Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

"พัลลภ"แฉถูก"จำลอง"เพื่อนรักหลอกใช้ ยัน"สุรยุทธ์"วางแผนล้ม "ทักษิณ" จี้ออกจากองคมนตรี


ข้อมูลจาก มติชนออนไลน์ วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552



"พัลลภ"แฉถูกเพื่อนรัก"จำลอง"หลอก ใช้ ทั้งๆที่เป้นเพื่อนรัก จปร. 7 แนะ"สุรยุทธ์"ลาออก ทำสถาบันองคมนตรีเสื่อมเสีย อย่าใจแคบ เผยชื่นชม แต่ไม่มีสัจจะ ทำผิดมติในที่ประชุม ในการพูดคุยกัน 7 คน ในการวางแผนล้มรัฐบาล"ทักษิณ

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่กำลังร้อนแรง ในฐานะพยานปากสำคัญที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อ้างว่า เป็นคนปูดเบื้องหลังแผนปฏิวัติโค่นอำนาจวันที่ 19 กันยายน 2549 ให้สัมภาษณ์ในรายการลับ ลวง พราง ทางคลื่นวิทยุ 100.5 เมกกะเฮิร์ต เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ถึงเพื่อนรัก “จปร.7” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ว่า ทุกคนมองว่า พล.ต.จำลองเป็นเพื่อนตาย แต่คนที่ตายคือตนฝ่ายเดียว เพราะ พล.ต.จำลอง ไม่เคยตายเพื่อนตน หลายเหตุการณ์ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาสร้างความเดือดร้อนให้ตลอด ความเป็นเพื่อน จปร.มีอยู่ แต่ถือว่าประเทศชาติต้องมาก่อนวันนี้

 

ผมโดนหลอกใช้ตลอด แม้แต่เพื่อนเอง ผมไม่เคยได้อะไรจากพล.ต.จำลองเลย ถือว่า เป็นชะตาชีวิต ฟ้าลิขิตมาแล้ว” พล.อ.พัลลภ กล่าว และว่า กรณีพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีอะไร จบแล้ว และขอให้ท่านเสียสละลาออก รับผิดชอบ รักษาองค์กรที่สำคัญของประเทศ อย่าใจแคบ ส่วนตัวตนยังเคารพพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษตลอดเวลา และไม่ว่าเจอที่ไหน จะไปกราบท่านทุกครั้ง"

 

ก่อนหน้านี้ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์และตอบคำถามที่บ้านพัก โชคชัย 4 ซอยลาดพร้าว 51 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ว่าอยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ

 

 

การวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ เป็นเรื่องจริงแต่ว่าเขา (พล.อ.สุรยุทธ์) ไม่เคยเชิญผมเข้าร่วมประชุม แต่เจ้าของบ้านที่สุขุมวิทเชิญผม และประชุมร่วมกัน ไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่ประชุมกัน 3-4 ครั้ง มีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไรโดยมี 2 แนวทางคือด้านรัฐธรรมนูญ หรือด้านกฎหมาย ถ้าไม่สำเร็จก็จะทำรัฐประหาร 


การทำรัฐประหารมีการพูดหรือไม่ว่าใครจะเป็นนายกฯ



ไม่ได้มีการพูดถึง เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เสนอขึ้นมาว่าการทำครั้งนี้ทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องไม่หวังตำแหน่งใดๆ ซึ่งทุกคนศรัทธาในตัวท่าน การหารือเป็นลักษณะโต๊ะกลม ซึ่งไม่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นั่งอยู่ด้วย



พล.อ.สุรยุทธ์บอกว่าไม่อยากเป็นนายกฯ แต่ คมช.เชิญให้ไปเป็น



คงต้องไปถามท่าน ผมเดาใจไม่ถูก เพราะทุกคนงงหมด ผมเองก็งง



แสดงว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นตัวตั้งตัวตีในการวางแผนล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
จะพูดว่าตัวตั้งตัวตีคงไม่ได้หรอก แต่ว่าการประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ จะมาทุกครั้ง



