Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

11 ข้อเร่งด่วนที่รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ต้องนำไปแก้ไขอย่างด่วนที่สุด

คอลัมน์ชักธงฉะ
โดยแตรยำ
จาก RED POWER ฉบับที่ 18 ปักหลัง สิงหาคม 2554



 
ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของฝ่ายประชาธิปไตยที่มีคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินเป็นแนวหน้า จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ถ้าพวกเราทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน ปกป้องรัฐบาลที่พวกเราทุกคนร่วมกันเลือกและร่วมกันตั้งขึ้น จากนี้ต่อไป แตรยำขอให้คนเสื้อแดงและประชาชนที่รักความยุติธรรมทุกท่าน คอยจับตา สอดส่องดู เหล่าอำมาตย์ เจ้าเก่าและเจ้าใหม่ ที่จะคอยโจมตี และเต้าข่าวที่เป็นเท็จ เพื่อทำลายรัฐบาลของนายกหญิงคนแรกของเรา  ความฉ้อฉลเหล่านี้เคยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ยุคนายกทักษิณ นายกสมัครและนายกสมชาย นายกในดวงใจของพวกเราทุกคนต้องถูกขบวนการชั่วร้ายเหล่านี้ ร่วมกันทำลายล้าง แม้พวกเราต้องเจ็บช้ำ ต้องสูญเสีย แต่ความเจ็บช้ำเหล่านั้น ได้ถูกคนเสื้อแดงแปรเปลี่ยนเป็นเกาะ เป็นกำบัง ที่แข็งแกร่ง ที่ยากจะทำลายได้อีกต่อไป*
ด่วนจี๋ ไปรษณีย์จ๋า ล่าสุด นิตยสาร TIME นิตยสารยักษ์ใหญ่ระดับโลก ของอเมริกา ก็ยกย่องให้นายกยิ่งลักษณ์ ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆ เป็นหนึ่งในสตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ในจำนวน 12 สตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุด แตรยำเห็นว่าต่างชาติให้เกียรติถึงขนาดนี้ คุณยิ่งลักษณ์คงต้องกล้าแสดงฝีมือหน่อย อยากทำอะไรก็รีบๆทำ เหมือนที่โบราณว่า จะทุบเหล็กต้องทุบระหว่างที่เหล็กมันร้อน และภายใต้รัฐบาลใหม่แกะกล่องของนายกหญิงของเรา แตรยำอยากเห็นสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล ที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ได้สร้างมาตราฐานไว้  แตรยำอยากเห็นการแก้ไขในสิ่งต่างๆที่เคยทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศได้รับการแก้ไข จึงขอเสนอ 11 ข้อเร่งด่วนที่รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ต้องนำไปแก้ไขอย่างด่วนที่สุด
ข้อที่ 1. ขอให้ย้ายผบ.ทบ. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และลูกน้องคนสนิทที่คุมกำลังทั้งหมด ไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่   สามารถสั่งการ คุกคามรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ คำสั่งนี้จะสร้างความมั่นคงและเข้มแข็งแก่รัฐบาล แถมจะเป็นแรงเสริม และกำลังใจให้แก่เหล่าทหารที่ไม่มีเส้นแต่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและเที่ยงธรรม  พร้อมกันนี้ การปรับเปลี่ยนดังกล่าวจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนที่เบื่อหน่ายนายทหารนักการเมืองที่ชอบเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง และยังเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะเวลาเกิดวิกฤติการณ์ เหล่าทหารจะสามารถสนองคำสั่งของรัฐบาลและนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุแบบเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคของผบ.ทบ.ที่ชื่อ อนุพงษ์ เหล่าจินดา
ข้อที่ 2. ขอให้รัฐบาลเปลี่ยนตัว ผบ.ตร. คนปัจจุบัน ไปเป็นพล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ ซึ่งมีทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยวัยวุฒิ และคุณวุฒิ การแต่งตั้งทหารและตำรวจในแต่ละครั้ง ในเมืองไทย ล้วนมีเรื่องเส้นสายเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ซึ่งถ้านับตามความอาวุโสแล้ว มีคุณสมบัติครบถ้วนที่สุด ประวัติส่วนตัว ไม่เคยด่างพร้อย ที่ไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งผบ.ตร.เพราะถูกกลั่นแกล้ง เนื่องจากมีนามสกุล ดามาพงษ์แต่คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถเลือกชีวิตความเป็นอยู่ได้ คุณสมบัติทั้งหมดที่แตรยำกล่าว จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมและปราศจากอคติใดๆทั้งสิ้น
ข้อที่ 3. ขอให้รัฐบาลรีบเร่งด่วน แก้ปัญหาของแพง ที่ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ปัญหาเรื่องของแพงเท่าที่แตรยำพอมีความรู้อยู่บ้าง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้ารายใหญ่ ซึ่งผูกขาดสินค้าอุปโภคและบริโภค พ่อค้าเหล่านี้สามารถกำหนด ควบคุมราคาสินค้าชนิดต่างๆ โดยให้เงินสนับสนุนแก่พรรคการเมืองที่พวกตนหนุนหลังอยู่ แล้วยัดเงินให้แก่ข้าราชการที่โลภและเอาแต่ได้ จึงสามารถตั้งราคาสินค้าตามที่พวกตนต้องการ การจัดการปัญหาเหล่านี้ ขอให้รัฐบาลเร่งให้เกิดการแข่งขันในประเทศโดยด่วน ถ้าสินค้าใดผลิตไม่เพียงพอในการบริโภค รัฐบาลต้องเร่งเปิดตลาดให้นำเข้าโดยเสรีและส่งเสริมพ่อค้ารายใหม่ๆให้เข้ามาผลิตสินค้าเหล่านั้น
ข้อที่ 4. รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉ้อฉลปี 50 นี้ทิ้งแล้วนำรัฐธรรมนูญปี 40 กลับมาใช้โดยด่วน ข้อกฏหมายใดในรัฐธรรมนูญปี 40 มีบกพร่อง รัฐบาลและรัฐสภาต้องร่วมกันแก้ไข กฏหมายใดที่ประชาชนเห็นว่าเป็นกฏหมายที่ล้าสมัย ไม่เหมาะสม ไม่ยุติธรรม สร้างความไม่เสมอภาคต่อสังคม เช่นมาตรา 112 ที่ผู้เขียนเห็นว่ารุนแรง ล้าสมัยและอยุติธรรมเกินไป กฏหมายเหล่านั้นควรจะได้รับการแก้ไขและปรับปรุง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มาตรา 112 เป็นกฏหมายที่สร้างความแตกแยกให้แก่สังคมไทยแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะนักการเมืองได้นำกฏหมายมาตรานี้มาใช้ประโยชน์ทางการเมือง เพื่อทำลายคู่แข่ง
ข้อที่ 5. เร่งปรับปรุงระบบศาลสถิตย์ยุติธรรม เปลี่ยนแปลงระบบศาลไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดสามารถสั่งการและบิดคำสั่งจากดำเป็นขาวและจากขาวเป็นดำได้ ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประชาชนทั้งประเทศต่างรู้ซึ่งว่าระบอบตุลาการภิวัฒน์ เป็นสาเหตุหลักสาเหตุหนึ่งที่สร้างปัญาให้แก่บ้านเมือง การสามารถชูธง สั่งศาลให้ปฏิบัติตามคำสั่ง โดยไม่สนใจต่อหลักความถูกต้องและความเป็นจริง มีแต่จะทำให้บ้านเมืองหมดความเชื่อถือในสายตาคนต่างชาติ มีแต่ระบอบศาลสถิตย์ที่ตัดสินด้วยลูกขุนเท่านั้น ถึงจะเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ เพราะปัจจุบันไม่มีกฏหมายใดสามารถตรวจสอบผู้ที่ทำหน้าที่ศาลได้ เพราะแม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์ศาล ยังสามารถูกสั่งจำคุกได้
ข้อที่ 6. เร่งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์สร้างไว้ด้านการต่างประเทศ การทะเลาะเบาะแว้งกับต่างประเทศย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย การนำเอาปัญหาเขาพระวิหารไปก่อสงครามกับเขมรเป็นเรื่องที่ปัญญาอ่อนที่สุดที่แตรยำเคยพบเคยเห็นมา ความขัดแย้งจะหมดไปถ้าไทยเปิดใจกว้าง ปล่อยให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลก แล้วร่วมกันสมานผลประโยชน์ทั้งหมด เพราะถึงอย่างไรทางขึ้นเขาพระวิหารก็อยู่ที่ฝั่งไทย ถ้าเราสามารถคุยกับเขมร โดยแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน สถาณที่ดังกล่าวจะเป็นแหล่งเงิน แหล่งทองที่ทั้งสองประเทศจะสามารถตักตวงร่วมกัน ไม่เพียงเรื่องทั้งหมดจะยุติลงด้วยดี การได้ดุลการค้าปีละหลายหมื่นล้าน ซึ่งคนเขมรซื้อของไทยมาโดยตลอด ก็จะกลับมาคงสภาพดังเดิม เป็นผลประโยชน์ที่เสียแค่สิบสตางค์ แต่ได้คืนถึงหลายล้านบาท
ข้อที่ 7. ต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องคดีต่างๆที่ระหว่างแดงและเหลือง อย่างยุติธรรม ใครทำผิดควรได้รับโทษ ส่วนผู้ที่ไม่ได้ทำผิดแต่ถูกรัฐบาลที่แล้วกลั่นแกล้ง ก็ควรจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ รัฐบาลต้องชดใช้ให้แก่ผู้สูญเสียเหล่านี้ เพราะบางครอบครัวสูญเสียผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว รัฐบาลควรหามาตราการในการอุปการะญาติพี่น้องผู้สูญเสียเหล่านั้น
ข้อที่ 8. ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้สถานีโทรทัศน์ และวิทยุ ให้เป็นสื่อที่น่าเชื่อถือ ไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เปิดให้สถานีเหล่านี้เป็นอิสระ ปราศจากความครอบงำจากนัการเมืองและฝ่ายอำมาตย์ ให้โทรทัศน์เป็นแหล่งบันเทิงและความรู้ที่ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสั่งการและครอบงำได้ การรายงานข่าวต้องเป็นไปตามความเป็นจริง ผู้สื่อข่าวต้องมีอิสระและเสรีภาพในการทำงาน จะต้องไม่มีแรงกดดันจากเบื้องบนในการเสนอข่าว ส่วนนักข่าวที่เคยเสนอข่าวเลือกข้างควรได้รับการลงโทษ ไม่ให้ทำงานด้านสื่อมวลชนอีกต่อไป
ข้อที่ 9. เร่งตรวจสอบ โครงการต่างๆที่ประชาชนเห็นว่ามีการโกงกิน เช่นโครงการปลากระป๋องเน่า โครงการซื้อชุดนักเรียนแพงหูฉี่ โครงการเศรษฐกิจพอเพียง โครงการอนุมัติข้ามวันข้ามคืน ประชุมอนุมัติแสนกว่าล้านบาท ก่อนยุบสภาไม่กี่วัน การเบิกจ่ายงบประมาณการปราบปรามคนเสื้อแดงที่ทหารผู้น้อยบ่นว่าผู้ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ไม่กี่คน และโครงการอื่นๆที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เป็นผู้อนุมัติ จะต้องยกเลิกโครงการที่เห็นว่าเอารัดเอาเปรียบประชาชน มีการคอรับชั่นกันแบบมโหราฬ และจะต้องนำผู้กระทำผิดเหล่านั้นมาลงโทษ ให้ติดคุก ติดตะราง ใช้หนี้ ใช้กรรมที่คนเหล่านั้นทำไว้แก่ประเทศชาติ
ข้อที่ 10. เร่งเปิดเผยความจริงในการสั่งฆ่าคนเสื้อแดง 93 คน ที่ออกมาเรียกร้องหาประชาธิปไตย และเร่งดำเนินคดี เอาผิดตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการปราบปรามทั้งหมด ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว
ข้อที่ 11. เร่งปรับปรุง แก้ไข ให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านให้ได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยถูกเพื่อนบ้านแซงขึ้นหน้าไปทีละประเทศ รีบเร่งให้สัมปทานแก่เอกชนที่ต้องการสร้างคาสิโนและแหล่งบันเทิง ซึ่งรวมไปถึงสตูดิโอแบบ Universal Studio ที่มีเครื่องเล่นแบบไฮเทค และมีโรงแรมหรูระดับ 6 ดาว คอยบริการแก่นักท่องเที่ยวและนักพนันระดับเศรษฐี แบบเดียวกับมาเก๊าและสิงคโปร์ คาสิโนที่ถูกกฏหมายเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการกีดกันไม่ให้คนไทยนำเม็ดเงินจำนวนแสนๆล้านบาทในแต่ละปีไปถลุงให้แก่เพื่อนบ้าน คาสิโนเหล่านี้ยังจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้นักพนันกระเป๋าหนักชาวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทย และนำเงินมาทิ้งไว้ในเมืองไทย แถมบ่อนเถื่อนที่มีอยู่ทั่วทุกแห่งในกทม.และต่างจังหวัด ที่มีเหล่ามาเฟียทหารและตำรวจคอยคุม จะได้หมดไปจากประเทศไทยเสียที  โครงการ Mega Projects เหล่านี้ จะไม่เพียงเป็นแหล่งสร้างงานและเงินให้แก่คนไทยเท่านั้น เมืองไทยและคนไทยจะได้ผลประโยชน์มหาศาลจากโครงการใหญ่ๆเหล่านี้

