เรียบเรียงโดย May19 เครดิตข่าวจาก ไทยอีนิวส์
วันพรุ่งนี้ (10 ส.ค.54) เวลา 9.00 น. จะมีการพิพากษาคดีที่ใหญ่ที่เพิ่งเป็นข่าวฮือฮาหลังจาก ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ออกมาให้ข่าว นั่นคือ คดีครอบครองปืน วัตถุระเบิด โดยมีผู้หญิง ชื่อ นฤมล วรุณรุ่งโรจน์ หรือจ๋า วัย 50 ปีอาชีพค้าขาย พร้อมกับพวกอีก 2 คนเป็นจำเลยคือ สุรชัย นิลโสภา อายุ 33 ปี อาชีพขับแท็กซี่ และ ชาตรี ศรีจินดา อายุ 28 ปี อาชีพทำสวน
ในการสืบพยานโจทก์ พยานปากหนึ่งระบุว่า เห็นนำปืนไปใช้ยิงเฮลิคอปเตอร์ของทหาร เมื่อวันที่ 10 เม.ย. จำเลยทั้ง 3 ก็อยู่ในเรือนจำมาปีกว่า โดยไม่ได้รับการประกันตัว แม้จะยื่นประกันตัวถึง 3 ครั้ง จนเมื่อเรื่องนี้เป็นที่รับรู้ มีการเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง คนจึงเรียกกันติดปากว่า “คดีผู้หญิงยิง ฮ.”
ในคำฟ้องระบุว่า เจ้าหน้าที่จับกุมตัวทั้งสามได้ เมื่อวันที่ 3 พ.ค.53 จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา จำเลยว่า
“ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ และร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม
รายการอาวุธแนบท้ายคำฟ้องที่ระบุว่าจับได้มี ปืนเล็กกล AK47 จำนวน 5 กระบอก, ปืนเล็กกล M16 จำนวน 1 กระบอก ระเบิดสารพัดชนิดเกือบ 20 ลูก กระสุนปืนแบบต่างๆ เกือบพันลูก ไม่นับตะไล ปืนคาร์ไบน์ ระเบิดเพลิง"
ในการสืบพยาน มีพยานโจทก์ปากหนึ่งระบุว่า ในวันที่ 10 เม.ย.53 ประมาณเกือบ 17.00 น. เห็นกลุ่มคน 4 คน นั่งรถฮอนด้า ซีอาร์วี มาจอดบริเวณซอยแถวแยกมหานาค ซึ่งอยู่ในระยะที่มองเห็นได้ชัดเจน เห็นชาย 2 คนถืออาวุธปืน คนหนึ่งในนั้นถืออาวุธปืนไม่ทราบชนิด ยิงเฮลิคอปเตอร์ของทหารที่บินผ่าน ประมาณ 3 วินาที ก่อนจะขึ้นรถขับออกไปจากบริเวณเกิดเหตุ ซึ่งใกล้กันนั้นมีผู้ชุมนุมกำลังชุมนุมกันอยู่ พยานผู้เห็นเหตุการณ์ได้โทรแจ้งยังกรุงเทพมหานคร หมายเลข 1555 และ 191 จากนั้นเมื่อเห็นข่าวทหารบาดเจ็บจากการโดนยิงเฮลิคอปเตอร์จึงไปเยี่ยมเพื่อบอกว่ายินยอมเป็นพยานให้ในคดีนี้ เพราะรู้สึกเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เวลาดังกล่าวใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่มีปฏิบัติการทิ้งแก๊สน้ำตา ก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมบริเวณสี่แยกคอกวัว และหน้าโรงเรียนสตรีวิทย์ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน เป็นทหาร 5 คน และพลเรือน 21 คน ในจำนวนนั้นเป็นนักข่าวชาวญี่ปุ่น 1 คน
สำหรับ ‘จ๋า’ เป็นหญิงห้าวแห่งสนามหลวง เธอออกมาประท้วงรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 โดยรวมกลุ่มกับ ‘กุล่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ’ เพราะเธอชื่นชอบนโยบายของพรรคไทยรักไทย และเกลียดชังการรัฐประหาร อาชีพเดิมเคยเป็นแม่ค้าขายผัก มีนิสัยตรงไปตรงมา โผงผาง ใจดี แต่ค่อนข้างปากร้าย เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มบอกกล่าว จากนั้นแม้กลุ่มจะสลายหายไปแล้ว แต่จ๋ายังคงวนเวียนอยู่กับการชุมนุมโดยตลอด อาศัยรายได้จากการขายสมุนไพร และทำแชมพูสำหรับสุนัข เนื่องจากเธอเป็นคนรักสุนักเหมือนลูกแท้ๆ เธออยู่กับลูกๆ 7 ตัวเพียงลำพัง สามีของเธอที่เป็นนายตำรวจเสียชีวิตไปในปี 2535
