ดอม ด่านตระกูล
ในยุคบรรพกาลคำว่า “ทาส” และคำว่า
“ชนชั้น” ยังไม่ปรากฏเป็นที่รู้จัก ต่อเมื่อการเสื่อมสลายของชุมชนบุพกาลพร้อมกับการก่อเกิดขึ้นของระบบกรรมสิทธิ์ปัจเจกชน
จากการผลิตเพียงเพื่อการดำรงชีพกลับขยายตัวกลายเป็นการผลิตเพื่อการค้าหรือเศรษฐกิจ
ทุกๆการงานไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ การกสิกรรม การหัตถกรรม ฯลฯ
ล้วนต้องการการผลิตเพิ่ม จึงจำเป็นต้องเสาะแสวงหาแรงงาน
ซึ่งเมื่อนั้นเองจึงได้เกิดการแบ่งชนชั้นกันขึ้นมาระหว่างทาส กับนายทาส ผู้ที่ด้อยกว่าทั้งในด้านอาวุธ ยุทโธปกรณ์ ทั้งทรัพย์สินจึงถูกล่ามตรวน ตีตราด้วยคำว่า
“ทาส” ทั้งๆที่เป็นมนุษย์มี 1 สมอง 2 มือเหมือนกัน แต่กลับถูกกระทำเสมือนว่าเป็นดั่งสัตว์เลี้ยงไว้ใช้งาน
ทั้งถูกเฆี่ยนตี ทารุณกรรม เพื่อสนองความต้องการของนายทาสในด้านการผลิตเพื่อให้ได้ปริมาณมากที่สุด
เมื่อ “ทาส” ถูกข่มเหงหนักเข้า
ใครเล่าจะไปทานทนไหวด้วยแรงผลักแห่งความทุกข์ยากตรากตรำ ความเจ็บช้ำน้ำใจสารพัด
ทาสจึงจำต้องลุกขึ้นสู้ การต่อสู้ทางชนชั้นจึงเริ่มอุบัติขึ้น
จนเมื่อถึงยุคเครื่องจักร อุตสาหกรรมเข้ามาแทนที่การผลิตด้วยมือ การเปิดโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ
และขยายการผลิตไปสู่เครื่องยังชีพชนิดต่างๆ
การแข่งขันทางธุรกิจทำให้ต้องการแรงงานเพิ่มยิ่งขึ้นเพื่อนำมาเป็นคนงานในโรงงาน
โดยแลกเปลี่ยนกับค่าจ้างแทนการเลี้ยงทาสไว้ในบ้าน
ประกอบกับมีการลุกฮือขึ้นสู้ของทาสหลายครั้ง ระบบนายทาสจึงถูกสั่นสะเทือนและพังทลายลงพร้อมๆกับระบบนายทุนได้เข้ามาแทนที่
หลังการปลดปล่อยทาสส่วนใหญ่ได้กลายมาเป็นคนงานในโรงงาน
ถึงแม้การเรียกขานจะเปลี่ยนไป รายละเอียดจะไม่เหมือนเดิม
นายทุนไม่อาจเฆี่ยนตีทารุณกรรมคนงานได้เหมือนเช่นนายทาสกระทำกับทาส
แต่เนื้อหาการกดขี่ระหว่างชนชั้นนั้นไม่แตกต่างไม่ว่าจะเป็นยุคนายทุนกับคนงาน
หรือยุคนายทาสกับทาส
ในเมืองไทยเราการเป็นทาสเท่ากับตกเป็นทรัพย์สินของผู้เป็นนาย
สามารถยกให้กันเป็นมรดกส่งต่อไปยังทายาทได้ ระบบข้าทาสมีมานานทั้งมาจากการสงครามกวาดต้อนเชลยศึกมาเป็นทาส
หรือทาสที่เกิดจากความยากจนจึงนำภรรยา นำลูกมาเป็นทาสเพื่อแลกเงิน ซึ่งถ้ามีเงินครบเมื่อไรก็สามารถมาไถ่ตัวคืนได้
ส่วนทาสในเรือนเบี้ยคือลูกที่เกิดจากแม่ที่เป็นทาสอยู่ในเรือนนั้น
เมื่อมีลูกต้องถือว่าเป็นสมบัติของผู้เป็นนายไปโดยปริยาย
และไม่สามารถเปลี่ยนนายหรือไถ่ถอนตัวเองได้ นอกจากว่านายทาสจะยกให้คนอื่นไป เมืองไทยในอดีต “ทาส”
เป็นกำลังสำคัญในการเพาะปลูก และกำลังในการต่อสู้ยามศึกสงคราม ฉะนั้นทั้งกษัตริย์
