Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ฉีกหน้า “มาร์ค” ตบปาก “กษิต”

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 324 วันที่ 20 - 26 สิงหาคม 2554 พ.ศ. 2554


เรื่องท่านนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ดิฉันรู้ดีว่าต้องเจอแรงกดดันและมีคำถามที่เกี่ยวข้อง แต่พร้อมรับฟังและพร้อม พิสูจน์เรื่องต่างๆ ไม่เคยเบื่อที่จะต้องชี้แจง และไม่ขอเข้าไปแทรกแซงกระบวนการใดๆที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานดำเนินการไป ส่วนนโยบายในการติดตามเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับท่านนายกฯทักษิณ รัฐบาลชุดนี้จะให้เป็นเรื่องของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง แทรกแซง อย่างเรื่องวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นที่เป็นข่าว ดิฉันยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เท่าที่ทราบเป็นฝ่ายเอกชนที่เขาเรียนเชิญท่านอดีตนายกฯทักษิณไปบรรยายตั้งแต่ก่อนดิฉันจะมาเป็นรัฐบาลเสียอีก เรื่องการอนุญาตให้เข้าประเทศเป็นเรื่องของทางการญี่ปุ่นจะเป็นผู้พิจารณาเอง ใครจะเข้าไปแทรก แซงไม่ได้อยู่แล้ว ดิฉันเรียนว่าไม่มีนโยบายทำอะไรพิเศษเพื่อท่านนายกฯทักษิณคนเดียวอยู่แล้ว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันกรณีรัฐบาลญี่ปุ่นให้วีซ่าเป็นกรณีพิเศษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกำหนดเดินทางวันที่ 22 สิงหาคมนี้ เพื่อให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนญี่ปุ่น จากนั้นวันที่ 23 สิงหาคมจะไปบรรยายเรื่องประชาธิปไตยไทยที่ชมรมผู้สื่อข่าวต่างประเทศของญี่ปุ่น และบรรยายเรื่องรูปแบบและบทบาทของเศรษฐกิจโลกที่สถาบันเจแปน-ไชน่า อาเซียน ออฟ อีโคโนมี ส่วนวันที่ 24 สิงหาคม จะไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยทามาและบรรยายเรื่องปัญหาแผ่นดินไหวและสึนามิจากนั้นวันที่ 25-26 สิงหาคมจะเดินทางไปดูที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิ

ปชป. กัดไม่ปล่อย
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ใน ฐานะทีมกฎหมาย เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้สั่งให้ทีมกฎหมายติดตามข้อมูลเพื่อเอาผิดนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเชื่อว่าให้การช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น ในฐานะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักโทษ ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ทั้งยังมีหมายจับในข้อหาก่อการร้าย รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จึงถอดถอนพาสปอร์ต เพื่อล็อกสถานที่ให้อยู่ในที่ที่จำกัดและสะดวกในการติดตามตัวมาลงโทษตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นใครที่ช่วยเปิดช่องสกัด พ.ต.ท.ทักษิณก็เหมือนช่วยให้ผู้ที่ต้องโทษหลบหนี ซึ่งผิดกฎหมายชัดเจน

อย่างไรก็ตาม การไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพุ่งเป้าไปที่นายสุรพงษ์ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธว่าเป็นรัฐมนตรีสายล่อฟ้าตั้งแต่ยังไม่เข้ามารับผิดชอบอย่างเป็นทางการก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์และโจม ตีอย่างต่อเนื่องว่าเป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณกำหนดให้ดำรงตำแหน่งนี้ แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะปฏิเสธว่าเป็นผู้พิจารณาด้วยตัวเอง แม้นายสุรพงษ์จะไม่มีประสบการณ์ด้านการทูต แต่มีความรู้ความสามารถด้านการค้าและธุรกิจระหว่างประเทศ

การที่นายอภิสิทธิ์ลงมาจับเรื่องนี้เองย่อมถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา และยังมีนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถากถางถึงพฤติกรรมของนายสุรพงษ์ว่าเปลี่ยนสี เพราะครั้งที่ยังเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นคนตรวจสอบ พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องผลประโยชน์โทรคมนาคมจนถูกฟ้องมาแล้ว แต่วันนี้กลับไปช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ

