ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 324 วันที่ 20 - 26 สิงหาคม 2554 พ.ศ. 2554
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันกรณีรัฐบาลญี่ปุ่นให้วีซ่าเป็นกรณีพิเศษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกำหนดเดินทางวันที่ 22 สิงหาคมนี้ เพื่อให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนญี่ปุ่น จากนั้นวันที่ 23 สิงหาคมจะไปบรรยายเรื่อง “ประชาธิปไตยไทย” ที่ชมรมผู้สื่อข่าวต่างประเทศของญี่ปุ่น และบรรยายเรื่อง “รูปแบบและบทบาทของเศรษฐกิจโลก” ที่สถาบันเจแปน-ไชน่า อาเซียน ออฟ อีโคโนมี ส่วนวันที่ 24 สิงหาคม จะไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยทามาและบรรยายเรื่อง “ปัญหาแผ่นดินไหวและสึนามิ” จากนั้นวันที่ 25-26 สิงหาคมจะเดินทางไปดูที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิ
ปชป. กัดไม่ปล่อย
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ใน ฐานะทีมกฎหมาย เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้สั่งให้ทีมกฎหมายติดตามข้อมูลเพื่อเอาผิดนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเชื่อว่าให้การช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น ในฐานะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักโทษ ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ทั้งยังมีหมายจับในข้อหาก่อการร้าย รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จึงถอดถอนพาสปอร์ต เพื่อล็อกสถานที่ให้อยู่ในที่ที่จำกัดและสะดวกในการติดตามตัวมาลงโทษตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นใครที่ช่วยเปิดช่องสกัด พ.ต.ท.ทักษิณก็เหมือนช่วยให้ผู้ที่ต้องโทษหลบหนี ซึ่งผิดกฎหมายชัดเจน
อย่างไรก็ตาม การไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพุ่งเป้าไปที่นายสุรพงษ์ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธว่าเป็นรัฐมนตรี “สายล่อฟ้า” ตั้งแต่ยังไม่เข้ามารับผิดชอบอย่างเป็นทางการก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์และโจม ตีอย่างต่อเนื่องว่าเป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณกำหนดให้ดำรงตำแหน่งนี้ แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะปฏิเสธว่าเป็นผู้พิจารณาด้วยตัวเอง แม้นายสุรพงษ์จะไม่มีประสบการณ์ด้านการทูต แต่มีความรู้ความสามารถด้านการค้าและธุรกิจระหว่างประเทศ
การที่นายอภิสิทธิ์ลงมาจับเรื่องนี้เองย่อมถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา และยังมีนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถากถางถึงพฤติกรรมของนายสุรพงษ์ว่าเปลี่ยนสี เพราะครั้งที่ยังเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นคนตรวจสอบ พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องผลประโยชน์โทรคมนาคมจนถูกฟ้องมาแล้ว แต่วันนี้กลับไปช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ
ฉีกหน้า “มาร์ค”ตบปาก “กษิต”
นายยูกิโอะ เอดาโนะ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น แถลงถึงกรณีที่รัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติวีซ่าเป็นกรณีพิเศษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณเพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยื่นคำร้อง ขอมายังกรุงโตเกียว และรัฐบาลไทยไม่มีนโยบายห้าม พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปยังประเทศใดๆ ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจึงนำคำร้องนี้มาพิจารณาร่วมกับเงื่อนไขแวดล้อมอื่นแล้วจึงตัดสินใจออกวีซ่าให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นก็เป็นแค่รายงานข่าวที่ยังมีความสับสน