และขุนนางจึงต้องมีข้าทาสบริวารไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ในบางครั้งการขยายขอบเขตของเมืองทำได้โดยการเริ่มสร้างวัดขึ้นก่อนเพื่อให้เป็นศุนย์รวมใจของพลเมือง
จากนั้นกษัตริย์จะให้ขุนนางจัดส่งข้าทาสบริวารที่เกณฑ์ได้ไปหักร้างถางพงเป็นกำลังในการสร้างเมือง
และเพาะปลูก ซึ่งเมื่อเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตก็ต้องส่งให้พระมหากษัตริย์
ส่วน “ไพร่” แม้ไม่ใช่ทาส แต่ก็ไม่สามารถเลือกใช้ชีวิตตามความพอใจอย่างอิสระได้ เพราะเมื่อถึงวัยประมาณ 18-20 ปี ต้องลงทะเบียนขึ้นสังกัดมูลนาย ด้วยการสักเป็นสัญลักษณ์ตามร่างกาย เรียกว่า “การสักเลก” ไพร่ชายจะถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก ส่วนไพร่หญิงให้ทำงานเบากว่า ไพร่แต่ละคนจะต้องทำงานตามสังกัดมูลนายไปจนอายุ 60 ปี หรือมีลูกชายเข้าเป็นไพร่แล้ว 3 คน วิธีการควบคุมไพร่อย่างเป็นระบบปรากฏชัดในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ โดยแบ่งไพร่เป็น 2 ประเภท คือไพร่หลวง กับไพร่สม ในหนังสือ Discovering Autthaya,2003 อธิบายไว้ดังนี้
จะเห็นได้ว่า
ไพร่กับทาสก็ล้วนถูกบังคับไม่แตกต่างอะไรกันมากนัก ทั้ง ไพร่หลวง
ที่ต้องเข้าเวรทำงานรับใช้ทางการก็ไม่ได้ค่าตอบแทนใดๆ
ทั้งยังต้องเสียค่าเดินทางมาเอง
ถือว่ารัฐขูดรีดกินแรงงานของประชากรไปเปล่าๆโดยไม่มีอะไรตอบแทนทั้งสิ้น
ระบบไพร่ ทาส
เป็นระบบที่รัฐไทยในอดีตใช้เพื่อการควบคุมกำลังคน เกณฑ์แรงงาน และถ่วงดุลอำนาจ เป็นฐานกำลังทางการผลิตและทางการทหาร
การจัดระบบลงทะเบียนไพร่ ทาสก็เพื่อควบคุมกำลังคนไว้ให้มีประสิทธิภาพ และกระจายผู้คนมิให้กระจุกอยู่ในที่แห่งเดียวกันมากไป
เพราะอาจนำอันตรายมาสู่ชนชั้นปกครองได้ ต่อเมื่อการเปลี่ยนแปลงในประเทศต่างๆ
การปลดปล่อยทาสทั้งในยุโรปและอเมริกา มาจนถึงการปฏิวัติในรัสเซียพ.ศ.2448 หรือค.ศ.1905
ที่ประเทศรัสเซียตกอยู่ในสภาพแร้นแค้น ขาดแคลน และประชาชนไม่พอใจสภาพที่ถูกกดขี่
ฝ่ายกรรมกรต้องทำงานหนักโดยได้รับค่าตอบแทนน้อยมาก ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดการเดินขบวนภายใต้การนำของหลวงพ่อกาปอง
ที่เชื่อมั่นว่าทหารจะไม่ยิงพระ เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมือง
เรียกร้องรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายลดชั่วโมงการทำงาน และแก้ไขความทุกข์ยากของราษฎร
แต่ทหารกลับระดมยิงประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "วันอาทิตย์นองเลือด" (Bloody Sunday) ประชาชนจึงเริ่มเป็นปฏิปักษ์ต่อระบบซาร์