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ไก่อูยังเป็นโรคหลบวูบตามนาย...แล้วผู้ว่าฯ ผู้การ จะทำฉันใด!?

ข่าวเจาะลึก

บทวิเคราะห์ จาก RED POWER ฉบับที่ 18 ปักหลัง สิงหาคม 2554



พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำท่าขึงขังไม่ยอมให้ ยิ่งลักษณ์ เข้าพบแต่เมื่ออำนาจเริ่มลงตัวบิ๊กเหล่ก็ทำท่าหลบวูบเมื่อเจอเพียงแค่เงาของ ยิ่งลักษณ์ ด้วยถ้อยคำลิ้นกระดาษทรายน้ำลายแลคเก้อ เพราะทุกครั้งที่ตวัดลิ้นถูกตัว ยิ่งลักษณ์ จะเกิดภาวะชักเงามันแพล็บเช่นคำว่า ท่านพูดก็ดูดี พูดจาอะไรก็เป็นหลักฐาน ต้องรอให้ท่านทำงานและท่านคงเรียกตนไปชี้แจง (ไทยรัฐออนไลน์ 9 ส.ค. 54 )

ทำไมคุณเหล่ต้องเลี้ยวหักมุมคารวะ ยิ่งลักษณ์ มากขนาดนั้นจะบอกว่าเป็นเรื่องอำนาจอย่างเดียวคงไม่ได้ เมื่อมาดูการวางตัวรัฐมนตรีสายอำนาจในแวดวงบู๊ลิ้มก็รู้ว่ามีการประนีประนอมอำนาจเบื้องบนในระดับหนึ่งที่ทำให้บิ๊กเหล่ต้องปรับตัว เช่น รัฐมนตรีกลาโหมที่ชื่อ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ก็รู้ทันทีว่าได้รับสัญญาณจากใคร และยิ่งรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงที่ชื่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ที่รับใช้ใกล้ชิดสมเด็จย่าเมื่อครั้งยังทรงมีพระชนม์ชีพ ซึ่งในแวดวงบู๊ลิ้มรู้กันว่าหมายถึงอะไร เพราะเมื่อครั้ง ทักษิณ แต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทักษิณ ก็เคยได้รับคำขอบใจจากใครบางคนที่ทำให้ ทักษิณ เกิดกำลังใจและปลาบปลื้ม ซึ่งเป็นคนที่บิ๊กเหล่พร่ำสรรเสริญอยู่ทุกวัน

เมื่อเจ้านายใหญ่ยังเป็นอย่างนี้แล้วมีหรือที่พันเอกไก่อูผู้ที่หาคนสรรเสริญยากจะไม่ลู่ตามลมบ้าง ล่าสุดข่าวเจาะลึกในวงการทหารได้รับทราบมาว่า ท่าทีของไก่อูต่อสถานการณ์การเมืองในยุค ยิ่งลักษณ์ ไก่อูกำลังจะแปลงกายเป็นไม้เลื้อยเพราะทันทีที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ได้พบกับทหารคนสนิทของ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็รีบทักทายแสดงตัวทันทีว่า เจอนายบ้างหรือเปล่า ผมเคยเป็นหน้าห้องท่านปลอดประสพตั้ง 3 ปี ฝากความคิดถึงท่านด้วยนะ

คนแวดวงที่รู้จัก พ.อ.สรรเสริญ ต่างแปลกใจโดยเฉพาะคนที่ถูกทักทาย เพราะ พ.อ.สรรเสริญ มีพฤติกรรมคอแข็งกับทหารทุกคนที่รู้จักใกล้ชิดกับสายของ           พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

สายผู้ถือปืนคุมอำนาจยังขนาดนี้ แล้วสายตำรวจที่รองนายกฯชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้รับมอบหมายให้ไปดูแล และมหาดไทยที่ได้ลูกหม้ออย่าง ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ที่ขึ้นเป็นว่าการและรองนายกฯอันดับ 1 จะไม่เกิดโรคหลบวูบกันบ้างหรือ โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดบางจังหวัดในภาคเหนือและภาคอีสาน ที่ทำตัวยิ่งกว่าหัวคะแนนพรรคภูมิใจไทยถึงขนาดลงมาพิจารณาตัวผู้สมัคร ส.ส.ให้พรรคเลยว่าใครเป็นคนเหมาะสมที่จะลงสมัคร และช่วยออกตระเวนหาเสียงให้ในรูปของการบริการประชาชน แต่มีผู้สมัครของบางพรรคการเมืองไปขึ้นเวทีด้วย ในภาคเหนือลองถามผู้ว่าฯเชียงรายชื่อ นายสมชัย หทยะตันติ และถามผู้การ ทรงธรรม อัลภาชน์ ก็พอจะรู้ได้ว่ารายชื่อใครบ้างที่ทำอย่างนั้น,ส่วนภาคอีสานมีใครบ้างก็ลองถามผู้ว่าฯโคราช นายระพี ผ่องบุพกิจ และ พ.ต.ต.เดชา ชวยบุญชุม  บ้างก็จะกระจ่างชัด

 หรือ ถ้าใครรู้ตัวว่าที่ผ่านมาทำบาปทางการเมืองไว้จนชัดเจน ก็รีบสารภาพบาป พระเจ้าจะได้ยกโทษให้


วาทกรรม “ประเทศไทยไม่พร้อมสำหรับ…” กับดักทางความคิดที่อันตราย

โดย : พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ
เครือข่ายพลังลบ http://www.facebook.com/negativenetwork

มีเรื่องเล่าว่าเมื่อสิงคโปร์ ไม่ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซีย ประชาชนในประเทศวิตกกันเป็นอย่างมาก ประเทศเกาะเล็กๆที่ไม่มีแม้กระทั่งน้ำจืดจะอยู่ได้อย่างไร? หลังจากนั้นประชาชนเขาจึงเริ่มนับหนึ่งด้วยความ ไม่พร้อมไปด้วยกัน

ย้อนกลับมาประเทศไทยเคยมีคนบางส่วนบอกว่าไม่ควรเป็นประชาธิปไตย เพราะประชาชน ไม่พร้อมที่จะปกครองตัวเองอำนาจเลยถูกรวมอยู่ในศูนย์กลางและเมื่ออำนาจถูกกระจายไปสู่มือประชาชน กลุ่มคนที่เคยถือครองอำนาจก็บอกว่าประชาชนไม่พร้อมที่จะปกครองตัวเอง ยังไม่ได้รับการศึกษาเรื่องประชาธิปไตย น่าสงสัยว่าก่อนหน้านั้นที่ปกครองด้วยสมบูรณญาสิทธิราชย์นั้น ได้มีการปูพื้นฐานความรู้ให้กับไพร่ (ที่กลายมาเป็นราษฎร) ให้พร้อมกับการปกครองแบบใหม่รึเปล่า หรือเพียงอาศัยคำว่าไม่พร้อมเพื่อจะปกครองกันในระบอบเก่า

หันไปดูรอบๆกรุงเทพฯในเวลานี้หลายๆจุดเพิ่งเริ่มสร้างรถไฟฟ้าระบบรางทั้งบนดินและใต้ดิน ซึ่งเป็นสิ่งที่นานาชาติแนะนำให้ไทยควรลงทุนกับโครงสร้างขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะระบบขนส่งสาธารณะตั้งแต่สมัย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ที่อุตสาหกรรมแซงหน้าภาคการเกษตรในการส่งออกแล้ว แต่ตอนนั้นก็ไม่กล้าลงทุนและรักษาวินัยการคลังด้วยเหตุผล ไม่พร้อมที่จะลงทุนในโครงการขนาดใหญ่

นั่งฟังส.ส.พรรคภูมิใจไทยคนหนึ่งอภิปรายว่าไม่ควรแจก แท็บเล็ต พีซี ให้กับเด็กกลัวเด็กจะเอาไปเล่นการพนัน เด็กไม่พร้อมที่จะดูแลตัวเองขอถามว่าก่อนที่จะมีแท็บเล็ต ในสมัยเด็กๆใครบ้างไม่เคยเล่นไพ่ เล่นปั่นแปะ เล่นทอยเส้น หรือ จับสลาก แทนที่จะคิดว่าเราจะให้ความรู้ควบคู่กับการแจกแท็บเล็ตได้อย่างไร?