พอจะบอกได้หรือไม่ว่าคนที่เป็นแกนนำในการล้มรัฐบาลเป็นใคร
อัน นี้ผมบอกไม่ได้ เพราะว่าผมไม่อยากพาดพิงถึงคนอื่น แต่เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพาดพิงถึงผม ผมก็จะพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น ซึ่งการประชุม 3-4 ครั้ง ก็จะมีการพูดถึงแนวทางเรื่องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณตลอด ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นคนเสนอในที่ประชุมเองว่าการทำงานครั้งนี้ เราทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งลาภยศใดๆ
หลัง จากปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปเป็นนายกฯ ทำให้พวกเราผิดหวังมาก ตอนแรกก็ชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ มากเกี่ยวกับแนวความคิดดังกล่าว พูดง่ายๆ พล.อ.สุรยุทธ์ เสียสัจจะ กลายเป็นคนไม่มีสัจจะและผิดมติในที่ประชุม ในการพูดคุยกันวันนั้นมี 7 คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น หลังจากนั้นผมไม่พูดจากับ พล.อ.สุรยุทธ์อีกเลย เจอหน้ากันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผม



ในการพูดคุยมีการวางแผนอย่างไร
อย่าง แรกคือการวางแผนด้านกฎหมาย และการทำรัฐประหารว่าจะทำอย่างไร ที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านทราบหมดแล้ว แต่ท่านถามผมในลักษณะใช่หรือไม่ใช่ ยกตัวอย่างเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าให้ผมฟังคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุรยุทธ์ เชิญ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปพบที่บ้าน พล.ต.จำลอง แถวราชวัตร และล็อบบี้ให้ พล.อ.จาตุภัทร ถอนตัวออกจาก กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ซึ่ง พล.อ.จารุภัทรรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณรับทราบ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณไปหา พล.อ.สุรยุทธ์ที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ปฏิเสธ


พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต.ก็เคยได้รับเชิญไปที่บ้านสุขุมวิท เพื่อไปพบ พล.อ.สุรุยุทธ์ และล็อบบี้ให้ลาออกเพื่อล้มการเลือกตั้ง ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เป็นความลับ พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีตั้งแต่ต้นว่าจะมีการล้มรัฐบาล เพราะมีแหล่งข่าวที่ติดตามพวกที่เคลื่อนไหวทั้งหมด เพียงแต่มาสอบถามผมว่า เรื่องที่รู้มาจริงหรือไม่ เมื่อตอนที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่จีน


พ.ต.ท.ทักษิณ พุ่งเป้าไปที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เพื่อพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงใช่หรือไม่
ไม่ทราบ



พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตลอดเวลาว่าจะถูกปฏิวัติใช่หรือไม่
ท่าน รู้มาตลอดทุกเรื่อง แม้แต่แผนการปฏิวัติ เพียงแต่ไม่รู้ว่า ปฏิวัติเมื่อไร แต่ท่านประมาทเพราะไว้ใจคนใกล้ตัวและเพื่อน ตท.10 ที่คุมกำลังอยู่ในกองทัพ ที่ประชุมพูดกันเพียงว่า จะล้มรัฐบาล ส่วนการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มี การรัฐประหารโดยปกติจะต้องล็อคตัวนายกฯซึ่งคนละเรื่องกับการลอบสังหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการลอบสังหาร แต่อาจเป็นการเข้าชาร์จหรือล็อคตัวนายกฯ



ประเทศชาติจะมีทางออกอย่างไร
ที่ ผมตัดสินใจไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ คือเรื่องความวุ่นวายในบ้านเมือง ผมไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้สัมภาษณ์ว่าคนที่จะแก้ไขปัญหาได้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ผมอยากพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนี้เงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไป คือรัฐบาลตั้งขึ้นมาโดยไม่มีความชอบธรรมเพราะต้องให้เสียงข้างมากเป็นผู้จัด ตั้งรัฐบาล แต่นี่ล็อบบี้กันแบบงูเห่า


 

ผมอยากฝากไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าเพื่อรักษาสถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้ท่านควรจะลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพราะองคมนตรีต้องไม่ยุ่งกับการเมือง แต่ท่านเป็นคนที่เข้ามายุ่งกับการเมือง ดังนั้นเพื่อรักษาสถาบันอันสำคัญยิ่งไว้ ผมคิดว่าท่านควรจะต้องลาออก ในฐานะที่ผมเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และรุ่นพี่ ผมไม่มีอะไรกับท่านเลย


