RED POWER ฉบับที่ 36 เดือนพฤษภาคม 2556
โดย นายทหารเอก กรุงธน
พฤษภาทมิฬ 2535
รัฐบาลฆ่าประชาชน พลเอกเปรม พา พล.อ.สุจินดา คราประยูร เข้าเฝ้า, พลเอกสุจินดาลาออก
วิกฤตยุติ
พฤษภาทมิฬ 2553
รัฐบาลฆ่าประชาชน พลเอกเปรม อุ้ม ร.ต.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, อภิสิทธิ์ไม่ลาออกวิกฤตยืด
สถานการณ์จึงปั่นป่วนจนถึงทุกวันนี้
แปลกแต่จริงที่รัฐบาลสั่งฆ่าประชาชนเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายเกิดขึ้น
2 ครั้ง ในเดือนพฤษภาคมเหมือนกัน, ในปี พ.ศ.เลขเหมือนกัน แต่สลับที่ระหว่าง 35 กับ
53 ด้วยนายกรัฐมนตรีที่เป็นนายทหารเหมือนกัน ตนหนึ่งเป็นนายทหารจริงยศพลเอก
อีกตนหนึ่งเป็นนายทหารเก๊ยศร้อยตรี
และที่สำคัญที่สุดมีตัวแสดงทางการเมืองที่โดดเด่นที่แสดงตัวเป็นผู้จัดการประเทศไทยนอกรัฐธรรมนูญเป็นคนๆเดียวกันคือ
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แต่เหตุการณ์กลับลงเอยไม่เหมือนกัน
ทำไม?.........ทำไม?.........ทำไม?.........และทำไม?
เป็นคำถามที่ค้างคาใจคนไทยทั้งประเทศ
ยิ่งเห็นภาพที่พลเอกเปรมนำคณะรัฐประหาร
19 กันยายน 2549 เข้าเฝ้ายามวิกาล
ผู้คนก็ยิ่งสงสัยว่าพลเอกเปรมหรือพลเอกสนธิใครกันแน่ที่เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารตัวจริง?
ถ้าพลเอกเปรมจะทำบุญก่อนตาย
ผู้เขียนขอแนะนำให้เปิดบ้านสี่เสาแล้วให้ประชาชนทั้งประเทศถามคำถามที่สงสัยอะไรก็ได้เกี่ยวกับเหตุบ้านการเมืองก็เชื่อแน่เหลือเกินว่าประชาชนจะมีคำถามเดียวกันดังที่กล่าวมาข้างต้น
คำตอบจากปากพลเอกเปรมถ้าจะมีก็คงจะเป็นคำตอบที่ไม่ต่างจากคำตอบของพลเอกสนธิ
บุญยรัตกลิน ที่ตอบสังคม
คนไทยในเวลานี้ทำได้เพียงมาศึกษาเส้นทางเดินทางการเมืองของพลเอกเปรมก็จะหาคำตอบได้เองว่าควรจะเป็นเช่นใดและจะเข้าใจเองว่าทำไมพลเอกเปรมจึงมีสถานะเป็นเหมือนผู้จัดการประเทศไทยนอกรัฐธรรมนูญ
หรือนัยหนึ่งก็คือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญตามที่
พ.ต.ท.ทักษิณได้บัญญัติศัพท์นี้ขึ้นก่อนที่จะถูกโค่นล้ม
ในโลกสมัยใหม่อันเป็นโลกแห่งไฮเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้ว่าทำไมพลเอกเปรมจึงกลายเป็นเสมือนผู้จัดการประเทศไทยตัวจริงนอกรัฐธรรมนูญ
เพียงแต่กดเข้าไปหาอากู๋ (ศัพท์เทคนิคเรียกแทน Google)
ก็จะพบในสารานุกรมของวิกิพีเดีย
พลเอกเปรมเริ่มมีฐานะทางการเมืองตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารในฐานะเด็กฝากโดยเข้าไปฝึกฝนวิทยายุทธในสภาหินอ่อน(พระที่นั่งอนันตสมาคมในขณะนั้น)
ในฐานะเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2502 พลเอกเปรมจึงมีประสบการณ์ในการร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ที่มีรูปแบบทำท่าจริงจังแต่มีเนื้อหาไม่เอาจริงเอาจัง
จนกระทั่งจอมพลสฤษดิ์ผู้แต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตาย
รัฐธรรมนูญก็ยังร่างไม่เสร็จ
วันนี้ก็อย่าได้หวังว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี
2550 ภายใต้บารมีของพลเอกเปรม(ผู้มีประสบการณ์ปล้ำรัฐธรรมนูญแบบมาราธอนมาแล้ว)จะแก้ได้สำเร็จ
พลเอกเปรมมีประสบการณ์เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแบบแต่งตั้ง
100 % และเป็นวุฒิสมาชิกแบบแต่งตั้ง 100 % ในระหว่างปี 2511 – 2516
*เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ถึงบางอ้อว่ารัฐธรรมนูญปี
2550 มี ส.ว.แต่งตั้ง 50 % ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่กรุณาแล้วอย่ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เลือกตั้ง
ส.ว. 100 % ในขณะที่พลเอกเปรมยังมีชีวิตอยู่เห็นท่าจะยาก
พลเอกเปรมเป็นผู้นำกำลังทหารคนสำคัญคนหนึ่งในการร่วมทำรัฐประหาร
2 ครั้ง ที่มีหุ่นเชิดเป็นทหารเรือ คือ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ในวันสังหารโหด 6
ตุลาคม 2519 ล้มรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ 20 ตุลาคม 2520 ล้มรัฐบาลธานินทร์
กรัยวิชียร
*รู้อย่างนี้ก็คงไม่แปลกใจนะครับ
ที่เห็นบทบาทของพลเอกเปรมในเหตุการณ์รัฐประหารล้มรัฐบาลพลเอกชาติชาย เมื่อ 23
กุมภาพันธ์ 2534 แล้วก็มีนายกฯชื่ออานันท์ ปันยารชุน
(ปัจจุบันก็รู้ชัดเจนว่าเป็นคนใกล้ชิดพลเอกเปรม) ล้มรัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร
ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 แล้วก็นำนายอานันท์ ปันยารชุน มาเป็นนายกฯรอบสอง โดยรถที่นำพระบรมราชโองการวิ่งผ่านบ้านพลอากาศเอกสมบุญ
ระหงษ์
ในฐานะหัวหน้าพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาและเตรียมตัวรับพระบรมราชโองการอย่างมึนงง
พลเอกเปรม
รับตำแหน่งทางการเมืองครั้งแรกในปีพ.ศ. 2520 ในรัฐบาลของพลเอกเกรียงศักดิ์
ชมะนันทน์ ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะเด็กฝาก
และเป็นรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่มีการปรับ
ครม.ไม่มีหลุดโผทั้งๆที่พลเอกเกรียงศักดิ์ก็รำคาญเพราะพลเอกเปรมเป็นหอกข้างแคร่ของจริงทำให้พลเอกเกรียงศักดิ์ที่นอนอยู่บนแคร่นายกรัฐมนตรีพลิกตัวไปมาไม่สะดวกแต่ก็ต้องอุ้มพลเอกเปรมในฐานะเด็กฝากเรื่อยไป
และล่าสุดเด็กฝากก็ได้รับการเลี้ยงดูจนใหญ่โตเป็นถึงรัฐมนตรีกลาโหมควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
จนพลเอกเกรียงศักดิ์อุ้มไม่ไหวและจนกระทั่งเด็กที่ถูกอุ้มนั่งทับคนอุ้มนั่นก็คือ
พลเอกเกรียงศักดิ์จำใจต้องลาออกจากนายกรัฐมนตรีกลางสภาด้วยวิกฤตเพียงแค่ขึ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทำให้รถเมล์ขึ้นราคาจาก
.50 สตางค์ เป็น .75 สตางค์ แล้วมอบตำแหน่งให้แก่
พลเอกเปรมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของประเทศไทยเมื่อ 3 มีนาคม 2523
ด้วยการบีบพลเอกเกรียงศักดิ์จนหน้าเขียวกลางสภา
แล้วนับแต่นั้นมาก็มีอำนาจสูงสุดจนถึงปัจจุบันด้วยคำพูดที่เป็นประวัติศาสตร์แห่งการโกหกในวันเริ่มต้นของผู้มีอำนาจสูงสุดว่า