เปลี่ยนช่องไปก็เจอนักวิชาการพูดว่า เรา ไม่พร้อมที่จะยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันซึ่งผมก็เห็นด้วยกับการที่จะงดการเก็บ เพราะเวลาเราเก็บแล้วไปอุ้มตอนน้ำมันแพง แล้วเราใช้น้ำมันถูกกว่าความเป็นจริงเราก้มยังคงก้มหน้าตะบี้ตะบันใช้ แทนที่จะเอาเงินที่อุดหนุนไปส่งเสริมการวิจัยพลังงานทดแทนหรือมีความชัดเจนด้านนโยบายพลังงานว่าจะส่งเสิรมอะไรกันแน่เปลี่ยนไปเปลี่ยน เอทานอล ไบโอดีเซล ฯลฯ

กลุ่มนายจ้างรวมตัวกันบอกว่า ไม่พร้อมที่จะขึ้นค่าแรง 300 บาทเพราะว่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิตและจะทำให้นักลงทุนไทยตาย ซึ่งถ้าหากมองย้อนกลับไปไทยเริ่มแข่งขันในตลาดโลกด้วยการส่งออกปี 2518 ตามคำแนะนำของ โรเบิร์ต แมคนามาร่า จากธนาคารโลกโดยให้มุ่งเน้นการส่งออก พร้อมกับอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เราแข่งด้วยการกดค่าแรงกับเขา จนตอนนี้เขาไปสร้างนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่มทางสินค้าจนตอนนี้เราไปแข่งกับ เวียดนาม ถามว่าเราจะพร้อมแข่งเรื่องประสิทธิภาพการผลิตเมื่อไหร่? แล้วจะกดค่าแรงไปถึงไหน?

รัฐวิสาหกิจเช่น การรถไฟ และ ขสมก. ก็บอกว่าหน้าที่ของพวกเขาคือต้องแบกรับความขาดทุนเพื่อที่ประชาชนจะได้สบาย เพราะ “ประชาชนไม่พร้อมที่จะเสียเงินแพงดังนั้นต้องให้สหภาพดูแลผลประโยชน์ แต่สิ่งที่ไม่เคยบอก เช่น ที่ดินรถไฟทำกำไรไปมากมายเงินไปไหน? ทำไมระบบขนส่งมวลชนในประเทศอื่นเขาถึงบริหารได้กำไรได้ แล้วทำไมเราถึงบริหารขาดทุน? หรือ จริงๆเงินที่ไปชดเชยการขาดทุนก็มาจากภาษีประชาชนที่รัฐจ่ายเคยบอกกันไหม?

กระทรวงวัฒนธรรม บอกว่าประเทศไทยนั้นยัง ไม่พร้อมที่จะรับวัฒนธรรมที่เปิดกว้างดังนั้นจึงควรอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีงาม เราลืมไปหรือเปล่าว่าเรื่องลามกทะลึ่งหยาบโลน มีอยู่ในศิลปะเพลงพื้นบ้านของไทยมาช้านาน เราหลับตาข้างหนึ่งรึเปล่าที่ไม่รับรู้ว่า เรื่องกระเทย เรื่องตำรวจคอร์รัปชั่น เรื่องท้องก่อนวัยอันควร เรื่องโสเภณี เรื่องพระทำผิดศีล มีอยู่จริงในสังคมไทย? เราเลยพร้อมใจรับไม่ได้ที่มันถูกสะท้อนออกมาในศิลปะ กรอบศีลธรรมอันดีงามแท้จริงเราก้าวพ้นศิลปะแบบวัดๆวังๆ ซึ่งเป็นของประชาชนกลุ่มน้อยนิดในสังคมที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านหรือยัง? เราจึงได้แต่ดูหนังวนเวียนเรื่อง วีรกรรมบูรพกษัตริย์ และ คนๆโขนๆ

เรายังคงเป็นเมืองกึ่งพุทธกึ่งผีกึ่งพราหมณ์ และเราก็ยังหลงเชื่อว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ เราตามอ่านทวิตเตอร์ของพระเซเลบฯ ไปปฏิบัติธรรมกับแม่ชีเซเลบฯ(ที่เปิดตัวเครื่องสำอางค์ในสำนักปฏิบัติธรรม) เพราะใครๆเขาก็ทำกันและทำแล้วรู้สึกดี แต่เราลืมไปว่าการนั่งสมาธิหรือการตามอ่านทวิตเตอร์พระแล้วคิดว่าเป็นการทำดี ซึ่งเรายังแยกกันไม่ออกว่าการทำดี กับการเจริญสมาธิเป็นคนละส่วนกัน โดย ไม่พร้อมที่จะตั้งคำถามถึงความถูกต้องของหลักคำสอนที่ถูกบอกต่อๆนั้น มันก็ขัดกับหลักกาลามสูตร เป็นเมืองพุทธที่ยังกราบหมาสามขา วัวสองหัว โอ้!ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ประเทศไทย อาจยังไม่พร้อมสำหรับเทคโนโลยี 3G” เมื่อโครงข่ายแพร่หลายข้อมูลถูกส่งผ่านได้อย่างรวดเร็ว รัฐไม่สามารถสกัดกั้นเนื้อหาที่ต้องการปิดกั้นได้หมด หรือแม้กระทั่งเรื่องการสัมปทาน ประเทศ ยังไม่พร้อมกับการแข่งขันเสรีที่โปร่งใสเลยยังต้องนิยมกับการสัมปทานผูกขาดแบบเสือนอนกิน ของ TOT และ CAT ต่อไป เพราะทั้งสองเจ้าอยากจะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ หรือ เป็นห่วงขุมทรัพย์มหาศาลกันรึ?

ประชาชนบางส่วนก็ดูเหมือนจะ ไม่พร้อมจะรับผิดชอบทางการเมืองเหมือนว่าพอเลือกตั้งเสร็จหน้าที่ของเราก็จบแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ก็แล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง ไม่พร้อมจะติดตามนโยบาย ตรวจสอบ และมีส่วนร่วมทางการเมือง เอ้า!!ก็ไทยนี่มันรักสงบนี่นา อยู่เฉยๆสบายกว่ากันเยอะ พอนักการเมืองทำอะไรไม่ดีไม่ถูกใจ เราก็ได้แต่บ่นกันว่า นักการเมืองเลว

ความไม่พร้อมทำให้เราต้องวิ่งหา ผู้ใหญ่ใจดีและยกอำนาจในการตัดสินใจให้กับเขาเชื่อฟังโดยว่าง่าย ห้ามเถียง ห้ามสงสัยในความหวังดีของท่าน เราจะเติบโตกันอย่างไร หากไม่พร้อมที่จะเสี่ยงอะไรเลย ไม่พร้อมแม้จะตั้งคำถามกับสิ่งรอบๆตัว แล้วมีคนคิดแทนให้หมดทุกเรื่องได้หรือ?

แทนที่เราจะเป็นเหมือนเด็กหัดขี่จักรยาน ที่แรกเริ่มก็ต้องมีการล้มลุกคลุกคลาน หัดแล้วหัดอีก ผู้ใหญ่ก็แทนที่จะให้กำลังใจและประคับประคอง แต่กับซ้ำเติมแล้วก็พร่ำบ่นว่า เห็นไหมผมอาบน้ำร้อนมาก่อนคุณ

ไม่มีใครเกิดมาดีพร้อมคำนี้เห็นจะจริงแต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เรากล้าที่จะออกตัวหรือไม่? บางครั้งก็แอบตั้งคำถามว่า เราจะเข้าเส้นชัยได้อย่างไร โดยที่ไม่ได้ออกตัว?” มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขอไว้อาลัยแก่ประเทศที่ไม่เคยพร้อมอะไร แต่ทรนงตัวว่าเราจะเป็นผู้นำ คนไทยตั้งใจทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก(ถ้าเราพร้อม!!) หรือสิ่งเดียวที่เราไม่พร้อมก็คือ
 เราไม่พร้อมที่จะรับความจริงกันแน่!!

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"ถ้าทำได้ไม่ดี ก็อย่าทำให้มันแย่ลง" ทางออกแก้ "วิกฤต" แบบ "ตัน ภาสกรนที"

คอลัมน์ ออกแบบประเทศไทย

หน้า 11,มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2554

"ประเทศไม่ใช่บริษัท ประชาชนไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นจริงๆ ต้องอาศัยทุกคนร่วมกัน บริษัทจะอยู่ได้ก็ต้องรวมเป็นหนึ่ง แต่ถ้าทุกคนเอาคนละนิด บริษัทก็ล้ม ยิ่งประเทศไทยยิ่งลำบาก ถ้าทุกคนต้องพึ่งเงินของรัฐบาลเท่าไหร่ก็ไม่พอ กลับกันถ้าทุกคนช่วยกันคนละนิดคนละหน่อย ประเทศก็ไปได้"
ตัน ภาสกรนที หรือ "เสี่ยตัน" ผู้ก่อตั้ง "บริษัท ไม่ตัน จำกัด" หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันดีในนาม "เจ้าพ่อชาเขียว"

ด้วยความเป็นคนที่มีบุคลิกไม่เหมือนใคร เขาได้ดีไซน์ภาพลักษณ์ของตัวเองให้โดดเด่นด้วยการสวมหมวก จนมีคนพูดกันว่า "ตันตัวจริงต้องสวมหมวก"

ผู้ที่มักจะทำเรื่องธรรมดาให้กลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาได้อยู่เสมอ กับไอเดียสุดบรรเจิด ที่ทำให้คนไทยหันมาตื่นตัวกับกระแสอาหารญี่ปุ่นและเครื่องดื่มชาเขียว

เสี่ยตัน ยังทุ่มงบกว่า 30-40 ล้านบาท เปิดธุรกิจอาหารญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ "ราเมนแชมป์เปี้ยน" ศูนย์รวมร้านราเมนสุดฮิต ที่มีรางวัลการันตีความอร่อยจากทีวีแชมป์เปี้ยน ที่ส่งตรงมาไกลจากแดนปลาดิบ

