จาก RED
POWER ฉบับที่ 36 เดือนพฤษภาคม 2556
โดย สุวิทย์ เลิศไกรเมธี
การขึ้นครองราชย์ของเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชโดยความเห็นชอบของรัฐสภา
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตในวันที่
9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แล้ว
ในวันเดียวกันนั้นรัฐสภาก็ได้จัดประชุมเพื่อเลือกพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์
พ.ศ. 2467 และประกอบด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา โดยในการประชุมรัฐสภา ครั้งที่ 1
ระเบียบวาระที่ 2 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม นายปรีดี
พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี
แจ้งให้สมาชิกรัฐสภาทราบข่าวการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล โดยมีใจความว่า[47]
ด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มประชวรตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน เป็นต้นมาด้วยอาการพระนาภีไม่เป็นปกติ
และทรงเหน็ดเหนื่อยไม่มีพระกำลัง อย่างไรก็ตาม
พระองค์ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเสด็จเยี่ยมราษฎรตามปรกติ
เมื่ออาการพระนาภียังไม่ทุเลาลงจึงต้องประทับรักษาพระองค์อยู่โดยมิได้เสด็จออกงานตามหมายกำหนดการ
ต่อมาวันที่ 9 มิถุนายน
เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตื่นพระบรรทมตอนเช้าเวลา 6 นาฬิกา
ได้เสวยพระโอสถแล้วเข้าห้องสรงซึ่งเป็นพระราชกิจประจำวัน
จากนั้นจึงเสด็จเข้าพระที่ ครั้นเวลาประมาณ 9 นาฬิกา “มหาดเล็กห้องพระบรรทมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นในพระที่นั่ง
จึงรีบวิ่งเข้าไปดูเห็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมอยู่บนพระที่ มีพระโลหิตไหลเปื้อนพระองค์และสวรรคตเสียแล้ว”
มหาดเล็กห้องบรรทมจึงไปกราบทูลให้สมเด็จพระราชชนนีทรงทราบแล้วเสด็จไปถวายบังคมพระบรมศพ
ต่อมาพระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ได้เข้าไปกราบถวายบังคม
และอธิบดีกรมตำรวจกับอธิบดีกรมการแพทย์ ถวายตรวจพระบรมศพและสอบสวน
ได้ความสันนิษฐานได้ว่าคงจะทรงจับคลำพระแสงปืนตามพระราชอัธยาศัยแล้วเกิดอุปัทวเหตุขึ้น
จากนั้นประธานรัฐสภาก็ขอให้สมาชิกรัฐสภายืนขึ้นไว้อาลัย
“ที่ประชุมยืนขึ้นไว้อาลัยเป็นเวลานานพอสมควร”[48]
หลังจากนั้นสมาชิกได้ซักถามรายละเอียดรัฐบาลเกี่ยวกับการสวรรคต
เช่น มีสิ่งใดหรือไม่ที่ชี้ชัดเจนว่าพระเจ้าอยู่หัวมิได้สวรรคตโดยพระองค์เอง
ลักษณะบาดแผลจากการชัณสูตรพลิกศพ เหตุผลและวิธีการสอบสวนสืบสวนคดี
การเข้าออกห้องบรรทมนอกจากพระญาติวงศ์แล้วมีใครเข้าออกได้อีกบ้าง เป็นต้น
โดยที่พล.ต.ท.พระรามอินทรา อธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งอยู่ในที่ประชุมด้วยเป็นผู้ทำหน้าที่ตอบคำถาม[49]
อย่างไรก็ตาม หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์
ปราโมช สมาชิกสภาผู้แทน(พระนคร) เห็นว่าไม่ควรจะพูดเรื่องนี้กันต่อเพราะ
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยและข้าพเจ้าเข้าใจว่ารัฐบาลคงจะต้องทำคำแถลงการณ์โดยละเอียดเมื่อทำการสืบสวนโดยละเอียดภายหลัง
เพราะฉะนั้นขอความกรุณาท่านสมาชิกทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ใช่เจ้าถ้อยหมอความ
ขออย่าให้มีการพิสูจน์หรือพลิกพระศพกันที่นี่ ขอความกรุณาอย่าซักถามเรื่องนี้
และพูดเรื่องอื่นกันต่อไป”[50]
เมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
เสนอดังนี้ นายวิลาศ โอสถานนท์ ประธานรัฐสภาจึงให้รัฐบาลแถลงเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ในวาระที่
3 ต่อไป
การประชุมในระเบียบวาระที่ 3
รัฐบาลแถลงเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์โดยนัยแห่งกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์
พระพุทธศักราช 2467 และขอความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา 9 แห่งรัฐธรรมนูญ[51] โดยนายทวี
บุณยเกตุ ผู้สั่งราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า ตามมาตรา 9
ของรัฐธรรมนูญได้บัญญัติว่าการสืบราชสมบัติ
ให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งตรงกับมาตรา 9 ข้อ
8 โดยนายทวีได้กล่าวถึงกฎมณเฑียรบาลข้อดังกล่าวให้สมาชิกฟังว่า “ข้อ 8
ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา
ท่านก็ให้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาที่ร่วมพระราชชนนีพระองค์ที่มีพระชนมายุถัดลงมาจากพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์” เมื่อมีความชัดเจนเช่นนี้ “รัฐบาลจึงเห็นว่าผู้ที่สมควรจะสืบราชสันตติวงศ์ควรได้แก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช
เพราะฉะนั้นรัฐบาลจึงขอเสนอและขอความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรา 9
ของรัฐธรรมนูญต่อไป”
ประธานรัฐสภาจึงขอมติจากที่ประชุมรัฐสภาว่า
“ข้าพเจ้าขอความเห็นของรัฐสภา ถ้าท่านผู้ใดเห็นชอบด้วย ขอได้โปรดยืนขึ้น” ผลปรากฏว่า“สมาชิกยืนขึ้นพร้อมเพรียงกัน”
เป็นอันว่ารัฐสภาลงมติให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อจากพระเชษฐาธิราช
โดย“มีผู้เห็นชอบเป็นเอกฉันท์”[52]
จากนั้นนายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี
จึงขอให้สมาชิกรัฐสภาถวายพระพรชัยขอให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจงทรงพระเจริญ โดย “ที่ประชุมได้ยืนขึ้นและเปล่งเสียงไชโย
3 ครั้ง”[53]
ต่อมาประธานรัฐสภาแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า
ตามมาตรา 10 และมาตรา 11 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489
กำหนดให้สมาชิกพฤฒสภาที่มีอายุสูงสุด 3 คน
เป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ชั่วคราว ซึ่งประกอบด้วย พระสุธรรมวินิจฉัย
เจ้าคุณนนท์ราชสุวัจน์ และนายสงวน จูฑะเตมีย์ มีอายุสูงตามลำดับ
และให้ทั้งสามยืนขึ้นแสดงตัวต่อที่ประชุมรัฐสภา[54]
จากนั้นนายปรีดี พนมยงค์
นายกรัฐมนตรีก็ได้แจ้งต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า
ตนได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีโดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลซึ่งบัดนี้พระองค์ได้เสด็จสวรรคตแล้ว
จึงได้ยื่นใบลาออกต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ชั่วคราว[55]
-----------------
การเลือกพระมหากษัตริย์สองครั้งแรกโดยการให้ความเห็นชอบของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภาผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น
ไม่ปรากฏความขัดแย้งรุนแรงหรือมีเหตุเภทภัยอันตรายถึงขั้นเสี่ยงที่จะเกิดความล่มจมต่อราชอาณาจักรอย่างที่เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้งเมื่อมีการผลัดแผ่นดินมาแต่ครั้งโบราณ
และเป็นที่น่าสังเกตว่าในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเรื่องการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
และการเลือกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่
(ตลอดจนการเลือกคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่างอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอภิปรายในเชิงตำหนิติเตียนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตลอดจนอภิปรายถึงคุณสมบัติด้านลบของพระองค์เจ้าอานันทมหิดล (รวมถึงคุณสมบัติด้านลบของผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วย)