มองอย่างไร ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นองคมนตรี และไปรับตำแหน่งนายกฯ เมื่อเสร็จภารกิจก็ยังกลับมาเป็นองคมนตรีได้ ซึ่งคนมองว่าเป็นการมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
คนเขาพูดกันอยู่แล้ว ผมไม่ต้องพูด



การกลับไปครั้งนี้เป็นเพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ คอยเป็นแบ๊คหนุนใช่หรือไม่
ผมไม่อยากพูดเลยไปถึงนั้น ผมพูดเฉพาะ พล.อ.สุรยุทธ์ คนเดียวที่พาดพิงมาถึงผม คนอื่นผมไม่อยากพูด



มองอย่างไรที่มีการพูดพาดพิงองคมนตรี เพราะจะทำให้ภาพพจน์ของสถาบันดังกล่าวเสื่อมลง
ตอน ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เดินหน้าล้มการเลือกตั้ง ท่านบอกว่าไม่ได้ไปประชุม แต่ไปปรึกษาหารือ ซึ่งท่านเป็นองคมนตรีอยู่แล้วท่านเป็นคนดึงสถาบันนี้ลงมา ผมจึงขอฝากเรียนท่านวันนี้ว่า ให้ท่านลาออกเสียเถอะ เพื่อควบคุมสถาบันอันสำคัญยิ่งของประเทศไว้ด้วยความหวังดี ทั้งนี้ผมไม่เคยมีเรื่องอะไรกับท่าน เพียงแต่ผิดหวังที่ท่านเสียสัจจะ



มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองติดต่อให้ท่านหยุดพูดเรื่องนี้หรือไม่
ไม่ มี อย่างวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมมูลนิธิไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.) เขาแจ้งมาว่าคณะกรรมการไม่ครบขอเลื่อนไปก่อน จึงไม่ได้ไปประชุม



จุดยืนของท่านต่อสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้
จุด ยืนผมรับใช้ประเทศชาติ และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันมาโดยตลอด เมื่อหลายคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวที่จะแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้ ทำให้ผมผุดไอเดียขึ้นมา พอดีนายพิเชษฐ์ สถิรชวาล อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย และเป็นก๊วนกอล์ฟกับตน ชวนไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จีน จึงให้นายพิเชษฐ์ โทรศัพท์ไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้ผมเข้าพบ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่ายินดีให้ผมหารือ จึงเดินทางไปหา สาเหตุที่ผมไปพบ เพราะไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน ผมก็ถาม


 

พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร เหมือนเมื่อครั้ง 2540 ที่ผมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนั้นผมเป็นฝ่ายเสธฯของ ผบ.ทหารสูงสุด คือ พล.อ.วัฒนชัย วุฒิศิริ เราจึงมาคุยปรึกษาหารือกันว่าวันหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะต้องเป็นพรรครัฐบาล แต่ทุกคนรู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์กับทหารไม่ถูกกัน เพราะฉะนั้นคิดกันว่าเราจะเข้าไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ดีหรือไม่ อย่างน้อยก็จะไปเป็นตัวประสานให้ทหารกับพรรคประชาธิปัตย์ไปด้วยกัน ผมจึงสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 


บางคนกล่าวหาว่าผมไปรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ 3-4 พันล้านบาท ผมยืนยันได้ว่าที่ผมไปครั้งนี้ได้รองเท้ากอล์ฟมาเพียงคู่เดียว ซึ่งผมจะไปซื้อมาเล่นกอล์ฟ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าไม่ต้องออกเงิน ท่านจะออกให้ รวมทั้งจ่ายเงินค่าแคตดี้ และค่าที่พักให้เท่านั้น ตกเป็นเงินไทยไม่ถึง 5,000 บาท ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปรับเงิน เพราะผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปถึง 4 คน และเวลาคุยก็คุยด้วยกันทั้งหมด หากรับเงินจริงวันนี้ซื้อรถเบนซ์แล้ว



ในฐานะประชาชนจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร
ทุก คนอยากให้ประเทศชาติมีความมั่นคง ประชาชนอยู่อย่างสันติสุข มีความปรองดองในชาติ ทั้งนี้ถ้านิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเพียงแค่ไปเซ็นให้ภรรยาซื้อที่ดิน ต้องจำคุก 2 ปี ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติสู่ความมั่นคงประชาชนอยู่สันติสุขได้ ผมคิดว่าควรจะเลือกทางนั้น สมัยปี 2524 สมัยที่ผมนำกำลังทหารเข้ามาปฏิวัติ โทษของผมสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต ผมถูกข้อหากบฏ และขัดพระบรมราชโองการ ยังสามารถนิรโทษกรรมได้ ซึ่งแรงกว่ากันเยอะมาก



แสดงว่าควรจะนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวเพื่อให้ประเทศชาติกลับมาเกิดความมั่นคงอีกครั้ง
กี่ คนก็แล้วแต่ ถ้าทำแล้วทำให้ประเทศชาติกลับมาสมานฉันท์มีความมั่นคงประชาชนอยู่อย่างสันติ สุขผมคิดว่าควรทำ และต้องรีบทำด้วย เพราะวันนี้ไม่ใช่เฉพาะปัญหาความมั่นคง แต่มันเป็นปัญหาของเศรษฐกิจด้วย



ที่ จปร.7 ออกมาเคลื่อนไหว ทั้งตัวท่าน พล.ต.จำลอง และ พล.ต.มนูญกฤต มีนัยอะไรหรือไม่
คง เป็นฟ้าลิขิต แต่ยืนยันว่าเพื่อนก็คือเพื่อน แต่ประเทศชาติต้องมาก่อน ที่ผ่านมา จปร.7 แตกออกเป็น 2 พวก คือ กลุ่มยังเติร์ก กับทหารประชาธิปไตย แต่ส่วนใหญ่เลิกกันไปหมดแล้ว เหลือเพียง 3 คนเท่านั้น



มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่
โทร.คุย เมื่อสองวันที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ถามผมว่าสบายดีหรือไม่ ผมก็บอกว่าสบายดี ตอนนี้กำลังเล่นกอล์ฟอยู่ ไม่ได้คุยอะไรกันมาก และ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวขอโทษที่อ้างชื่อผม 



เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยืมมือ พล.อ.พัลลภ ฆ่าศัตรูอีกฝั่งหนึ่ง
ไม่ ใช่หรอก ผมบอกว่าไปขอพบท่าน แต่หากท่านขอพบผมอาจจะใช้ผมเป็นเครื่องมือ เงื่อนไขที่เกิดขึ้นคือรัฐบาลไม่ได้ขึ้นมาตามระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาแบบฉวยโอกาส วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคเก่าแก่ 63 ปี เป็นนายกฯ 4 สมัย ไม่ถึง 7 ปี เป็นฝ่ายค้าน 57 ปี แต่ละครั้งที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็เป็นแบบนี้


 

=======================

 

"พัลลภ" ยอมแถลงเปิดใจหมดเปลือก แผนโค่นล้มระบอบทักษิณ

 

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์เปิดใจเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ 19 ก.ย.2549 ว่า เป็นเรื่องจริง แต่ว่าพล.อ.สุรยุทธ์ ไม่เคยเชิญตนเข้าร่วมประชุม แต่เจ้าของบ้านที่สุขุมวิท เชิญตน และประชุมร่วมกัน ซึ่งไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่มีการประชุมกัน 3-4 ครั้ง ซึ่งมีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณว่า จะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไร โดยมี 2 แนวทาง คือ ทางด้านรัฐธรรมนูญ หรือทางด้านกฎหมาย ถ้าแนวทางแรกไม่สำเร็จก็จะทำรัฐประหาร 
           


เมื่อถามว่า การทำรัฐประหารมีการพูดหรือไม่ว่า ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "ไม่ได้มีการพูดถึง เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เสนอขึ้นมาว่า การทำครั้งนี้ ทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องไม่หวังตำแหน่งใด ๆ ซึ่งทุกคนศรัทธาในตัวท่าน ทั้งนี้ การหารือเป็นลักษณะโต๊ะกลม ซึ่งไม่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. นั่งอยู่ด้วย "

 

แฉ "สุรยุทธ์" เสียสัจจะ ที่บอกจะไม่เป็นนายกฯ

 