ก่อนหน้านี้ไม่นานเขายังได้กระโดดไปจับงาน
"เดี่ยวไมโครโฟน" จนประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น

"เสี่ยตัน" จึงไม่รอช้าที่จะเปิดฉากเอ่ยถึง "วิกฤตประเทศไทย" ที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 7 ปี คือตั้งแต่ปี 2547-2554 จนดูเหมือนว่าจะไร้ซึ่งทางออก

เขามองทะลุปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสังคมไทย แล้วยืนยันว่า "หนทางในการแก้ไขปัญหาคือ คนไทยทุกคนต้องยอมรับในกติกาความเป็นประชาธิปไตย ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามมตินั้น"
เขาบอกว่า หากการเลือกตั้ง มีผลสรุปออกมาแล้ว แม้ไม่ได้ดั่งใจ ผลยังไม่ดี ไม่เป็นไปตามที่ได้โฆษณา หาเสียง หรือแถลงนโยบายไว้ คราวหน้าก็ไม่ต้องไปเลือกเขา
"ประชาธิปไตยไม่ได้แปลว่าต้องเห็นด้วยหมดทุกคน หรือคิดเหมือนกันหมด ความคิดที่แตกต่างสองฝ่ายคือสิ่งที่จะทำให้ประเทศเจริญ และทำให้สังคมดีขึ้น ถ้าคิดแบบเดียวกัน จะให้ฮั้วกันเหรอ ถ้าคิดไม่แตกต่าง ประเทศไทยคงไม่เหลืออะไรแล้ว"
ด้วยความที่เป็นคนที่คิดที่ไม่เหมือนใคร "เสี่ยตัน" ได้เปรียบประชากรทั้ง 64 ล้านคน เป็นเข็มนาฬิกา สามเข็ม โดยสมมุติให้

"นายกรัฐมนตรี" เป็น "เข็มชั่วโมง"
"รัฐมนตรี" เป็น "เข็มนาที" และ
"ประชาชน" หรือ "ข้าราชการ" เป็น "เข็มวินาที"

ทุก "เข็ม" มีขนาดสั้นยาวต่างกัน ก็มีบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกัน

เพียงแต่ทุก "เข็ม" ที่ต่างกันนั้น มีภาระที่จะต้องแสดงบทบาทของตัวเองให้เต็มที่อย่างดีที่สุด

จึงจะทำให้ "สังคม" ทั้ง "สังคม" สามารถเดินไปได้

"การทำหน้าที่ยังเปรียบได้กับตัวละคร พระเอก และนางเอก เราก็แสดงบทบาทตามนั้น ไม่ใช่วันหนึ่งเราต้องลงจากบทบาทพระเอก นางเอกแล้วเรายังจะแสดงบทบาทนั้นอยู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องตามธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นความโหดร้ายอะไร...

"..แต่ต้องอย่าไปยึดติดว่า เราเป็นคนกำหนด เราต้องเป็นคนสั่งการ ต้องเป็นไปตามความคิดของเราเท่านั้น ที่สำคัญคืออย่าทำหน้าที่ข้ามกัน แนะนำกันได้ ติกันได้ แต่อย่าทะเลาะกัน ติเพื่อสร้างสรรค์ บางคนทำหน้าที่เยอะจนเกินไป จนไม่รู้จะไปยังไง" เสี่ยตันขยายความ

วิกฤตการณ์ทางการเมืองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บาดลึกซึมเข้าไปถึงเนื้อในของสังคมไทย จนทำให้ประชาชนแตกแยกออกเป็นฝักฝ่าย ถึงขั้นอาฆาตกัน เอาเป็นเอาตายไปข้างหนึ่ง

ผู้คิดค้นสูตร "น้ำผลไม้สองชนิดในขวดเดียว" อย่าง "Double Drink" วาดฝันอย่างยิ่ง ว่าอยากจะเห็นการเมืองเป็นเหมือน "ต้นไผ่" ที่เมื่อ แตกกออ่อน เบียดเสียดยัดเยียดแย่งกันเติบโตและแข็งแรงในท้ายที่สุด

จากไผ่ลำเล็กๆ กลายเป็น "ต้นไผ่" ที่ทนแรงปะทะจาก "พายุ" ได้
"เชื่อไหมว่าต้นไม้ใหญ่ๆ ล้ม ได้เมื่อเจอกับพายุลมแรง แต่ต้นไผ่ไม่ล้มนะ เพราะมันอยู่กันเป็นกลุ่มสามัคคีกัน แข่งกัน แต่ไม่ฆ่ากัน" เสี่ยตัน ให้แง่คิดสำคัญ

เมื่อปัญหาเกิดจากการเมือง "เขา" จึงอยากให้ "นักการเมือง" ผู้เป็นกลุ่มคนที่มีส่วนในปัญหามากที่สุด หันมาประยุกต์ใช้ "ทฤษฎี 20:80"

คือจากเดิมที่ "นักการเมือง" ใช้เวลา "80 เปอร์เซ็นต์" จาก "100 เปอร์เซ็นต์" ไปกับการทะเลาะเบาะแว้งกันเอง จนเหลือเพียง "20 เปอร์เซ็นต์" เท่านั้นเป็นเวลาของการทำงาน

กลับมาใช้เวลา "80 เปอร์เซ็นต์" ไปทำงาน แล้วเวลาส่วนที่เหลืออีก "20 เปอร์เซ็นต์" มานั่งพูดคุยหารือข้อคิดเห็นที่แตกต่างกัน

"อย่าไปเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์ เป็นไปไม่ได้ที่องค์กรไหนหรือบริษัทไหนไม่มีการโต้เถียงกัน กับความเห็นที่ไม่ตรงกัน คุยกันแล้วก็ต้องไปด้วยกันได้ ทุกวันนี้บางครั้ง ฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเองก็ยังเถียงกันเอง ขัดขากันเอง ก็ไม่มีเวลาที่จะทำอะไรให้เดินไปข้างหน้า ... ที่ผ่านมาเราเห็นสิ่งที่ตรงข้ามกับคนดีเยอะ ซึ่งก็เป็นที่มาของการที่เราเห็นว่าคนดีๆ เข้าไปทำงานการเมืองน้อยมาก พอคนดีๆ เข้าไปก็กลายเป็นคนไม่ค่อยดีเท่าไร ซึ่งคนดีๆ ก็มีน้อยอยู่แล้ว สังคมเราต้องการตัวอย่างที่ดี ก็หวังเล็กๆ ว่าสักวันหนึ่งจะมีตัวอย่างเล็กๆ ให้คนรุ่นหลัง ได้ดูเป็นแบบอย่าง" เขาพูดพรางถอนหายใจ

เสี่ยตันขยายความต่อว่า
"ทัศนคติของนักการเมืองต้องเปลี่ยนไปเลย จากที่การเมืองเป็นการเมืองแบบสนามรบ เอาเป็นเอาตายกันจริงๆ ก็ต้องเปลี่ยนเป็น การเมืองควรจะเป็นแค่กีฬา ลงไปทำงานเหมือนไปแข่งกัน ใครชนะก็รับถ้วยไป แต่แพ้แล้วก็เป็นเพื่อนกันได้ แล้วเที่ยวหน้าก็ผลัดกัน อย่างที่เขาพูดกันว่า ชนะเคยแพ้ แพ้เคยชนะ...

... คำที่ว่า ถ้าเราไม่ชนะเราไม่เลิก คำพูดนี้ฟังแล้วมันเกิดคำถามขึ้นในใจว่า มีครั้งไหนที่คุณได้ชัยชนะอย่างแท้จริง หากผลัดกัน...คุณชนะ คุณก็ชนะแค่ชั่วคราวเท่านั้น ผลัดกันสู้กันไปมา ความเสียหายก็เกิดขึ้นกับประเทศและประชาชน มันต้องต่างคนต่างยอมแพ้ มันถึงจะเป็นชัยชนะที่แท้จริง"
เสี่ยตันบอกว่า หากจะทำให้ การเมือง 2 ขั้ว มาอยู่ร่วมกันได้อย่างดี เหมือน "Double Drink" สามารถรวมน้ำผลไม้และสมุนไพร 2 ชนิด

เข้าด้วยกันได้นั้น เป็นสิ่งที่ "พูดง่ายแต่ทำยาก" เพราะมองไม่เห็นว่าจะทำอย่างไรให้รวมเป็นหนึ่งได้

แต่หากจะต้องทำจริง ก็ควรเริ่มจาก "ผู้นำประเทศ", "ผู้นำนักการเมือง", "ผู้นำชุมชน" ที่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีก่อน

เขาบอกว่า "ดี" คือจุดเริ่มต้นของ "ไม่ดี" และ "ไม่ดี" คือจุดเริ่มต้นของ "ดี"

แม้ "รัฐบาลพรรคเดียว" ที่มี "จุดแข็ง" คือการครองคะแนนเสียงข้างมาก "377 เสียง" ในอดีต ก็กลายเป็น "จุดอ่อน" ด้วยเช่นกัน

"การได้คะแนนเยอะเลยรู้สึกว่าเบ็ดเสร็จ เมื่อประชาชนให้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็จะทำให้คิดเลยเถิด มันก็กลายเป็นว่าการประนีประนอม การปรองดองกันอาจจะไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ถ้าเขารู้สึกว่าเขาไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น แต่ถ้าต้องพึ่งพาคนอื่นก็ต้องยอมรับในการให้เกียรติกัน...
... ทุกอย่างมันมีดีมีเสีย ค่าแรง 300 บาท กับเงินเดือนปริญญาตรีจบใหม่ 15,000 บาท ผมก็เห็นด้วย ซึ่งจะว่าไปเงินเดือนแค่ 9,000 บาท ใครจะอยู่ได้ ยังไงก็อยู่ไม่ได้ สุดท้ายธุรกิจเองก็อยู่ไม่ได้" เสี่ยตัน ยกตัวอย่าง

เขามองว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งคือ "การศึกษา" เพราะถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศด้อยการศึกษา โดยหวังแต่จะอาศัยค่าแรงขั้นต่ำ แต่ไม่สามารถเข้าถึงทุนได้ ก็เข้าไม่ถึงโอกาส หวังพึ่งหัวคะแนนพรรคการเมืองก็คงไม่ไหว

"คนที่ฉลาดจะเลือกฟังทั้งสองฝ่าย เรามีสองหู ก็ฟังแดงที เหลืองที เขาสร้างเรามาให้มีสองหูก็ต้องฟังสองข้าง...แล้วทำไมสมองต้องอยู่ตรงกลาง ก็เพราะต้องให้เราค่อยๆ คิด พิจารณา เพราะทุกอย่างมีสองมุมอยู่แล้ว"

"เสี่ยตัน" มองว่า "นายกรัฐมนตรีหญิง" คนใหม่อย่าง
"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เปรียบเหมือน "ประธานบริษัท" ที่มีความถนัดเรื่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วยภาพลักษณ์ของการเป็น "นักธุรกิจ" มาก่อน หากจะเน้นเรื่องของ "ธุรกิจ" เหมือนที่ "รัฐบาลไทยรักไทย" เคยทำมา ก็สามารถทำให้ดีได้ แต่ต้องทำให้ถึงที่สุด

"ประเทศเราอยู่ได้ด้วยเสาเข็มใหญ่ๆ อย่างเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยทรายเม็ดเล็กๆ ด้วย

?ถ้าทุกคนช่วยกันคนละนิด ยังไงก็สามารถพัฒนาประเทศได้ แต่ถ้าทุกคนต้องมาพึ่งประเทศอย่างเดียวมันไปไม่ไหว...มันเหนื่อย...