“ข้าพเจ้าไม่มีความทะเยอทะยานทางการเมือง” แล้วนับแต่นั้นพลเอกเปรมก็รับตำแหน่งพิเศษในระบบพรรคการเมืองที่พรรคประชาธิปัตย์มอบให้
“หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงตลอดกาล” โดยการสมยอมของแกนนำในพรรคในฐานะคนใต้ด้วยกันและพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ดูดน้ำเลี้ยงทางการเมืองที่ทำให้เกิดสิทธิพิเศษที่ไม่ต้องร้องขอแต่ป๋าจัดให้มาโดยตลอด
*เมื่อรู้อย่างนี้จึงไม่แปลกใจใช่ไหมว่าทำไมเราจึงเห็นพลเอกเปรมเดินสายพูดเรื่องม้ากับจ๊อกกี้ให้นักเรียนนายร้อยทหารบก
นักเรียนนายเรือ และนักเรียนนายเรืออากาศ ฟังจนเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยมีภาพของพลเอกเปรมนำคณะรัฐประหารเข้าเฝ้าในยามวิกาล
และก็คงไม่แปลกใจที่เห็นคนสนิทพลเอกเปรมที่สุดเป็นนายกรัฐมนตรีคือ พลเอกสุรยุทธ์
จุลานนท์ (ไม่ต่างจากที่นายอานันทน์เป็นนายกฯ จากการรัฐประหารปี 2534 และปี 2535)
และคงไม่แปลกใจ....................และไม่แปลกใจที่เห็นกลยุทธ์การบีบให้นายสมัคร
สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากนายกรัฐมนตรีเพื่อเปิดทางให้แก่นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยวลีทางประวัติศาสตร์ของพลเอกเปรมอีกเช่นกันว่า
“ประเทศไทยโชคดีที่ได้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ”
*คงไม่แปลกใจแล้วใช่ไหมครับว่า
ทำไมพรรคประชาธิปัตย์จึงมีแนวคิดสนับสนุนการรัฐประหารฝังอยู่ใต้จิตสำนึกและชื่นชอบ
สว.แต่งตั้ง ก็เพราะพรรคประชาธิปัตย์ซึมซับแนวคิดและดูดน้ำเลี้ยงมาจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงมายาวนานจนชินกับรสชาติอันหวานชื่น
จากเวลากว่า 50 ปี
ภายใต้กลไกของระบอบเผด็จการทหารผสมผสานกับแนวคิดคุณธรรมของข้าราชการไม่ยอมรับการเกษียณอายุได้หล่อหลอมให้พลเอกเปรมตกผลึกแนวคิด
“เผด็จการอำมาตย์” ที่มีความแข็งแกร่งและสลับซับซ้อนยิ่งกว่าเผด็จการทหาร
แต่มีเนื้อหาเหมือนกันคือ “ไม่ชอบการเลือกตั้ง”
และได้สร้างเครือข่ายสมุนบริวารที่ชื่นชอบทฤษฎีการเมืองใหม่คือให้คนดีที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งขึ้นปกครองประเทศและใช้แนวคิดระบอบเผด็จการอำมาตย์สมบูรณ์แบบนี้ครอบงำการเมืองไทยอย่างเด่นชัดมานานกว่า
30 ปี จนเกิดกลุ่มต่อต้านระบบการเมืองเลือกตั้งอย่างเป็นระบบขึ้นและกลายเป็นวิกฤตเผชิญหน้าทางแนวคิดของคนสองกลุ่มทางการเมืองที่ยากจะปรองดองกันได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการเมืองยุคเปลี่ยนผ่านแนวคิดที่ต้องการคนดีตามแบบพลเอกเปรมยิ่งมีความเข้มข้นมากขึ้น
แต่โชคร้ายที่ประชาชนมีความคิดเกี่ยวกับคนดีตรงข้ามกับพลเอกเปรม
ดังนั้นคำถามข้างต้นที่ว่า
ทำไมวิกฤตพฤษภาทมิฬปี 2535 จึงจบ แต่วิกฤตพฤษภาทมิฬปี 2553 จึงไม่จบ
จึงอยู่ในสายลม แต่คำตอบมีชัดเจนแล้วในหัวใจประชาชน
และเป็นคำตอบในภาวะตาสว่างในโอกาสครบรอบ 3 ปี
ของการสังหารหมู่ประชาชนราชประสงค์ที่โหดร้าย
แต่ยังไม่มีแสงสว่างที่จะนำฆาตกรตัวจริงมาลงโทษได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น