แต่อีกด้านหนึ่งมองว่าการที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้วีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เหมือนการ “ฉีกหน้านายอภิสิทธิ์และตบปากนายกษิต” นั่นเอง เนื่องจากการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่นของสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ผ่านมากว่า 1 ปีแล้ว รัฐบาลนายอภิสิทธิ์แทบไม่มีคำตอบให้กับรัฐบาลญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่นเลย แม้สถานทูตญี่ปุ่นจะสอบถามและติดตามการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่รับผิดชอบตลอดเวลา รวมถึงภาพครั้งประวัติศาสตร์ของรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศญี่ปุ่นที่เดินทางมาสอบถามและยืนไว้อาลัยบริเวณที่นายฮิโรยูกิ มูราโมโต ถูกยิงเสียชีวิต แต่ดีเอสไอกลับให้คำตอบแค่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเจ้าหน้าที่รัฐยิง ต่อมาภายหลังยังอ้างว่ามีหลักฐานใหม่ นั่นคืออาวุธที่ยิงนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ไม่ใช่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งขัดกับหลักฐานคือกระสุนและพยานที่ให้ปากคำก่อนหน้านี้
“อินเตอร์โพล” แฉซ้ำ
ส่วน “หมายแดง” หรือ Red Notice ที่เป็นประกาศจับบุคคลที่ต้องการตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่าตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพลได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคประชาธิปัตย์ที่นำมาใช้เล่นงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายสุรพงษ์ก่อนหน้านี้ว่ามีความพยายาม ให้ถอนหมายแดงนั้น กลับปรากฏว่านายโรนัลด์ โนเบิล เลขาธิการอินเตอร์โพล ออกมายืนยันว่าไม่เคยมีหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะอินเตอร์โพลเห็นว่าเป็นคดีทางการเมือง เนื่องจากตามมาตรา 3 ของอินเตอร์โพลระบุว่า จะไม่มีการลง “Red Notice” กรณีผู้ต้องหาคดีทางการเมือง แบ่งแยกดินแดน หรือผู้ต้องหาเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อความเป็นกลาง
นอกจากนี้ในเว็บไซต์ของอินเตอร์โพลก็ไม่ปรากฏว่ามีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในกลุ่มบุคคลที่ถูกออกหมายจับแต่อย่างใด จึงมีการตั้งคำถามว่าแล้วเหตุใดรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่ทราบเรื่องดังกล่าวมานานแล้วกลับ “ปิดเงียบ” และปล่อยให้สร้างกระแสอินเตอร์โพลว่า “ถอนหมายจับ” ขึ้นมา
ขณะที่ พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาแถลงกรณีข่าว “หมายแดง” ของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เคยร้องขอไปยังอินเตอร์โพลเมื่อ 2 ปีก่อนจริง แต่อินเตอร์โพลไม่ได้ขึ้นหมายแดงให้ และยังมีหนังสือตอบกลับมาว่ากรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าเงื่อนไขการประกาศหมายแดงของทางอินเตอร์โพล หลังจากนั้นทางกองการต่างประเทศไม่ได้ร้องขอไปอีก
เช่นเดียวกับนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่าเรื่อง “หมายแดง” หรือหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณของอินเตอร์โพลนั้นเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนตั้งแต่ต้น เพราะที่ผ่านมาตำรวจสากลไม่เคยออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่เคยเอาชื่อขึ้นบัญชีรายชื่อผู้ที่ถูกจับ
รัฐบาลไทยไร้อำนาจ
กรณี พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปญี่ปุ่น นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายระหว่างประเทศ นิติศาสตรมหาบัณฑิต (รางวัลทุนฟุลไบรท์) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เขียนบทวิเคราะห์การให้วีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณของรัฐบาลญี่ปุ่นว่า หากพูดตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งไทยและญี่ปุ่นต่างเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องเคารพ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงสามารถเดินทางได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะไปประเทศใดประเทศหนึ่งหากเข้าไปโดยถูกกฎหมาย
อีกทั้งรัฐธรรมนูญไทย มาตรา 82 ให้รัฐบาลไทยเคารพสิทธิมนุษยชนข้อนี้ แม้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ภายใต้เขตบังคับของกฎหมายไทย รัฐบาลไทยก็ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายไทยเช่นกัน
ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงเป็นมนุษย์ ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนจะต้องติดตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้หายไปไหน การได้รับวีซ่าญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมายเพื่อไปแสดงความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจ หรือแสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบภัยธรรมชาติ จึงมิใช่เรื่องที่ผิดกฎหมาย และอยู่นอกอำนาจที่รัฐบาลไทยจะห้ามญี่ปุ่นได้ หากรัฐบาลไทยไปยุ่มย่ามเรื่องภายในจะเป็นการแทรกแซงและผิดกฎบัตรสหประชาชาติ
อีกทั้งกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมืองและผู้ลี้ภัยของประเทศญี่ปุ่น ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2009 มาตรา 5-2 เปิดช่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสามารถออกวีซ่าพิเศษให้กับผู้ที่ต้องโทษจำคุกได้หากเห็นว่าเป็น
กรณีสมควร
“เมื่อรัฐบาลไทยไม่เคยชินกับการอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน และดันมีคนใจดีช่วยขอวีซ่าจนกลายเป็นข่าว จึงมีผู้ตั้งประเด็นว่าเป็นการทำให้การจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณลำบากขึ้นและผิดกฎหมายนั้นเป็น การฉลาดหรือไม่ก็น่าคิดอยู่”
“ทักษิณ” บินเหนือเมฆ
อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิชาการ นักการเมือง และกลุ่มผู้มีอำนาจในไทยส่วนใหญ่ยังวิพากษ์วิจารณ์ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังสร้างปัญหาให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ได้ไม่นาน เพราะถ้าเคลื่อนไหวหรือให้สัมภาษณ์มากเท่าไรจะยิ่งกลายเป็น “เป้า” ให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปเป็นเงื่อนไขโจมตีและล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์มากขึ้นนั้น ต้องตั้งคำถามกลับเช่นกันว่าคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณที่มีทั้งประสบการณ์ทางการเมืองและความรู้ความสามารถรอบด้านจะ “โง่” จนไม่รู้เลยหรือว่าใครคือศัตรู และการเคลื่อน ไหวของตนเองจะส่งผลอย่างไรกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์
โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศอย่าง ถี่ยิบ รวมถึงการเป็นข่าวไปทั่วโลกถึงการเดินทางเข้า ไปเยอรมนีและญี่ปุ่นนั้นล้วนต้องการจงใจให้เป็นข่าว ทั้งสิ้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ใช่ “เป้าบิน” แต่น่าจะเป็น “จานบิน” ที่เหนือเมฆอย่างไร้ร่องรอยมากกว่า
ที่สำคัญการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งทำให้ “ความจริง” หลายอย่างปรากฏออกมา ซึ่งล้วนแต่เป็นการตบหน้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์และ “มือที่มองไม่เห็น” ว่าที่ผ่านมาไม่ได้พูดความจริง หรือโกหกตอแหลเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด อย่างกรณีหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณของอินเตอร์โพลที่ไม่เคยมีเลย
เช่นเดียวกับกรณีของรัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติวีซ่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศก็เหมือนการตอกย้ำความไม่พอใจกรณีนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ที่รัฐบาลยุคนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมทำ “ความจริง” ให้ปรากฏ
แม้แต่กรณีสมเด็จฮุน เซน ที่เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชนะการเลือกตั้งและได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็สั่งให้มีการเจรจาเจบีซีกับไทยทันที รวมถึงการเชิญ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปเยือนกัมพูชา ซึ่งเป็นการตบหน้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต เพื่อให้ประชาคมโลกเห็นถึงความล้มเหลวของนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
“ความจริง” ต้องปรากฏ
ดังนั้น การเมืองไทยจึงไม่ใช่แค่อำนาจรัฐเปลี่ยนไปแล้วจะทำให้คนเปลี่ยนไปด้วยเท่านั้น แต่คนไทยทั้งแผ่นดินต้องเปลี่ยนไปด้วย คือจะต้อง “เลิกดัดจริตและเลิกโกหกตัวเอง” ต้องยอมรับความจริงว่าวิกฤตการเมืองที่ทำลายบ้านเมืองมากว่า 5 ปีนั้นเกิดจาก “มือที่มองไม่เห็น” ที่สูญเสียอำนาจและผลประโยชน์จากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณในอดีต จนนำมาสู่การทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้บ้านเมืองแตกแยกและแบ่งฝ่ายอย่าง ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังสร้าง “มรดกอุบาทว์” โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับ “มดลูก คมช.” ที่ทำให้การเมืองการปกครองไทยพิกลพิการมาจนถึงทุกวันนี้