ยิ่งถ้าไม่มีความขัดแย้ง ป่านนี้ประเทศเดินไปข้างหน้าแล้ว...

แล้ววันนี้ทุกคนก็น่าจะได้รับบทเรียนด้วยกันครบทุกฝ่าย ว่าสุดท้ายไม่มีใครชนะเลย ทุกคนแพ้ด้วยกันทั้งนั้น...

... ประเทศไทยโชคดีมาก มีทุกอย่าง แต่อย่าไปรอนะว่าน้ำมันจะถูกหรือของจะถูก เราไม่มีแล้ว ประเทศเรายังมีอะไรอีกเยอะมากมาย ที่คนอื่นไม่มี ทั้งทรัพยากร แหล่งท่องเที่ยว และรอยยิ้ม แต่เราก็มีอีกอย่างที่คนอื่นไม่มีคือ ชอบขัดแย้งกันเอง

ทางออกเดียวที่จะทำให้ประเทศไม่ถึงทางตัน คือ ทุกคนต้องรวมเป็นหนึ่ง แล้วถ้าเราทำอะไรให้ดีขึ้นไม่ได้ ก็อย่าไปทำให้มันแย่ลงเลย" เขาทิ้งท้ายไว้ อย่างน่าคิด...

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

“สมยศ” ร่อนจดหมาย หวังนักสิทธิ-นักสหภาพฯ ทั่วโลก จี้ไทยปล่อยนักโทษการเมือง

จาก web ประชาไท



25 ส.ค. 54 – กลุ่มนักกิจกรรมได้เปิดเผยจดหมายของ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ถูกคุมขังไว้มาตั้งแต่ วันที่ 30 เมษายน 2554 เป็นต้นมา โดยในจดหมายระบุว่าเป็นการเขียนในวันที่ 20 ส.ค. 54 ซึ่งสมยศมีความคาดหวังว่านักสิทธิมนุษยชนและนักสหภาพแรงงานทั่วโลก จะได้ร่วมกันเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองเป็นผลสำเร็จซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่สังคมประชาธิปไตยต่อไป

 
วันที่ 20 สิงหาคม 2554
 
      ผมถูกจองจำอยู่ในเรือนจำตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2554 เป็นต้นมาด้วยข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หรือ ละเมิดต่อมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา ผมขอขอบพระคุณทุกท่านทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ได้ร่วมกันแสดงความห่วงใยมาเยี่ยมเยือนที่เรือนจำและได้ร่วมกันเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองในประเทศไทย
 
     ผมได้ต่อสู้เพื่อสิทธิผู้ใช้แรงงานมากว่า 20 ปี เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานรอดพ้นจากความยากจน หิวโดย มีชีวิตความเป็นอยู่สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อาทิเช่น สิทธิการประกันสังคมในปี 2533 สิทธิการลาคลอด 90 วันได้รับค่าจ้าง และสิทธิการทำงานที่ปลอดภัยในปี 2536 สิทธิการได้รับค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง และประกันการว่างงานในปี 2546 สิทธิการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน และการนัดหยุดงานในปี 2548
    
     สิทธิของผู้ใช้แรงงานในด้านต่าง ๆ เกิดจากการต่อสู้ที่เข้มแข็งของขบวนการแรงงาน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ว่าความก้าวหน้าด้านสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้แรงงานได้มาภายใต้การเมืองประชาธิปไตย มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้นมักจะทำลายสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้แรงงาน ตัวอย่างเช่น การรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 ผู้นำแรงงานนายทะนง โพธิ์อ่าน ถูกอุ้มฆ่าตาย มีการยกเลิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งจำกัดสิทธิการเจรจาต่อรองของสหภาพแรงงาน ในขณะที่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีการแก้ไขกฎหมายแรงงานเพื่อให้มีการจ้างงานเหมาค่าแรงขยายตัวมากขึ้น และมักจะกดค่าจ้างให้ต่ำอยู่เสมอ
 
     ดังนั้นเมื่อมีการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เกิดขึ้น ผมจึงไปเข้าร่วมกับขบวนการประชาธิปไตยต่อต้านการรัฐประหาร ด้วยการจัดทำนิตยสารการเมืองวิพากษ์วิจารณ์รัฐประหาร เมื่อประชาชนได้รวมตัวกันเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มีการชุมนุมเดินขบวนหลายครั้งจนกระทั่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้กำลังทหารปราบปรามอย่างป่าเถื่อนในเดือนพฤษภาคม 2553 มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ รัฐบาลได้สั่งปิดนิตยสารแล้วจับกุมผมไปขังไว้ที่ค่ายทหารจังหวัดสระบุรี โดยไม่มีความผิดเป็นเวลา 21 วัน
 
     หลังจากได้รับการปล่อยตัวผมก่อตั้งนิตยสาร Red Power วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลด้านต่าง ๆ ได้เปิดโปงรัฐบาล ซึ่งให้สัญญาจะเพิ่มค่าจ้างขึ้นต่ำวันละ 250 บาทเท่ากันทั่วประเทศในเดือนสิงหาคม 2553 แต่ไม่ได้ทำตามสัญญาดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้เปิดโปงเบื้องหลังการสั่งฆ่าประชาชน 91 ศพ ในเดือนตุลาคม 2553 รัฐบาลสั่งปิดโรงพิมพ์ที่รับจ้างพิมพ์งานให้กับ Red Power ทำให้ผมต้องไปทำการผลิตที่ประเทศกัมพูชา
 
     นับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา มีประชาชนทุกสาขาอาชีพ อาทิเช่น นักวิชาการ นักการเมือง นักกิจกรรมแรงงาน นักศึกษา นักเคลื่อนไหวประชาธิปไตย ฯลฯ ต้องกลายเป็นนักโทษการเมืองในคดี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หลายคนถูกซ้อมทุบตีในเรือนจำ หลายคนต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวชาวต่างประเทศหลายคนต้องถูกเนรเทศออกไปจากประเทศไทย
มีนักกิจกรรมแรงงาน 3 คนด้วยกันซึ่งถูกกล่าวหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพคือ อาจารย์ใจ อึ้งภากรณ์ และภรรยา ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่อังกฤษ นางสาวจรรยา ยิ้มประเสริฐ หัวหน้าโครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย (Thai Labour Compaign) ไม่สามารถเดินทางกลับมาประเทศไทยได้อีกต่อไปอีกต่อไป นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตผู้อำนวยการศูนย์บริการข้อมูลและฝึกอบรมแรงงาน (Center for Labour Information Service and Training)
 
     ประชาชนคนไทยถูกปลูกฝังให้ยอมรับสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบการปกครองประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” โดยที่ใครก็ตามที่มีความเห็นแตกต่างไปจากนี้ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ
ผมเป็นเพียงสื่อมวลชนที่เป็นเวทีความคิดอิสระที่ทุกคน ทุกฝ่าย มีสิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง หรือกระทั่งมีความใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ที่แตกต่างไปจากสังคมปัจจุบัน แต่ผลลัพธ์ก็คือ ผมถูกดำเนินคดีในข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หรือกระทำความผิดตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา
กฎหมายดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และเป็นเครื่องมือในการปราบปรามประชาชน นอกจากนี้ผู้ถูกกล่าวหาในคดีดังกล่าวยังไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวอีกด้วย อันเป็นการละเมิดต่อหลักปฏิญาณสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
 
     การถูกคุมขังเป็นนักโทษการเมือง สูญเสียอิสรภาพในทุกด้าน ทำให้ชีวิตของผมเหมือนกับ “สัตว์เลี้ยงในกรงขัง” ผมได้รับความเจ็บปวดทุกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง นักโทษการเมืองคนอื่น ๆ หลายคนสูญเสียชีวิตครอบครัวและอาชีพการงานไปอย่างน่าเสียดาย
 
     ผมได้รับทราบข่าวจากผู้มาเยี่ยมเยียนว่าเพื่อน ๆ นักสิทธิมนุษยชนและนักสหภาพแรงงานทั่วโลกได้ร่วมกันประท้วงต่อรัฐบาลไทยเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษการเมือง จึงเป็นการเคลื่อนไหวที่มีคุณค่าความหมายของประชาชนคนไทย และประชาชาติทั่วโลกเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันของสังคมสันติสุข ที่มีความเสมอภาค มีสิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตยที่แท้จริง
 
     ผมเชื่อมั่นอย่างเต็มที่เปี่ยมว่าพลังแห่งความร่วมมือและการสมานฉันท์สากลของสหภาพแรงงานและผู้รักความเป็นธรรมทั่วโลกจะได้ร่วมกันเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองเป็นผลสำเร็จซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่สังคมประชาธิปไตยต่อไป
 
ด้วยจิตใจสมานฉันท์
(นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข)

บทละครข่มขู่การจัด ค.ร.ม. รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 300 เสียง ก็ไม่มีเสถียรภาพ

โดย นายทหารเอก กรุงธน
บทวิเคราะห์ จาก RED POWER ฉบับที่ 18 ปักหลัง สิงหาคม 2554



รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 ได้จัดตั้งคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้วของคืนวันที่ 9 สิงหาคม 2554  ด้วยความฉงนงุนงงว่าไม่มีเงาของแกนนำเสื้อแดงแม้แต่คนเดียว อะไรทำให้เกิดภาวการณ์เช่นนี้?