จ๋าเล่าขณะติดคุกอยู่ทัณฑสถานหญิงกลางว่า รู้จักกับสุรชัย จำเลยที่ 1 จากการชุมนุมเมื่อปี 2552 เพราะเป็นแท็กซี่เสื้อแดง จากนั้นจึงว่าจ้างมารับส่งในการชุมนุมมาโดยตลอด จนเป็นเพื่อนสนิทกัน ขณะที่รู้จักกับจำเลยที่ 3 หรือชาตรีในการชุมนุมปี 52 เช่นกัน ขณะเขากำลังขายเสื้อผ้าหมาและเธอเดินซือเสื้อผ้าหมา ทั้งหมดมาเจอกันอีกที่การชุมนุมปีถัดมา
ในวันที่โดนจับ คืนนั้นกว่าจะกลับมาถึงบ้านของจ๋าก็ตีสี่ครึ่ง สุรชัยและชาตรีจึงงีบหลับที่บ้านจ๋าก่อนกลับบ้านในตอนเช้า
จากนั้นเวลาประมาณ 9.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารประมาณ 30 คน อาวุธครบมือได้บุกเข้ามาในบ้าน และจับกุมทั้งสามคน นำตัวขึ้นรถแยกคนละคัน ทั้งสามให้การตรงกันว่า เมื่อคุมตัวสักพักก็ขับรถวนไปวนมาพักใหญ่ก่อนกลับมาที่บ้านพักที่จับกุม
จากนั้นเวลาประมาณ 9.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารประมาณ 30 คน อาวุธครบมือได้บุกเข้ามาในบ้าน และจับกุมทั้งสามคน นำตัวขึ้นรถแยกคนละคัน ทั้งสามให้การตรงกันว่า เมื่อคุมตัวสักพักก็ขับรถวนไปวนมาพักใหญ่ก่อนกลับมาที่บ้านพักที่จับกุม
สุชัย บอกว่า ขณะอยู่บนรถก่อนจะถึงที่บ้านพักของจ๋า เจ้าหน้าที่ก็ถามเขาว่า อาวุธอยู่ที่ไหน เขาตอบว่าไม่รู้ เจ้าหน้าที่เอามือทุบหน้าอกของเขา และถามเขาอีกครั้งว่า อาวุธอยู่ที่ไหน เขาก็ตอบว่าไม่รู้ เจ้าหน้าที่ถามพร้อมกับทุบที่หน้าอกของเขาสลับไปมาประมาณ 20 ครั้ง
เมื่อรถวิ่งมาถึงบ้านที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาไปที่ห้องนอน ตอนที่จะเดินไปในห้องนอน ก็ปรากฎว่ามีอาวุธกองอยู่ในบ้านจำนวนเยอะมาก มีปืนอาก้า ระเบิด กระสุนเป็นถุง ๆ
เจ้าหน้าที่ถามเขาอีกครั้งว่า อาวุธ อยู่ไหน เขาก็ตอบอีกครั้งว่า เขาไม่รู้ หลังจากนั้น เขาก็โดนเจ้าหน้าที่เตะเข้าที่ลำตัว จนเขาล้มทั้งยืน และเขาถูกกุญแจมือไขว่หลัง พอเขาล้มลงก็กระทืบเขาทั้งหน้าและหลังหลายครั้ง
หลังจากนั้นก็พาเขาออกมาจากห้อง แล้วก็ใส่กุญแจมือให้เขาใหม่ โดยเอากุญแจมือใส่ที่ด้านหน้า และจากนั้นก็ให้เขาถือกระป๋องแก๊สน้ำตา แล้วถ่ายรูปเขา ก่อนจะให้ชี้ไปที่กองอาวุธและถ่ายรูปเขาไว้อีกครั้ง
เขาเล่าว่าตลอดเวลานั้น เขาไม่มีโอกาสคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่มีโอกาสถามว่าทำไมมาจับเขาและตรวจค้นเขา เขาไม่ทราบด้วยว่าเจ้าหน้าที่ มีหมายจับและหมายค้นหรือไม่ แต่ไม่เห็นเจ้าหน้าที่แสดงหมายใดๆ และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกว่า เขาสามารถติดต่อเพื่อน ญาติ หรือทนายได้ แต่ถึงให้ติดต่อ เขาไม่อยากติดต่อเพราะกลัวว่าญาติพี่น้องจะเดือดร้อน