โดยเฉพาะมาตรา 237 ที่ให้ยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธินักการเมือง อย่างกรณีบ้านเลขที่ 111 และกลุ่ม 109 นั้นสะท้อนชัดเจนถึงความอัปลักษณ์ของรัฐธรรมนูญและการใช้อำนาจเผด็จการ จนทำให้พรรคการเมืองวันนี้ กรรมการบริหารแทบทุกพรรคต้องตั้ง “หุ่นเชิด” ขึ้นมาเป็นกรรมการบริหาร แม้แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่ได้เป็นแม้แต่ “กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย” เลย
นอกจากนี้ยังมีองค์กรอิสระต่างๆที่ไม่ต่างกับ “มรดกอุบาทว์” ของอำนาจเผด็จการ ซึ่งถูกวิพากษ์ วิจารณ์มาโดยตลอด ทั้งการเข้ามาของตัวบุคคลและ การใช้อำนาจสองมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ จนมีหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูปทั้งรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ และปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ
ชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงเป็นคำตอบว่าคนไทยไม่ได้ “โง่-จน-เจ็บ” และยอมก้มหัวให้กับอำนาจเผด็จการใดๆ พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องแก้ปัญหาวิกฤตบ้านเมือง ซึ่งไม่ใช่แค่ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของประชาชน หรือ “เกี๊ยะเซียะ” กับ “มือที่มองไม่เห็น” แต่ต้องเร่งทำความจริงให้ปรากฏ โดยเฉพาะวิกฤตบ้านเมืองที่ผ่านมาว่าใครคือต้นเหตุจนนำมาสู่การสังหารโหดประชาชนนับร้อย และบาดเจ็บพิการหลายพันคน ซึ่งที่ผ่านมานอกจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะไม่แสดงความ รับผิดชอบใดๆแล้ว ยังไม่มีการเยียวยาผู้เสียหายอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังมีความพยายามขัดขวางการเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่ต้องการให้เยียวยาผู้เสียชีวิตคนละ 10 ล้านบาทอีกด้วย
จนนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต้องย้อนถามว่า
“ชีวิตคนมีค่ามากกว่า 10 ล้านบาทแน่นอน คนที่ตายไปเขาฆ่าตัวตายหรือเปล่า หรือไปฆ่าเขาตาย และเลิกตอบได้แล้วว่าคนที่ตายเอาหัวไปชนกระสุน ฉะนั้นคนที่ตายมีแต่ถูกทำให้ตาย จึงต้องชดใช้ ที่สำคัญคนที่ตายต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อไม่ให้เกิดปฏิวัติรัฐประหารขึ้นในประเทศ”
“ยิ่งลักษณ์” ต้องกล้า
ขณะเดียวกันรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องกล้าที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนำประชาธิปไตยและความยุติธรรมที่เป็นธรรมและเสมอภาคกลับคืนมาให้กับประชาชน โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพทางการเมืองและ สิทธิความเป็นมนุษย์ อย่างที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชน 65 ล้านคนลงประชามติ และมีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่เป็นตัวแทนของประชาชนเข้ามาเป็นผู้พิจารณาว่าเหมาะสมที่จะแก้ไขหรือไม่
“ถ้าประชาชน 65 ล้านคนมีความเห็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะถือเป็นอำนาจที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ผมจึงเห็นว่าหากต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องขอความเห็นของประชาชนทั้ง 65 ล้านคน โดยให้ประชาชนยกร่างและแสดงความคิดเห็นให้เป็นอิสระของประชาชนทั้งหมด ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณแม้แต่น้อย”
เส้นทางของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงต้องเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย และจะประมาทไม่ได้เลย เพราะตราบใดที่ “มือที่มองไม่เห็น” ยังควบคุมกลไกรัฐและเครื่องมือต่างๆ รวมทั้งพรรคการ เมืองที่พร้อมจะก้มหัวและรับใช้เผด็จการ การใช้ “อำนาจพิเศษ” และ “วาทกรรมโกหกตอ แหล” เพื่อปล่อยข่าว ปลุกปั่นเพื่อทำลายพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเป็นไปได้ตลอดเวลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น