มองย้อนหลังกลับไปเพียงเดือนเดียวก็ตาสว่างเห็นความจริงแห่งโครงสร้างอำนาจการเมืองไทย

          ภาวะคลุกคลักก่อนที่ ก.ก.ต.จะรับรอง ยิ่งลักษณ์ และแกนนำ นปช.ทำให้หลายคนใจหายใจคว่ำ เป็นภาวะแห่งการทำใจไม่ได้ของบุคคลบางคนที่สะท้อนออกให้เห็นชัดเจนว่า ประเทศไทยขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ของบุคคลที่มีฐานะเป็นเอกชน มิใช่ขับเคลื่อนด้วยระบบของระบอบอำนาจแห่งมหาชน

          บทบาทของ ก.ก.ต. ที่จะเอาเป็นเอาตายกับยิ่งลักษณ์ เพราะ ผัดหมี่โคราชและจะเอาเป็นเอาตายกับแกนนำ นปช.โดยเฉพาะกับ จตุพร พรหมพันธุ์ ทั้งที่หาความผิดไม่ได้ เนื้อแท้เป็นเพียงบทละครที่ส่งสัญญาณให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และยิ่งลักษณ์ รู้ถึงความยุ่งยากและมีผลต่อการเลือกเฟ้นและคัดออกของสีสันคนเสื้อแดงในคณะรัฐมนตรีโดยเจือสีเข้มข้นด้วยคนของอำมาตย์สายตรงเข้ามากุมกองกำลังและความมั่นคง

           เล่นละครได้ผลจริงๆ
           ละครปิดท้ายก่อนตั้งนายกรัฐมนตรี ด้วยอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงแต่ส่งผลจริง คือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ยังเป็นนายกฯไม่ได้ในเย็นของวันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม หลังจากสภายกมือไว้วางใจด้วยเสียง 296 เสียง
          โผ ค.ร.ม. จึงต้องเปลี่ยนอีกครั้งชื่อ พ.อ.อภิวันท์ – ณัฐวุฒิ จตุพร  3 เกลอแดงใน ค.ร.ม.ก็หายไป
            เห็นฤทธิ์เดชบทละครที่เนียนยิ่งของระบอบการเมืองไทยหรือยัง?
          มองอีกด้านหนึ่งของบทละครจึงเกิดอาการตาสว่างว่าเนื้อแท้ของระบอบปกครองของไทยวันนี้ คือ ระบอบเผด็จการแบบไทยๆ (ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ) ที่ใช้เครือข่ายอำนาจแห่งระเบียบและขั้นตอนของระบบราชการเบี่ยงเบนอำนาจของประชาชนได้จนนาทีสุดท้าย
         
นี้คือสิ่งที่เรียกว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ
หากมองเชิงโครงสร้างนี้คืออำนาจนอกระบบที่ฝังตัวเป็นแก่นกลางของระบบที่ใครๆก็เชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย

          ระบอบเผด็จการแบบไทยๆ กำลังวิตกกังวลว่าอำนาจของตนกำลังจะพังทลายจึงเกิดภาวะความถี่กระชั้นของการใช้อำนาจมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้ระบอบเผด็จการที่เคลือบด้วยความหวานของรูปแบบประชาธิปไตยที่หลอกลวงมายาวนานถูกหลอมละลายออกจนเห็นเนื้อแท้และแม้จะมีการเลือกตั้ง แต่ก็แสดงออกถึงการแทรกแซงอำนาจของประชาชนอย่างน่าเกลียดน่าชัง

          ระบบการเมืองไทยวันนี้จึงมีลักษณะของ 10 ล้อโมเดล กล่าวคือ หากรถ 10 ล้อไม่จ่ายส่วยทางหลวงก็จะถูกตำรวจทางหลวงเรียกตรวจตลอดทางด้วย เพราะระบบกฎหมายจุ๊กๆจิ๊กๆที่เปิดโอกาสให้อำนาจตำรวจเล่นงานตรวจสอบได้ตลอดเวลาด้วยข้ออ้างเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน

          ระบบการเมืองไทยวันนี้กำลังเสริมสร้างอำนาจให้แก่ระบบราชการที่ไม่ต่างอะไรกับตำรวจทางหลวง โดยใช้อำนาจองค์กรอิสระและระบบราชการเข้าควบคุมอำนาจของประชาชนด้วยเหตุผลคล้ายกัน คือ เพื่อให้เกิดคุณธรรมเพื่อความปลอดภัยในสภาโดยเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจุ๊กๆจิ๊กๆไม่ต่างอะไรจากกฎหมายจราจรเพื่อเปิดโอกาสให้แก่ระบบข้าราชการประจำจับผิดพรรคการเมืองและนักการเมืองได้ตลอดเวลา พรรคการเมืองจึงไม่ต่างอะไรกับรถ 10 ล้อ

          ที่หนักหนาสาหัสที่สุดและอันตรายที่สุด คือ เขียนรัฐธรรมนูญโดยให้ศาลเป็นผู้มีอำนาจในการตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้มาควบคุมรัฐบาล และออกกฎหมายเองได้และมีอำนาจยุบพรรคตัดสิทธิ์ ส.ส. ได้

ระบบการเมืองไทยวันนี้จึงถูกสร้างให้มีองค์กรอิสระมากมายไม่ใช่เฉพาะ ก.ก.ต. หรือ ปปช. หากแต่องค์กรเจ้าหน้าที่ ต่างๆทั้งทหาร ตำรวจ อัยการ รัฐวิสาหกิจและองค์กรมหาชนก็ที่มีฐานะเป็นองค์กรอิสระที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือนัยหนึ่งคือฝ่ายอำมาตย์ได้ออกแบบโครงสร้างอำนาจให้องค์กรต่างๆมีฐานะแอบแฝงเป็นองค์กรนอกเหนืออำนาจของประชาชนโดยให้ขึ้นตรงต่ออำนาจของมือมองไม่เห็นเอาไว้ควบคุมพรรคการเมืองและนักการเมือง

          ดังนั้นระบอบการปกครองของไทยวันนี้เรียกให้ถูกต้อง ต้องเรียกว่าระบอบเผด็จการแบบไทยๆโดยมือมองไม่เห็นใช้การกล่าวอ้างทางคุณธรรม ทางศาสนา เข้าควบคุมกลไกรัฐทั้งหมดและรวมทั้งกลไกมหาวิทยาลัยอันเป็นแหล่งวิชาการอิสระด้วย

          แม้ควบคุมถึงขนาดนี้แต่มติมหาชนก็ยังรวมตัวแหวกวงล้อมมอบอำนาจให้แก่    คุณยิ่งลักษณ์ ที่ขัดหูขัดตาใครบางคนเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่สุดท้ายของสุดท้ายก่อนเข้าสู่ประตูอำนาจ คุณยิ่งลักษณ์ ยังถูกรีดน้ำหนักออกอีกหลายกิโล

          ภาวะวิบัติแห่งระบอบรัฐจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงยาก
            ภาวะนอกหลักเกณฑ์ประชาธิปไตยที่ใครๆ ในโลกก็ไม่เคยเห็น ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์มีเสียงข้างมากถึง 300 เสียงแต่กลับจะเป็นรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพ

คอยดูเถอะ เพราะอดีตของรัฐบาลทักษิณ 377 เสียง ก็ยังไปไม่รอด.
          ต่อให้ คุณยิ่งลักษณ์ ตั้งคณะรัฐมนตรี ดรีมทีมหรือสลีปทีม  อย่างไรก็ไปไม่รอด หากรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์เป็นขวัญใจประชาชน

          ทางรอดมีทางเดียวที่ประชาชนจะนำพาประเทศออกจากวิกฤติชั่วคราวนี้ได้ คือ ต้องอดทนและต้องจัดตั้งกำลังขึ้นพึ่งตัวเอง เพื่อปกป้องรัฐบาลของประชาชนและอย่าหวังอะไรกับอาจารย์มหาวิทยาลัยและกองทัพไทยในภาวะล้มละลายทางปัญญาในวันนี้เลย     

ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ ต้องมั่นคงกุมหัวใจพลังอำนาจประชาธิปไตยให้ดี

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ขอแสดงความยินดีกับสหภาพเพื่อประชาธิปไตยประชาชนของกลุ่มคนไทยในยุโรปสู้เผด็จการ

จาก : web thaienews
25 สิงหาคม 2554



นอกจากจะมี นปช.สหภาพยุโรป(UDD EU)ที่เป็นแหล่งรวมคนไทยในยุโรปที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย และเป็นกลุ่มที่สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรแล้ว ล่าสุดในภูมิภาคยุโรป ได้มีการประกาศจัดตั้งสหภาพเพื่อประชาธิปไตยประชาชน ของกลุ่มคนไทยในยุโรป 6 + 3 ประเทศ ขึ้นอีกเครือข่ายหนึ่งแยกต่างหากจากกลุ่มแรก

โดยภาคีสมาชิกประกอบไปด้วย คือ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส เยอรมัน เดนมาร์ก นอร์เวย์ และฟินแลนด์ที่ร่วมประชุมกันในวันที่ 6 สิงหาคม 2554 ที่กรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยม และกับอีก 3 ประเทศที่เข้าร่วมในขณะนี้ได้แก่ สวีเดน เนเธอร์แลนด์ และสวิสเซอร์แลนด์

สหภาพเพื่อประชาธิปไตยประชาชน ของกลุ่มคนไทยในยุโรป 6 + 3 ประเทศ เปิดเผยว่า พวกเราต้องการทำหน้าที่ของคนไทยที่รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม และในฐานะพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ที่มีภาระทำหน้าที่ตามครรลองประชาธิปไตย และตามหลักแห่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น นำเสนอปัญหาเมืองไทยอย่างตรงไปตรงมา

พร้อมทั้งพยายามรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้วยความบริสุทธิ์ใจจากภาคประชาคมไทยและประชาคมโลก ที่ต้องการเห็นประเทศไทยและคนไทยอันเป็นที่รักทุกคนได้พัฒนาไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน โดยสหภาพจะรวบรวมและส่งมอบต่อไปยังรัฐบาลไทย

พวกเราเชื่อมั่นว่า เมื่อพื้นที่แห่งเสรีภาพเปิดรับสิทธิและเสรีภาพและยอมรับความเท่าเทียมกันของประชาชนทุกหมู่เหล่า พลังบวกแห่งการช่วยกันขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศจะมีมากมายมหาศาลและประเทศไทยจะเคลื่อนไปข้างหน้า - แม้ว่าอาจจะช้าไปบ้าง - แต่ก็เป็นไปอย่างมั่นคง โดยที่ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วม และมีความสุข

พวกเราจึงขอส่งคำประกาศจัดตั้งสหภาพเพื่อประชาธิปไตยประชาชน และยินดีให้เผยแพร่ให้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวาง ทั้งนี้พวกเราขอต้อนรับทุกคนไม่ว่าไทยหรือต่างชาติที่รักประชาธิปไตย เข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพของเราได้