เมื่อถามว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ระบุว่า ไม่อยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ คมช.เชิญให้ไปเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "คงต้องไปถามท่าน ผมเดาใจไม่ถูก เพราะทุกคนงงหมด ผมก็งง" เมื่อถามว่า แสดงว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นตัวตั้งตัวตีในการวางแผนล้มรัฐบาล พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า จะ พูดว่าตัวตั้งตัวตีคงไม่ได้หรอก แต่ว่าการประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ จะมาทุกครั้ง เมื่อถามว่า พอจะบอกได้หรือไม่ว่า คนที่เป็นแกนนำในการล้มรัฐบาลเป็นใคร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า อันนี้ตนบอกไม่ได้ เพราะว่าตนไม่อยากพาดพิงถึงคนอื่น แต่เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพาดพิงถึงตน ตนก็จะพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น ซึ่ง การประชุม 3-4 ครั้ง ก็จะมีการพูดถึงแนวทางเรื่องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอด อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นคนเสนอในที่ประชุมเองว่า การทำงานครั้งนี้ เราทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งลาภยศใด ๆ

 

"หลังจากที่ปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้พูดง่าย ๆ พวกเราผิดหวังมาก และผมก็ผิดหวัง ตอนแรกก็ชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ มากเกี่ยวกับแนวความคิดดังกล่าว พูด ง่าย ๆ พล.อ.สุรยุทธ์  เสียสัจจะกลายเป็นคนไม่มีสัจจะและผิดมติในที่ประชุม แต่ท่านอ้างว่า ได้ประชุม ได้คุยกัน ซึ่งถือว่าเป็นการผิดมติในที่ประชุม ซึ่งในการพูดคุยในวันนั้นมีประมาณ 7 คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น ซึ่งหลังจากนั้น ผมไม่ได้พูดจากับพล.อ.สุรยุทธ์อีกเลย เจอหน้ากันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตน และเป็นนายทหารรุ่นน้อง สมัยที่ตนเป็นผบ.ค่ายสฤษดิ์เสนา ส่วนพล.อ.สุรยุทธ์ เป็นผู้บังคับหมวด" พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า

 

ย้ำ

 

เมื่อถามว่า ในการพูดคุยมีการวางแผนอย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "อย่างแรก คือการวางแผนทางด้านกฎหมาย และการทำรัฐประหารว่าจะทำอย่างไร ซึ่งการที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านทราบหมดแล้ว แต่ท่านถามตนในลักษณะใช่หรือไม่ใช่ ยกตัวอย่างเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าให้ผมฟังคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุรยุทธ์  มีครั้งหนึ่งที่เชิญ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต. ไป พบที่บ้าน พล.ต.จำลอง แถวราชวัตร และล็อบบี้ให้ พล.อ.จารุภัทร ถอนตัวออกจาก กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549  ซึ่งพล.อจารุภัทร รายงานให้พ.ต.ท.ทักษิณได้รับทราบ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณไปหา พล.อ.สุรยุทธ์ที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง แต่พล.อ.สุรยุทธ์ปฏิเสธ"


"เรื่องแบบนี้พล.ต.อ.วาสนา  เพิ่มลาภ อดีตประธานกกต.เคยได้รับเชิญไปที่บ้านสุขุมวิท เพื่อไปพบ พล.อ.สุรุยุทธ์ และล็อบบี้ให้ลาออกออกจากตำแหน่ง และล้มการเลือกตั้ง ดังนั้น เรื่องนี้ไม่เป็นความลับ พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีตั้งแต่ต้นว่า จะมีการล้มรัฐบาล เพราะ มีแหล่งข่าวที่ติดตามพวกที่เคลื่อนไหวทั้งหมดเพียงแต่มาสอบถามผม ว่า เรื่องที่รู้มาจริง หรือไม่ เมื่อตอนที่ผมเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณที่จีน" พล.อ.พัลลภกล่าว