ยิ่งไปกว่านั้น สุรชัยยังระบุว่าเขาทั้งสามถูกนำตัวไปยัง กองพันทหารราบที่ 11 ในช่วงเย็น โดยถูกแยกขังคนละแห่งเพื่อทำการสอบสวน ห้องที่เขาถูกนำไปสอบสวนเหมือนเป็นโกดังเก็บถังน้ำมัน มีถังน้ำมัน 200 ลิตร ตั้งเรียงรายอยู่ ประมาณ 20 ถัง กลิ่นน้ำมันคลุ้งไปหมด มีเจ้าหน้าที่สอบสวนนั่งในห้องเขาประมาณ 3-4 คน มีคนถาม 1 คน และมีคนจดบันทึก 2 คน เจ้าหน้าที่ในราบ 11 ถามเขาว่า อาวุธอยู่ที่ไหน และข่มขู่ว่าหากเขาไม่ยอมรับจะจับเขาไปใส่ถังน้ำมัน 200 ลิตร เอาผ้าปิดปาก แล้วเอาน้ำมันราดเมื่อเขาโดนขู่เขาจึงตอบคำถามทั้งหมดเรื่องไหนไม่รู้ก็พยายามตอบๆ ไป เพื่อจะไม่ถูกทำร้าย แต่บางเรื่องเขาก็ตอบตามจริง เช่นการปลอมทะเบียนรถ เนื่องจากตอนที่ชุมนุมนั้นมีข่าวว่า มีคนจดทะเบียนรถยนต์คนเสื้อแดงแล้วจะไปตามทำร้ายจึงทำให้เขาต้องปลอมทะเบียนรถยนต์เพื่อความปลอดภัย จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงให้มีการเซ็นเอกสารต่างๆ ซึ่งเขาไม่มีโอกาสได้อ่าน แล้วค่อยนำตัวไปให้ดีเอสไอในตอนกลางคืน
ขณะที่ผู้ใช้นามแฝงในโลกอินเตอร์เน็ตว่า “ป้านินจา” อดีตสมาชิกกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ตั้งข้อสังเกตว่า จากการสอบถามกับจ๋าในเรือนจำ พบว่าเจ้าหน้าที่ทหารเอาปืนขู่ชาวบ้านที่ออกมาดูเหตุการณ์ให้กลับเข้าบ้านจนหมด จึงไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง มีการเอาตัวจำเลยทั้งหมดออกจากบ้านไป แล้วจากนั้นจึงนำกลับมาพร้อมกับบอกว่าพบอาวุธปืนและกระสุนปืนจำนวนมากใส่ไว้ในถุงกอล์ฟซ่อนอยู่ในท่อระบายน้ำที่นอกตัวบ้าน ซึ่งในความเป็นจริงท่อระบายน้ำดังกล่าวกว้างเพียง 14 เซ็นติเมตร ไม่มีทางจะนำถุงกอล์ฟยัดลงไปได้
“เท่าที่มีการสืบพยาน ลายนิ้วมือแฝงบนอาวุธก็ไม่มีเลย พยานคนเดียวที่บอกว่าเห็นก็เบิกความว่าพี่จ๋าผมยาวประบ่า ทั้งที่จริงๆ แกตัดผมสั้นตลอด”
“คดีนี้ไม่มีใครช่วยเลย วอล์กอินไปที่ไหนเขาก็กระโดดหนีหมด เพราะกลัวจะถูกโยงมาเกี่ยวพัน คดีมันหนัก โทษหนัก แต่ที่สุดก็มีทนายพรรคมาช่วย แล้วก็ได้ทนายอาวุโสอีกคนที่เขาอาสามาช่วยในช่วงหลังเพราะสงสาร ญาติๆ เขาก็รวมเงินให้ทนายไปไม่กี่พันบาท” ป้านินจากล่าว
"ถ้าพี่จ๋าไม่โดนจับเสียก่อน แล้วอยู่รอดจนเขาสลายการชุมนุม ต้องโดนยิงตายแน่ๆ เพราะแกต้องวิ่งไปอยู่ด่านหน้าอย่างแน่นอน" ป้านินจากล่าว
ขณะที่เจ้าหน้าที่จากศูนย์ข้อมูลประชานผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณี เม.ย.- พ.ค.53 หรือ ศปช. ซึ่งติดตามการพิจารณาคดีมาโดยตลอด ตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งข้อหานั้นตั้งเรื่องการครอบครองอาวุธสงคราม แต่ดูเหมือนในการสืบพยานโจทก์จะเน้นไปสู่เรื่องการยิงเฮลิคอปเตอร์ เพื่อทำให้เห็นแรงจูงใจในการครอบครองอาวุธเสียมากกว่า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็น่าแปลกที่ไม่มีการตั้งข้อหาพยายามฆ่า และไม่มีการเบิกตัวทหารที่ได้รับบาดเจ็บมาให้การแต่อย่างใด
สำหรับจ๋าที่ใช้ชีวิตอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง 1 ปี กับ 3 เดือนกว่า เธอบอกก่อนจะมีการตัดสินคดีในไม่กี่วัน หลังจากเรื่องของเธอถูกเผยแพร่ในโลกอินเตอร์เน็ตว่า เธออยากเชิญชวนให้ทุกคนมาฟังคำพิพากษาคดีของเธอ และพร้อมจะเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันเพื่อพิสูจน์ความเป็นธรรมในประเทศไทย ขณะเดียวกันเธอประณามฝ่ายที่จับกุมเธออย่างดุดันว่าดีแต่รังแกคนไม่มีทางสู้ พร้อมระบุไม่หวังกับนักการเมืองไม่ว่าฝ่ายใดนอกจากพลังของประชาชนด้วยกันเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น