ติดต่อสำนักงานเลขาธิการ savethailand@gmail.com

ด้วยความสมานฉันท์และมิตรภาพ

สหภาพเพื่อประชาธิปไตยประชาชน
Union for People's Democracy

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ฉีกหน้า “มาร์ค” ตบปาก “กษิต”

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 324 วันที่ 20 - 26 สิงหาคม 2554 พ.ศ. 2554


เรื่องท่านนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ดิฉันรู้ดีว่าต้องเจอแรงกดดันและมีคำถามที่เกี่ยวข้อง แต่พร้อมรับฟังและพร้อม พิสูจน์เรื่องต่างๆ ไม่เคยเบื่อที่จะต้องชี้แจง และไม่ขอเข้าไปแทรกแซงกระบวนการใดๆที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานดำเนินการไป ส่วนนโยบายในการติดตามเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับท่านนายกฯทักษิณ รัฐบาลชุดนี้จะให้เป็นเรื่องของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง แทรกแซง อย่างเรื่องวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นที่เป็นข่าว ดิฉันยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เท่าที่ทราบเป็นฝ่ายเอกชนที่เขาเรียนเชิญท่านอดีตนายกฯทักษิณไปบรรยายตั้งแต่ก่อนดิฉันจะมาเป็นรัฐบาลเสียอีก เรื่องการอนุญาตให้เข้าประเทศเป็นเรื่องของทางการญี่ปุ่นจะเป็นผู้พิจารณาเอง ใครจะเข้าไปแทรก แซงไม่ได้อยู่แล้ว ดิฉันเรียนว่าไม่มีนโยบายทำอะไรพิเศษเพื่อท่านนายกฯทักษิณคนเดียวอยู่แล้ว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันกรณีรัฐบาลญี่ปุ่นให้วีซ่าเป็นกรณีพิเศษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกำหนดเดินทางวันที่ 22 สิงหาคมนี้ เพื่อให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนญี่ปุ่น จากนั้นวันที่ 23 สิงหาคมจะไปบรรยายเรื่องประชาธิปไตยไทยที่ชมรมผู้สื่อข่าวต่างประเทศของญี่ปุ่น และบรรยายเรื่องรูปแบบและบทบาทของเศรษฐกิจโลกที่สถาบันเจแปน-ไชน่า อาเซียน ออฟ อีโคโนมี ส่วนวันที่ 24 สิงหาคม จะไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยทามาและบรรยายเรื่องปัญหาแผ่นดินไหวและสึนามิจากนั้นวันที่ 25-26 สิงหาคมจะเดินทางไปดูที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิ

ปชป. กัดไม่ปล่อย
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ใน ฐานะทีมกฎหมาย เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้สั่งให้ทีมกฎหมายติดตามข้อมูลเพื่อเอาผิดนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเชื่อว่าให้การช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น ในฐานะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักโทษ ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ทั้งยังมีหมายจับในข้อหาก่อการร้าย รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จึงถอดถอนพาสปอร์ต เพื่อล็อกสถานที่ให้อยู่ในที่ที่จำกัดและสะดวกในการติดตามตัวมาลงโทษตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นใครที่ช่วยเปิดช่องสกัด พ.ต.ท.ทักษิณก็เหมือนช่วยให้ผู้ที่ต้องโทษหลบหนี ซึ่งผิดกฎหมายชัดเจน

อย่างไรก็ตาม การไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพุ่งเป้าไปที่นายสุรพงษ์ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธว่าเป็นรัฐมนตรีสายล่อฟ้าตั้งแต่ยังไม่เข้ามารับผิดชอบอย่างเป็นทางการก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์และโจม ตีอย่างต่อเนื่องว่าเป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณกำหนดให้ดำรงตำแหน่งนี้ แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะปฏิเสธว่าเป็นผู้พิจารณาด้วยตัวเอง แม้นายสุรพงษ์จะไม่มีประสบการณ์ด้านการทูต แต่มีความรู้ความสามารถด้านการค้าและธุรกิจระหว่างประเทศ

การที่นายอภิสิทธิ์ลงมาจับเรื่องนี้เองย่อมถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา และยังมีนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถากถางถึงพฤติกรรมของนายสุรพงษ์ว่าเปลี่ยนสี เพราะครั้งที่ยังเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นคนตรวจสอบ พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องผลประโยชน์โทรคมนาคมจนถูกฟ้องมาแล้ว แต่วันนี้กลับไปช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ

ฉีกหน้า มาร์คตบปาก กษิต
นายยูกิโอะ เอดาโนะ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น แถลงถึงกรณีที่รัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติวีซ่าเป็นกรณีพิเศษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณเพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยื่นคำร้อง ขอมายังกรุงโตเกียว และรัฐบาลไทยไม่มีนโยบายห้าม พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปยังประเทศใดๆ ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจึงนำคำร้องนี้มาพิจารณาร่วมกับเงื่อนไขแวดล้อมอื่นแล้วจึงตัดสินใจออกวีซ่าให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นก็เป็นแค่รายงานข่าวที่ยังมีความสับสน

แต่อีกด้านหนึ่งมองว่าการที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้วีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เหมือนการฉีกหน้านายอภิสิทธิ์และตบปากนายกษิตนั่นเอง เนื่องจากการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่นของสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ผ่านมากว่า 1 ปีแล้ว รัฐบาลนายอภิสิทธิ์แทบไม่มีคำตอบให้กับรัฐบาลญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่นเลย แม้สถานทูตญี่ปุ่นจะสอบถามและติดตามการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่รับผิดชอบตลอดเวลา รวมถึงภาพครั้งประวัติศาสตร์ของรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศญี่ปุ่นที่เดินทางมาสอบถามและยืนไว้อาลัยบริเวณที่นายฮิโรยูกิ มูราโมโต ถูกยิงเสียชีวิต แต่ดีเอสไอกลับให้คำตอบแค่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเจ้าหน้าที่รัฐยิง ต่อมาภายหลังยังอ้างว่ามีหลักฐานใหม่ นั่นคืออาวุธที่ยิงนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ไม่ใช่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งขัดกับหลักฐานคือกระสุนและพยานที่ให้ปากคำก่อนหน้านี้

อินเตอร์โพลแฉซ้ำ
ส่วน หมายแดงหรือ Red Notice ที่เป็นประกาศจับบุคคลที่ต้องการตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่าตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพลได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคประชาธิปัตย์ที่นำมาใช้เล่นงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายสุรพงษ์ก่อนหน้านี้ว่ามีความพยายาม ให้ถอนหมายแดงนั้น กลับปรากฏว่านายโรนัลด์ โนเบิล เลขาธิการอินเตอร์โพล ออกมายืนยันว่าไม่เคยมีหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะอินเตอร์โพลเห็นว่าเป็นคดีทางการเมือง เนื่องจากตามมาตรา 3 ของอินเตอร์โพลระบุว่า จะไม่มีการลง “Red Notice” กรณีผู้ต้องหาคดีทางการเมือง แบ่งแยกดินแดน หรือผู้ต้องหาเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อความเป็นกลาง

นอกจากนี้ในเว็บไซต์ของอินเตอร์โพลก็ไม่ปรากฏว่ามีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในกลุ่มบุคคลที่ถูกออกหมายจับแต่อย่างใด จึงมีการตั้งคำถามว่าแล้วเหตุใดรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่ทราบเรื่องดังกล่าวมานานแล้วกลับปิดเงียบและปล่อยให้สร้างกระแสอินเตอร์โพลว่า ถอนหมายจับขึ้นมา

ขณะที่ พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาแถลงกรณีข่าวหมายแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เคยร้องขอไปยังอินเตอร์โพลเมื่อ 2 ปีก่อนจริง แต่อินเตอร์โพลไม่ได้ขึ้นหมายแดงให้ และยังมีหนังสือตอบกลับมาว่ากรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าเงื่อนไขการประกาศหมายแดงของทางอินเตอร์โพล หลังจากนั้นทางกองการต่างประเทศไม่ได้ร้องขอไปอีก

เช่นเดียวกับนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่าเรื่อง หมายแดงหรือหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณของอินเตอร์โพลนั้นเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนตั้งแต่ต้น เพราะที่ผ่านมาตำรวจสากลไม่เคยออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่เคยเอาชื่อขึ้นบัญชีรายชื่อผู้ที่ถูกจับ

รัฐบาลไทยไร้อำนาจ
กรณี พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปญี่ปุ่น นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายระหว่างประเทศ นิติศาสตรมหาบัณฑิต (รางวัลทุนฟุลไบรท์) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เขียนบทวิเคราะห์การให้วีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณของรัฐบาลญี่ปุ่นว่า หากพูดตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งไทยและญี่ปุ่นต่างเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องเคารพ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงสามารถเดินทางได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะไปประเทศใดประเทศหนึ่งหากเข้าไปโดยถูกกฎหมาย
อีกทั้งรัฐธรรมนูญไทย มาตรา 82 ให้รัฐบาลไทยเคารพสิทธิมนุษยชนข้อนี้ แม้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ภายใต้เขตบังคับของกฎหมายไทย รัฐบาลไทยก็ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายไทยเช่นกัน

ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงเป็นมนุษย์ ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนจะต้องติดตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้หายไปไหน การได้รับวีซ่าญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมายเพื่อไปแสดงความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจ หรือแสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบภัยธรรมชาติ จึงมิใช่เรื่องที่ผิดกฎหมาย และอยู่นอกอำนาจที่รัฐบาลไทยจะห้ามญี่ปุ่นได้ หากรัฐบาลไทยไปยุ่มย่ามเรื่องภายในจะเป็นการแทรกแซงและผิดกฎบัตรสหประชาชาติ

อีกทั้งกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมืองและผู้ลี้ภัยของประเทศญี่ปุ่น ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2009 มาตรา 5-2 เปิดช่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสามารถออกวีซ่าพิเศษให้กับผู้ที่ต้องโทษจำคุกได้หากเห็นว่าเป็น

กรณีสมควร
เมื่อรัฐบาลไทยไม่เคยชินกับการอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน และดันมีคนใจดีช่วยขอวีซ่าจนกลายเป็นข่าว จึงมีผู้ตั้งประเด็นว่าเป็นการทำให้การจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณลำบากขึ้นและผิดกฎหมายนั้นเป็น การฉลาดหรือไม่ก็น่าคิดอยู่