เมื่อถามถึงความสัมพันธ์กับ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นอย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "ไม่เคยมีปัญหาอะไร ท่านเป็นลูกน้องผมถึง 6 รุ่น" เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พุ่งเป้าไปที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เพื่อพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงใช่หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "ไม่ทราบ" เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตลอดเวลาว่า จะถูกปฏิวัติใช่หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "ท่านรู้มาตลอดทุกเรื่อง แม้แต่แผนการปฏิวัติ ซึ่งไม่รู้ว่า ปฏิวัติเมื่อไร แต่ท่านประมาท เพราะไว้ใจคนใกล้ตัว และเพื่อนตท.10 ที่คุมกำลังอยู่ในกองทัพ"



" ส่วนการลอบสังหารพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มี ซึ่งการรัฐประหารโดยปกติจะต้องล็อกตัวนายกฯ ซึ่งคนละเรื่องกับการลอบสังหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการลอบสังหาร แต่อาจเป็นการเข้าชาร์จหรือ ล็อกตัวนายกฯ" เมื่อถามว่า เหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ออกมาพูดในช่วงนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้แผนการปฏิวัติมานานแล้ว พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "ท่านรู้มานานแล้ว แต่คงหาคนอ้างอิงไม่ได้ เผอิญผมเดินทางไปหาท่านพอดี จึงหาพยานเสียเลย "


 

อ้างเข้าหา "ทักษิณ" ไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน


เมื่อถามว่า จนถึงขณะนี้ประเทศชาติจะมีทางออกอย่างไร เมื่อมีกลุ่มเสื้อแดงออกมาชุมนุม พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ที่ ตนตัดสินใจไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ คือเรื่องความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งตนไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน เกิดสงครามการเมือง ซึ่งมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้สัมภาษณ์ว่า คนที่จะแก้ไขปัญหาได้คือพ.ต.ท.ทักษิณ จึงทำให้ตนอยากพบพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนี้เงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไป คือ รัฐบาลตั้งขึ้นมาโดยไม่มีความชอบธรรม เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เพราะต้องให้เสียงข้างมากเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่นี่เป็นการล็อบบี้กันแบบงูเห่า ซึ่งมองว่า ไม่ถูกต้อง เพราะควรให้เสียงข้างมากตั้งก่อน หากเขาตั้งไม่ได้ ตัวเองจึงจะค่อยตั้ง แต่เป็นการชิงตั้งก่อน



เมื่อถามว่า เหตุการณ์จะยุติอย่างไร  พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนก็มองไม่ออกว่าเหตุการณ์จะยุติอย่างไร เมื่อถามว่า มีทางหรือไม่ที่รัฐบาลจะยอมลาออก เพื่อให้ประเทศชาติเดินต่อไปได้ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนไม่รู้ เพราะไม่ได้คุยกับใครเลย เมื่อถามว่าประเมินสถานการณ์จะมีความรุนแรงหรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า อยู่ที่จุดมุ่งหมายว่าเขาต้องการทำอะไร พูดง่าย ๆแบบพฤษภาทมิฬ เมื่อ พล.ต.จำลอง โดนจับ และตนเป็นคนนำ และเกิดเหตุการณ์นักศึกษาตีตำรวจบาดเจ็บเราจึงเข้าไปช่วยนักศึกษา ตีตำรวจ จึงเกิดเหตุการณ์ขึ้น ต้องดูว่าวันนี้จะเกิดแบบนี้หรือไม่ ถ้ารัฐบาลใช้ความรุนแรงก็จะต้องเกิดขึ้นแน่ ซึ่งตนไม่อยากเห็นคนไทยฆ่าคนไทย เพราะในชีวิตตนผ่านเรื่องนี้มาเยอะ



ขอให้ "สุรยุทธ์" ลาออกจากองคมนตรี เพื่อรักษาสถาบัน



เมื่อถามว่า หากมีการเผาสถานที่ราชการมีการยั่วยุให้เกิดการปะทะกันหรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ตนไม่รู้ เพราะตนไม่เคยยุ่งกับเขา และเขาจะเดินขนาดไหน เมื่อถามว่า ในฐานะอดีตทหารเก่ามองภาพผู้นำกองทัพตอนนี้อย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนเป็นทหารรุ่นพี่ของเขา ตนไม่อยากวิจารณ์ เพราะคนที่เป็นผู้นำเหล่าทัพส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ตนทั้งนั้น ตนเหมือนกับบิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ที่ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ตนยึดถือตรงนี้เพราะตนเคารพท่านมาก ทั้งนี้ตนคิดว่าทหารจะต้องยืนอยู่เคียงข้างประชาชน คือยึดถือความมั่นคงของประเทศชาติ และความสันติของประชาชนเป็นหลัก



ผมอยากฝากไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าเพื่อรักษาสถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้ ท่านควรจะลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพราะองคมนตรีต้องไม่ยุ่งกับการเมือง แต่ท่านเป็นคนที่เข้ามายุ่งกับการเมือง ดังนั้น เพื่อรักษาสถาบันอันสำคัญยิ่งไว้ ผมคิดว่าท่านควรจะต้องลาออกในฐานะที่ผมเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และรุ่นพี่ ผมไม่มีอะไรกับท่านเลย” พล.อ.พัลลภ กล่าว


 

เมื่อถามว่า มองอย่างไร ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นองคมนตรี และไปรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อเสร็จภารกิจก็ยังกลับมาเป็นองคมนตรีได้ ซึ่งคนมองว่าเป็นการมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า คนเขาพูดกันอยู่แล้ว ตนไม่ต้องพูด เมื่อถามว่า การกลับไปกลับครั้งนี้เป็นเพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ คอยเป็นแบล็กหนุนใช่หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนไม่อยากพูดเลยไปถึงนั้น วันนั้นตนพูดเฉพาะ พล.อ.สุรยุทธ์ คนเดียวที่มีการพาดพิงมาถึงตน คนอื่นตนไม่อยากพูด


เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่มีการพูดพาดพิงองคมนตรี เพราะจะทำให้ภาพพจน์ของสถาบันดังกล่าวเสื่อมลง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตอนที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เดินหน้าล้มการเลือกตั้ง ซึ่งท่านบอกว่าไม่ได้ไปประชุมแต่ไปปรึกษาหารือ ซึ่งท่านเป็นองคมนตรีอยู่แล้วท่านเป็นคนดึงสถาบันนี้ลงมา ตนจึงขอฝากเรียนท่านวันนี้ว่า ให้ท่านลาออกเสียเถอะ เพื่อควบคุมสถาบันอันสำคัญยิ่งของประเทศไว้ด้วยความหวังดี ทั้งนี้ตนไม่เคยมีเรื่องอะไรกับท่าน เพียงแต่ผิดหวังที่ท่านเสียสัจจะ



เมื่อถามว่า ขณะนี้มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองติดต่อให้ท่านหยุดพูดเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่มี อย่างวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมมูลนิธิไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.)  เขาแจ้งมาว่าคณะกรรมการไม่ครบขอเลื่อนไปก่อน จึงไม่ได้ไปประชุม เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก จะทำเชิญท่านไปหารือเพื่อขอให้หยุดพูดเรื่องนี้นั้น พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่มีจริง ๆ ไม่รู้เรื่อง มีแต่ข่าวเท่านั้น



เมื่อถามถึงจุดยืนของ พล.อ.พัลลภ ต่อสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า จุดยืนตนรับใช้ประเทศชาติ และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันมาโดยตลอด ตนยืนยันว่า การไปประเทศจีน เมื่อหลายคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศชาติได้ ทำให้ตนผุดไอเดียวขึ้นมา พอดี นายพิเชษฐ์ สถิรชัชวาลย์ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย และเป็นก๊วนกอล์ฟกับตน ไปชวนไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เมืองจีน จึงให้ นายพิเชษฐ์ โทรศัพท์ไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้ตนเข้าพบ ท่านจึงโทรศัพท์ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่ายินดีให้ตนมาหารือ จึงได้เดินทางไปหา ทั้งนี้สาเหตุที่ตนไปพบ เพราะไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน ซึ่งตนก็ถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร เหมือนเมื่อครั้ง 2540 ที่ตนเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนั้นตนเป็นฝ่ายเสธฯของ ผบ.ทหารสูงสุด คือ พล.อ.วัฒนชัย วุฒิศิริ  เราจึงมาคุยปรึกษาหารือกันว่าวันหนึ่ง พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเป็นพรรครัฐบาล แต่ทุกคนรู้ว่า พรรคประชาธิปัตย์กับทหารไม่ถูกกัน เพราะฉะนั้นคิดกันว่าเราจะเข้าไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ดีหรือไม่  อย่างน้อยก็จะไปเป็นตัวประสานให้ทหารกับพรรคประชาธิปัตย์ไปด้วยกัน ตนจึงสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 