ฉีกหน้า มาร์คตบปาก กษิต
นายยูกิโอะ เอดาโนะ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น แถลงถึงกรณีที่รัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติวีซ่าเป็นกรณีพิเศษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณเพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยื่นคำร้อง ขอมายังกรุงโตเกียว และรัฐบาลไทยไม่มีนโยบายห้าม พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปยังประเทศใดๆ ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจึงนำคำร้องนี้มาพิจารณาร่วมกับเงื่อนไขแวดล้อมอื่นแล้วจึงตัดสินใจออกวีซ่าให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นก็เป็นแค่รายงานข่าวที่ยังมีความสับสน

แต่อีกด้านหนึ่งมองว่าการที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้วีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เหมือนการฉีกหน้านายอภิสิทธิ์และตบปากนายกษิตนั่นเอง เนื่องจากการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่นของสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ผ่านมากว่า 1 ปีแล้ว รัฐบาลนายอภิสิทธิ์แทบไม่มีคำตอบให้กับรัฐบาลญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่นเลย แม้สถานทูตญี่ปุ่นจะสอบถามและติดตามการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่รับผิดชอบตลอดเวลา รวมถึงภาพครั้งประวัติศาสตร์ของรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศญี่ปุ่นที่เดินทางมาสอบถามและยืนไว้อาลัยบริเวณที่นายฮิโรยูกิ มูราโมโต ถูกยิงเสียชีวิต แต่ดีเอสไอกลับให้คำตอบแค่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเจ้าหน้าที่รัฐยิง ต่อมาภายหลังยังอ้างว่ามีหลักฐานใหม่ นั่นคืออาวุธที่ยิงนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ไม่ใช่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งขัดกับหลักฐานคือกระสุนและพยานที่ให้ปากคำก่อนหน้านี้

อินเตอร์โพลแฉซ้ำ
ส่วน หมายแดงหรือ Red Notice ที่เป็นประกาศจับบุคคลที่ต้องการตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่าตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพลได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคประชาธิปัตย์ที่นำมาใช้เล่นงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายสุรพงษ์ก่อนหน้านี้ว่ามีความพยายาม ให้ถอนหมายแดงนั้น กลับปรากฏว่านายโรนัลด์ โนเบิล เลขาธิการอินเตอร์โพล ออกมายืนยันว่าไม่เคยมีหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะอินเตอร์โพลเห็นว่าเป็นคดีทางการเมือง เนื่องจากตามมาตรา 3 ของอินเตอร์โพลระบุว่า จะไม่มีการลง “Red Notice” กรณีผู้ต้องหาคดีทางการเมือง แบ่งแยกดินแดน หรือผู้ต้องหาเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อความเป็นกลาง

นอกจากนี้ในเว็บไซต์ของอินเตอร์โพลก็ไม่ปรากฏว่ามีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในกลุ่มบุคคลที่ถูกออกหมายจับแต่อย่างใด จึงมีการตั้งคำถามว่าแล้วเหตุใดรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่ทราบเรื่องดังกล่าวมานานแล้วกลับปิดเงียบและปล่อยให้สร้างกระแสอินเตอร์โพลว่า ถอนหมายจับขึ้นมา

ขณะที่ พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาแถลงกรณีข่าวหมายแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เคยร้องขอไปยังอินเตอร์โพลเมื่อ 2 ปีก่อนจริง แต่อินเตอร์โพลไม่ได้ขึ้นหมายแดงให้ และยังมีหนังสือตอบกลับมาว่ากรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าเงื่อนไขการประกาศหมายแดงของทางอินเตอร์โพล หลังจากนั้นทางกองการต่างประเทศไม่ได้ร้องขอไปอีก

เช่นเดียวกับนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่าเรื่อง หมายแดงหรือหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณของอินเตอร์โพลนั้นเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนตั้งแต่ต้น เพราะที่ผ่านมาตำรวจสากลไม่เคยออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่เคยเอาชื่อขึ้นบัญชีรายชื่อผู้ที่ถูกจับ

รัฐบาลไทยไร้อำนาจ
กรณี พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปญี่ปุ่น นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายระหว่างประเทศ นิติศาสตรมหาบัณฑิต (รางวัลทุนฟุลไบรท์) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เขียนบทวิเคราะห์การให้วีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณของรัฐบาลญี่ปุ่นว่า หากพูดตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งไทยและญี่ปุ่นต่างเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องเคารพ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงสามารถเดินทางได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะไปประเทศใดประเทศหนึ่งหากเข้าไปโดยถูกกฎหมาย
อีกทั้งรัฐธรรมนูญไทย มาตรา 82 ให้รัฐบาลไทยเคารพสิทธิมนุษยชนข้อนี้ แม้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ภายใต้เขตบังคับของกฎหมายไทย รัฐบาลไทยก็ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายไทยเช่นกัน

ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงเป็นมนุษย์ ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนจะต้องติดตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้หายไปไหน การได้รับวีซ่าญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมายเพื่อไปแสดงความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจ หรือแสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบภัยธรรมชาติ จึงมิใช่เรื่องที่ผิดกฎหมาย และอยู่นอกอำนาจที่รัฐบาลไทยจะห้ามญี่ปุ่นได้ หากรัฐบาลไทยไปยุ่มย่ามเรื่องภายในจะเป็นการแทรกแซงและผิดกฎบัตรสหประชาชาติ

อีกทั้งกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมืองและผู้ลี้ภัยของประเทศญี่ปุ่น ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2009 มาตรา 5-2 เปิดช่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสามารถออกวีซ่าพิเศษให้กับผู้ที่ต้องโทษจำคุกได้หากเห็นว่าเป็น

กรณีสมควร
เมื่อรัฐบาลไทยไม่เคยชินกับการอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน และดันมีคนใจดีช่วยขอวีซ่าจนกลายเป็นข่าว จึงมีผู้ตั้งประเด็นว่าเป็นการทำให้การจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณลำบากขึ้นและผิดกฎหมายนั้นเป็น การฉลาดหรือไม่ก็น่าคิดอยู่

ทักษิณบินเหนือเมฆ
อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิชาการ นักการเมือง และกลุ่มผู้มีอำนาจในไทยส่วนใหญ่ยังวิพากษ์วิจารณ์ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังสร้างปัญหาให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ได้ไม่นาน เพราะถ้าเคลื่อนไหวหรือให้สัมภาษณ์มากเท่าไรจะยิ่งกลายเป็น เป้าให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปเป็นเงื่อนไขโจมตีและล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์มากขึ้นนั้น ต้องตั้งคำถามกลับเช่นกันว่าคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณที่มีทั้งประสบการณ์ทางการเมืองและความรู้ความสามารถรอบด้านจะ โง่จนไม่รู้เลยหรือว่าใครคือศัตรู และการเคลื่อน ไหวของตนเองจะส่งผลอย่างไรกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์

โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศอย่าง ถี่ยิบ รวมถึงการเป็นข่าวไปทั่วโลกถึงการเดินทางเข้า ไปเยอรมนีและญี่ปุ่นนั้นล้วนต้องการจงใจให้เป็นข่าว ทั้งสิ้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ใช่เป้าบินแต่น่าจะเป็น จานบินที่เหนือเมฆอย่างไร้ร่องรอยมากกว่า

ที่สำคัญการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งทำให้ ความจริงหลายอย่างปรากฏออกมา ซึ่งล้วนแต่เป็นการตบหน้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์และ มือที่มองไม่เห็นว่าที่ผ่านมาไม่ได้พูดความจริง หรือโกหกตอแหลเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด อย่างกรณีหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณของอินเตอร์โพลที่ไม่เคยมีเลย

เช่นเดียวกับกรณีของรัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติวีซ่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศก็เหมือนการตอกย้ำความไม่พอใจกรณีนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ที่รัฐบาลยุคนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมทำ ความจริงให้ปรากฏ

แม้แต่กรณีสมเด็จฮุน เซน ที่เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชนะการเลือกตั้งและได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็สั่งให้มีการเจรจาเจบีซีกับไทยทันที รวมถึงการเชิญ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปเยือนกัมพูชา ซึ่งเป็นการตบหน้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต เพื่อให้ประชาคมโลกเห็นถึงความล้มเหลวของนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์

ความจริงต้องปรากฏ
ดังนั้น การเมืองไทยจึงไม่ใช่แค่อำนาจรัฐเปลี่ยนไปแล้วจะทำให้คนเปลี่ยนไปด้วยเท่านั้น แต่คนไทยทั้งแผ่นดินต้องเปลี่ยนไปด้วย คือจะต้อง เลิกดัดจริตและเลิกโกหกตัวเองต้องยอมรับความจริงว่าวิกฤตการเมืองที่ทำลายบ้านเมืองมากว่า 5 ปีนั้นเกิดจากมือที่มองไม่เห็นที่สูญเสียอำนาจและผลประโยชน์จากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณในอดีต จนนำมาสู่การทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้บ้านเมืองแตกแยกและแบ่งฝ่ายอย่าง ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังสร้างมรดกอุบาทว์โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับ มดลูก คมช.ที่ทำให้การเมืองการปกครองไทยพิกลพิการมาจนถึงทุกวันนี้