ทักษิณบินเหนือเมฆ
อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิชาการ นักการเมือง และกลุ่มผู้มีอำนาจในไทยส่วนใหญ่ยังวิพากษ์วิจารณ์ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังสร้างปัญหาให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ได้ไม่นาน เพราะถ้าเคลื่อนไหวหรือให้สัมภาษณ์มากเท่าไรจะยิ่งกลายเป็น เป้าให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปเป็นเงื่อนไขโจมตีและล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์มากขึ้นนั้น ต้องตั้งคำถามกลับเช่นกันว่าคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณที่มีทั้งประสบการณ์ทางการเมืองและความรู้ความสามารถรอบด้านจะ โง่จนไม่รู้เลยหรือว่าใครคือศัตรู และการเคลื่อน ไหวของตนเองจะส่งผลอย่างไรกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์

โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศอย่าง ถี่ยิบ รวมถึงการเป็นข่าวไปทั่วโลกถึงการเดินทางเข้า ไปเยอรมนีและญี่ปุ่นนั้นล้วนต้องการจงใจให้เป็นข่าว ทั้งสิ้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ใช่เป้าบินแต่น่าจะเป็น จานบินที่เหนือเมฆอย่างไร้ร่องรอยมากกว่า

ที่สำคัญการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งทำให้ ความจริงหลายอย่างปรากฏออกมา ซึ่งล้วนแต่เป็นการตบหน้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์และ มือที่มองไม่เห็นว่าที่ผ่านมาไม่ได้พูดความจริง หรือโกหกตอแหลเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด อย่างกรณีหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณของอินเตอร์โพลที่ไม่เคยมีเลย

เช่นเดียวกับกรณีของรัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติวีซ่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศก็เหมือนการตอกย้ำความไม่พอใจกรณีนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ที่รัฐบาลยุคนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมทำ ความจริงให้ปรากฏ

แม้แต่กรณีสมเด็จฮุน เซน ที่เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชนะการเลือกตั้งและได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็สั่งให้มีการเจรจาเจบีซีกับไทยทันที รวมถึงการเชิญ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปเยือนกัมพูชา ซึ่งเป็นการตบหน้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต เพื่อให้ประชาคมโลกเห็นถึงความล้มเหลวของนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์

ความจริงต้องปรากฏ
ดังนั้น การเมืองไทยจึงไม่ใช่แค่อำนาจรัฐเปลี่ยนไปแล้วจะทำให้คนเปลี่ยนไปด้วยเท่านั้น แต่คนไทยทั้งแผ่นดินต้องเปลี่ยนไปด้วย คือจะต้อง เลิกดัดจริตและเลิกโกหกตัวเองต้องยอมรับความจริงว่าวิกฤตการเมืองที่ทำลายบ้านเมืองมากว่า 5 ปีนั้นเกิดจากมือที่มองไม่เห็นที่สูญเสียอำนาจและผลประโยชน์จากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณในอดีต จนนำมาสู่การทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้บ้านเมืองแตกแยกและแบ่งฝ่ายอย่าง ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังสร้างมรดกอุบาทว์โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับ มดลูก คมช.ที่ทำให้การเมืองการปกครองไทยพิกลพิการมาจนถึงทุกวันนี้

โดยเฉพาะมาตรา 237 ที่ให้ยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธินักการเมือง อย่างกรณีบ้านเลขที่ 111 และกลุ่ม 109 นั้นสะท้อนชัดเจนถึงความอัปลักษณ์ของรัฐธรรมนูญและการใช้อำนาจเผด็จการ จนทำให้พรรคการเมืองวันนี้ กรรมการบริหารแทบทุกพรรคต้องตั้ง หุ่นเชิดขึ้นมาเป็นกรรมการบริหาร แม้แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่ได้เป็นแม้แต่กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยเลย

นอกจากนี้ยังมีองค์กรอิสระต่างๆที่ไม่ต่างกับ มรดกอุบาทว์ของอำนาจเผด็จการ ซึ่งถูกวิพากษ์ วิจารณ์มาโดยตลอด ทั้งการเข้ามาของตัวบุคคลและ การใช้อำนาจสองมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ จนมีหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูปทั้งรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ และปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ

ชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงเป็นคำตอบว่าคนไทยไม่ได้ โง่-จน-เจ็บและยอมก้มหัวให้กับอำนาจเผด็จการใดๆ พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องแก้ปัญหาวิกฤตบ้านเมือง ซึ่งไม่ใช่แค่ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของประชาชน หรือ เกี๊ยะเซียะกับมือที่มองไม่เห็นแต่ต้องเร่งทำความจริงให้ปรากฏ โดยเฉพาะวิกฤตบ้านเมืองที่ผ่านมาว่าใครคือต้นเหตุจนนำมาสู่การสังหารโหดประชาชนนับร้อย และบาดเจ็บพิการหลายพันคน ซึ่งที่ผ่านมานอกจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะไม่แสดงความ รับผิดชอบใดๆแล้ว ยังไม่มีการเยียวยาผู้เสียหายอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังมีความพยายามขัดขวางการเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่ต้องการให้เยียวยาผู้เสียชีวิตคนละ 10 ล้านบาทอีกด้วย

จนนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต้องย้อนถามว่า
ชีวิตคนมีค่ามากกว่า 10 ล้านบาทแน่นอน คนที่ตายไปเขาฆ่าตัวตายหรือเปล่า หรือไปฆ่าเขาตาย และเลิกตอบได้แล้วว่าคนที่ตายเอาหัวไปชนกระสุน ฉะนั้นคนที่ตายมีแต่ถูกทำให้ตาย จึงต้องชดใช้ ที่สำคัญคนที่ตายต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อไม่ให้เกิดปฏิวัติรัฐประหารขึ้นในประเทศ

ยิ่งลักษณ์ต้องกล้า
ขณะเดียวกันรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องกล้าที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนำประชาธิปไตยและความยุติธรรมที่เป็นธรรมและเสมอภาคกลับคืนมาให้กับประชาชน โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพทางการเมืองและ สิทธิความเป็นมนุษย์ อย่างที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชน 65 ล้านคนลงประชามติ และมีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่เป็นตัวแทนของประชาชนเข้ามาเป็นผู้พิจารณาว่าเหมาะสมที่จะแก้ไขหรือไม่

ถ้าประชาชน 65 ล้านคนมีความเห็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะถือเป็นอำนาจที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ผมจึงเห็นว่าหากต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องขอความเห็นของประชาชนทั้ง 65 ล้านคน โดยให้ประชาชนยกร่างและแสดงความคิดเห็นให้เป็นอิสระของประชาชนทั้งหมด ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณแม้แต่น้อย

เส้นทางของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงต้องเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย และจะประมาทไม่ได้เลย เพราะตราบใดที่ มือที่มองไม่เห็นยังควบคุมกลไกรัฐและเครื่องมือต่างๆ รวมทั้งพรรคการ เมืองที่พร้อมจะก้มหัวและรับใช้เผด็จการ การใช้ อำนาจพิเศษและวาทกรรมโกหกตอ แหลเพื่อปล่อยข่าว ปลุกปั่นเพื่อทำลายพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเป็นไปได้ตลอดเวลา

3หมอ...3แพร่ง...แยกล้ม “ยิ่งลักษณ์”

เรียบเรียงจาก คอลัมน์ เหล็กใน ข่าวสดรายวัน
วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7573


กระบวนการจ้องยุบพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

มีตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศเป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ถ้าจำกันตอนนั้น มี (1)หมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แห่งเสื้อหลากสี (สลิ่มการเมือง) เป็นคนกล่าวหา "ยิ่งลักษณ์" ว่าเบิกความเท็จในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯคดีซุกหุ้นยื่นร้องทั้ง ป.ป.ช. และดีเอสไอ เพื่อเอาผิด "ยิ่งลักษณ์" ไว้แต่เนิ่นๆพอ "ยิ่งลักษณ์" เป็นนายกฯแล้ว หมอคนเดิมอีกนั่นหละ ก็ไปขึ้นรถปราศรัยประท้วงที่หน้ากระทรวงไอซีที

ขยายปมที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอน "ยิ่งลักษณ์" กับรมว.ต่างประเทศ กรณีวีซ่าทักษิณเข้าญี่ปุ่น
แต่ดันเผลอไปใช้รถปราศรัยที่คล้ายกับรถหัวหน้าพรรคคนหนึ่งเคยใช้ตอนหาเสียง !?

นอกจากกรณีซุกหุ้น-วีซ่าทักษิณแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ยังเดินหน้าร้องกกต.ให้ยุบเพื่อไทยในกรณีอีเมล์สินบนสื่ออีกทาง ในกรณีนี้มี (2)"หมออีกคน" คือหมอวิชัย โชควิวัฒน ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการที่สภาการหนังสือ พิมพ์ฯ แต่งตั้งให้สอบสวนกรณีนี้

โดยรายงานสอบสวนระบุว่าผู้ถูกกล่าวหาในเครือมติชน-ข่าวสด 2 รายไม่มีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่าเอนเอียงให้กับพรรคการเมือง ส่วนอีก 1 รายก็ไม่ได้อยู่ในสังกัด แต่หมอวิชัยกลับใช้วิธีนับชิ้นโฆษณา-นับภาพข่าวหน้า 1 แล้วสรุปเองดื้อๆ ว่ามติชน-ข่าวสด เสนอข่าวเอนเอียงเข้าข้างพรรคเพื่อไทย !?

ก่อนนำรายงานที่ยังไม่ผ่านการรับรองจากสภาการหนังสือพิมพ์ฯไปให้ กกต. ใช้เป็นหลักฐานคดีที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นร้องพรรคเพื่อไทย

ลักษณะการสอบสวนแบบจับแพะชนแกะ และรีบร้อนไปเสนอ กกต. สังคมก็มีสิทธิ์สงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างหมอวิชัยกับพรรคประชาธิปัตย์ได้

ยิ่งมีการเปิดเผยจดหมายที่หมอวิชัยเขียนถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฝากฝัง (3)"หมออีกคน"ที่ทุ่มเททำงานให้พรรคประชาธิปัตย์มาอย่างยืนหยัดยาวนาน ขึ้นเป็น ปลัด สธ.

สังคมก็มีสิทธิ์ตั้งคำถามอีกว่าความสัมพันธ์นี้ นำไปสู่การเอนเอียงช่วยพรรคใดพรรคหนึ่งหรือเปล่า ?

แต่ที่เห็นผิดสังเกตก็คือ บังเอิญมีบางพรรคกำลังเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลพอดี

นี่เป็นความพยายามใช้วิธี "พิเศษ"
กลับสู่อำนาจอีก ครั้ง !?