บางคนกล่าวหาว่าผมไปรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ 3,000 – 4,000 ล้านบาท ผมยืนยันได้ว่าที่ผมไปครั้งนี้ได้รองเท้ากอล์ฟมาเพียงคู่เดียว ซึ่งผมจะไปซื้อรองเท้ามาเล่นกอล์ฟ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าไม่ต้องออกเงิน ท่านจะออกให้ รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้จ่ายเงินค่าแคตดี้ และค่าที่พักให้เท่านั้น ตกเป็นเงินไทยไม่ถึง 5,000 บาท ทั้งนี้ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปรับเงิน เพราะผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปถึง 4 คน  และเวลาคุยก็คุยด้วยกันทั้งหมด หากรับเงินจริงวันนี้ซื้อรถเบนซ์แล้ว“ พล.อ.พัลลภ กล่าว



เมื่อถามว่า ในฐานะประชาชนจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ทุกคนอยากให้ประเทศชาติมีความมั่นคง ประชาชนอยู่อย่างสันติสุข มีความปรองดองในชาติ ทั้งนี้ถ้านิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ  เพียงแต่ไปเซ็นต์ให้ภรรยาซื้อที่ดิน และจำคุก 2 ปี จะทำให้ประเทศชาติสู่ความมั่นคงประชาชนอยู่สันติสุขได้ ตนคิดว่าควรจะเลือกทางนั้น สมัยปี 2524 สมัยที่ตนเป็นผู้การฯ และนำกำลังทหารเข้ามาปฏิวัติโทษของตนสูงสุดขั้นถึงประหารชีวิต ตนถูกข้อหากบฏ และขัดพระบรมราชโองการ ยังสามารถนิรโทษกรรมได้ ซึ่งแรงกว่ากันเยอะมาก



เมื่อถามว่า แสดงว่าควรจะนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวเพื่อให้ประเทศชาติกลับมาเกิดความมั่นคงอีกครั้ง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า กี่คนก็แล้วแต่ ถ้าทำแล้วทำให้ประเทศชาติกลับมาสมานฉันท์มีความมั่นคงประชาชนอยู่อย่างสันติ สุขตนคิดว่าควรทำ และต้องรีบทำด้วย เพราะวันนี้ไม่ใช่เฉพาะปัญหาความมั่นคง แต่มันเป็นปัญหาของเศรษฐกิจด้วย ส่วนการที่ จปร. 7 ออกมาเคลื่อนไหว ทั้งตัวท่าน พล.ต.จำลอง และ พล.ต.มนูญกฤต มีนัยอะไรหรือไม่นั้น คงเป็นฟ้าลิขิต แต่ยืนยันว่าเพื่อนก็คือเพื่อน แต่ประเทศชาติต้องมาก่อน ทั้งนี้ที่ผ่านมา จปร.7 แตกออกเป็น 2 พวก คือ กลุ่มยังเติร์ก กับทหารประชาธิปไตย แต่ส่วนใหญ่เลิกกันไปหมดแล้วเหลือเพียง 3 คนเท่านั้น



เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า  โทรคุยเมื่อสองวันที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ถามว่าตนสบายดีหรือไม่ ตนก็บอกว่าสบายดีตอนนี้กำลังเล่นกอล์ฟอยู่ ไม่ได้คุยอะไรกันมาก ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวขอโทษที่อ้างชื่อตน  เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ยืมมือ พล.อ.พัลลภ ฆ่าศัตรูอีกฝั่งหนึ่ง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่ใช่หรอก ตนบอกว่าไปขอพบท่าน แต่หากท่านขอพบตนอาจจะใช้ตนเป็นเครื่องมือ เงื่อนไขที่เกิดขึ้นคือรัฐบาลไม่ได้ขึ้นมาตามระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาแบบฉวยโอกาส วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคเก่าแก่ 63 ปี เป็นนายกฯ 4 สมัย ไม่ถึง 7 เป็นฝ่ายค้าน 57 ปี ซึ่งแต่ละครั้งที่ขึ้นมาเป็น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น