ้ำเติมแล้วก็พร่ำบ่นว่า เห็นไหมผมอาบน้ำร้อนมาก่อนคุณ

ไม่มีใครเกิดมาดีพร้อมคำนี้เห็นจะจริงแต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เรากล้าที่จะออกตัวหรือไม่? บางครั้งก็แอบตั้งคำถามว่า เราจะเข้าเส้นชัยได้อย่างไร โดยที่ไม่ได้ออกตัว?” มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขอไว้อาลัยแก่ประเทศที่ไม่เคยพร้อมอะไร แต่ทรนงตัวว่าเราจะเป็นผู้นำ คนไทยตั้งใจทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก(ถ้าเราพร้อม!!) หรือสิ่งเดียวที่เราไม่พร้อมก็คือ
 เราไม่พร้อมที่จะรับความจริงกันแน่!!

1 ความคิดเห็น:

  1. เขาบอกว่าอะไรที่เก่าๆมันยิ่งดี ก็เลยทำให้คนไทยเราชอบแต่ของเก่าๆอย่างเช่นความคิดเก่าๆ การเมืองเก่าๆ อำนาจเก่าๆ โดยยังไม่ได้แหงนมองข้างหน้าว่าตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน...ขอบคุณมากครับสำหรับบทความดีๆที่อาจารย์เขียน เป็นบรรทัดฐานให้คนรุ่นใหม่อย่างพวกผมในการปรับปรุงแนนคิดใหม่ๆในการดำรงชีวิตอยู่ในสงคมไทยที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง

    ตอบลบ