ยังไม่นับว่ามีการแสดงจุดยืนของฝ่ายฝ่ายรัฐบาลว่าให้การสนับสนุนผู้ใดให้สืบราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ดังที่พระยาพหลพลพยุหเสนา
กล่าวว่า “ที่รัฐบาลเสนอพระองค์แรก คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล...”(ซึ่งสอดคล้องกับที่นายปรีดี
พนมยงค์
ได้กล่าวในเวลาต่อมาว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนพระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เพราะพระบิดาของพระองค์เจ้าอานันทมหิดล
“...ได้ทรงทำคุณประโยชน์แก่ราษฎร
และเป็นเจ้านายที่บำเพ็ญพระองค์เป็นนักประชาธิปไตย
เป็นที่เคารพรักใคร่ของราษฎรส่วนมาก
คณะรัฐมนตรีจึงเห็นชอบพร้อมกันเสนอสภาผู้แทนราษฎรขอความเห็นชอบ...”[56]) แม้ น.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์จะปฏิเสธในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่าเป็นการเสนอตามลำดับของกฎมณเฑียรบาลก็ตาม
แต่สิ่งที่หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์อธิบายนั้นอาจจะมีความถูกต้องเพียงบางส่วน
เพราะหากรัฐบาลไม่ประสงค์จะให้พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นเป็นกษัตริย์ก็ย่อมจะสามารถรวบรวมคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้มากพอที่จะลงคะแนนเสียงไม่เห็นชอบได้
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นอย่างน้อยที่สุดน่าจะเป็นการยืนยันได้ว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนด้วยการไม่คัดค้าน
ขณะที่การเลือกเจ้าฟ้าภูมิพลขึ้นครองราชย์นั้น
สมาชิกรัฐสภามิได้อภิปรายถึงคุณสมบัติของเจ้าฟ้าภูมิพลกันอย่างกว้างขวางเหมือนกรณีพระองค์เจ้าอานันทมหิดล
ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าขณะนั้นกำลังอยู่ในบรรยากาศของความโศกเศร้าจากกรณีสวรรคต
หรือไม่บรรดาผู้มีอำนาจในขณะนั้นอาจไม่ติดใจในคุณสมบัติของเจ้าฟ้าภูมิพลก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม
การที่รัฐบาลหรือสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งประชาชนทั่วไปจะแสดงจุดยืนในการสนับสนุนหรือคัดค้านผู้ใดถือเป็นเรื่องปกติธรรมดามากในระบอบประชาธิปไตย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอภิปรายและการลงมติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพราะคนเหล่านั้นในฐานะผู้แทนของประชาชนกำลังใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชนในการเลือกประมุขของรัฐ
ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าการเลือกพระมหากษัตริย์โดยรัฐสภาในปัจจุบัน
รัฐธรรมนูญกำหนดให้ทำได้เฉพาะกรณีที่พระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนมิได้ทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาทเอาไว้เท่านั้น
แต่ถ้าเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์องค์ก่อนหน้าทรงแต่งตั้งรัชทายาทไว้รัฐสภาก็มีหน้าที่เพียงรับทราบเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ว่าหากในอนาคต
รัฐธรรมนูญกำหนดให้การเลือกพระมหากษัตริย์เป็นอำนาจของรัฐสภาในทุกกรณี
ไม่ว่าพระมหาษัตริย์องค์ก่อนหน้าจะทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาทไว้ก่อนหรือไม่ก็ตาม
จะมีสมาชิกรัฐสภาคนใดกล้าอภิปรายถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะขึ้นสืบราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่อย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีตหรือไม่
*******************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น