โดยเฉพาะมาตรา 237 ที่ให้ยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธินักการเมือง อย่างกรณีบ้านเลขที่ 111 และกลุ่ม 109 นั้นสะท้อนชัดเจนถึงความอัปลักษณ์ของรัฐธรรมนูญและการใช้อำนาจเผด็จการ จนทำให้พรรคการเมืองวันนี้ กรรมการบริหารแทบทุกพรรคต้องตั้ง หุ่นเชิดขึ้นมาเป็นกรรมการบริหาร แม้แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่ได้เป็นแม้แต่กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยเลย

นอกจากนี้ยังมีองค์กรอิสระต่างๆที่ไม่ต่างกับ มรดกอุบาทว์ของอำนาจเผด็จการ ซึ่งถูกวิพากษ์ วิจารณ์มาโดยตลอด ทั้งการเข้ามาของตัวบุคคลและ การใช้อำนาจสองมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ จนมีหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูปทั้งรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ และปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ

ชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงเป็นคำตอบว่าคนไทยไม่ได้ โง่-จน-เจ็บและยอมก้มหัวให้กับอำนาจเผด็จการใดๆ พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องแก้ปัญหาวิกฤตบ้านเมือง ซึ่งไม่ใช่แค่ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของประชาชน หรือ เกี๊ยะเซียะกับมือที่มองไม่เห็นแต่ต้องเร่งทำความจริงให้ปรากฏ โดยเฉพาะวิกฤตบ้านเมืองที่ผ่านมาว่าใครคือต้นเหตุจนนำมาสู่การสังหารโหดประชาชนนับร้อย และบาดเจ็บพิการหลายพันคน ซึ่งที่ผ่านมานอกจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะไม่แสดงความ รับผิดชอบใดๆแล้ว ยังไม่มีการเยียวยาผู้เสียหายอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังมีความพยายามขัดขวางการเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่ต้องการให้เยียวยาผู้เสียชีวิตคนละ 10 ล้านบาทอีกด้วย

จนนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต้องย้อนถามว่า
ชีวิตคนมีค่ามากกว่า 10 ล้านบาทแน่นอน คนที่ตายไปเขาฆ่าตัวตายหรือเปล่า หรือไปฆ่าเขาตาย และเลิกตอบได้แล้วว่าคนที่ตายเอาหัวไปชนกระสุน ฉะนั้นคนที่ตายมีแต่ถูกทำให้ตาย จึงต้องชดใช้ ที่สำคัญคนที่ตายต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อไม่ให้เกิดปฏิวัติรัฐประหารขึ้นในประเทศ

ยิ่งลักษณ์ต้องกล้า
ขณะเดียวกันรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องกล้าที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนำประชาธิปไตยและความยุติธรรมที่เป็นธรรมและเสมอภาคกลับคืนมาให้กับประชาชน โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพทางการเมืองและ สิทธิความเป็นมนุษย์ อย่างที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชน 65 ล้านคนลงประชามติ และมีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่เป็นตัวแทนของประชาชนเข้ามาเป็นผู้พิจารณาว่าเหมาะสมที่จะแก้ไขหรือไม่

ถ้าประชาชน 65 ล้านคนมีความเห็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะถือเป็นอำนาจที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ผมจึงเห็นว่าหากต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องขอความเห็นของประชาชนทั้ง 65 ล้านคน โดยให้ประชาชนยกร่างและแสดงความคิดเห็นให้เป็นอิสระของประชาชนทั้งหมด ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณแม้แต่น้อย

เส้นทางของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงต้องเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย และจะประมาทไม่ได้เลย เพราะตราบใดที่ มือที่มองไม่เห็นยังควบคุมกลไกรัฐและเครื่องมือต่างๆ รวมทั้งพรรคการ เมืองที่พร้อมจะก้มหัวและรับใช้เผด็จการ การใช้ อำนาจพิเศษและวาทกรรมโกหกตอ แหลเพื่อปล่อยข่าว ปลุกปั่นเพื่อทำลายพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเป็นไปได้ตลอดเวลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น