และทำให้การจลาจลแผ่ขยายขึ้น เป็นปีเดียวกันกับที่ในประเทศไทยก็มีการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงระบบไพร่
ทาส โดยในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการตราพระราชบัญญัติยกเลิกการมีทาส
มีระบบการเกณฑ์ทหารแทนการลงทะเบียน ไพร่หลวง
ไพร่สม ระบบไพร่และทาสจึงถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
ปัจจุบันในประเทศไทย
(พ.ศ.2556) ถึงแม้โดยการรับรู้ทั่วไประบบไพร่ ทาสหมดสิ้นไปแล้วก็จริง
แต่ก็เช่นเดียวกันกับในประเทศหลายๆประเทศทั่วโลกที่ยังมีการต่อสู้ทางชนชั้นกันอยู่เช่นเดียวกันกับ
ระบบนายทาสและทาสในอดีต เพราะทั้งสองชนชั้นนี้มีผลประโยชน์ที่แตกต่างกันชัดเจนจึงไม่สามารถปรองดองกันได้
ฝ่ายหนึ่งต้องการกดขี่ อีกฝ่ายที่ถูกกดขี่ก็ย่อมต้องต่อสู้เป็นธรรมดา แต่การกดขี่นั้นอาจไม่ใช่การทารุณ
ข่มเหง เฆี่ยนตีกันอย่างโจ่งแจ้งเช่นในยุคทาส แต่มาในรูปแบบที่แนบเนียนยิ่งขึ้น
เช่นในรูปของกฎหมาย ซึ่งผู้ออกกฎหมายก็คือชนชั้นปกครองที่ร่วมมือกับนายทุน
อำนาจรัฐบวกกับอำนาจเงินออกกฎหมายเพื่อควบคุมพลเมืองให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ชนชั้นปกครองอ้างว่า
“เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ” และออกกฎหมายเพื่อเอื้อต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชนชั้นนายทุน
ส่วนชนชั้นกรรมกร แรงงานนั้นต้องต่อสู้แทบเลือดตากระเด็นกว่าจะได้กฎหมายคุ้มครองสวัสดิภาพแรงงาน
หรือแค่การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้เพียงพอแก่การยังชีพ ทั้งยังต้องถูกบังคับให้คิดในสิ่งเหมือนๆกัน
ใครคิดต่าง ถึงแม้ยังไม่ได้มีการลงมือก่อการร้าย ใช้อาวุธกระทำการใดๆ
แต่แค่นั้นรัฐก็ถือว่า “เป็นภัย” ถึงยกเลิกระบบไพร่-ทาสไปตั้งแต่พ.ศ. 2448 แล้ว
แต่ประชาชนคนไทยยังต้องถูกบังคับขืนใจเหมือนเช่นยุคทาส
สิ่งหนึ่งที่นักต่อสู้ทุกคนต้องเรียนรู้คือ
รูปแบบการต่อสู้ทางชนชั้นขั้นมูลฐานที่จะทำให้ได้มาซึ่งสิทธิ
เสรีภาพที่เท่าเทียมของฝ่ายที่ถูกกดขี่คือ ต้องต่อสู้ให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองเพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของประชาชนขึ้นก่อน
จึงจะสามารถปลดปล่อยประชาชนให้พ้นจากการถูกกดขี่ และยกเลิกกฎหมายทาสได้ ตราบใดที่อำนาจทางการเมืองยังไม่เป็นของประชาชนฝ่ายที่ถูกกดขี่อย่างสมบูรณ์แบบ
ตราบนั้นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรย่อมทำได้ยากเย็น การต่อสู้อาจยืดเยื้อเยื้อยาวนาน
หรืออาจรวดเร็วฉับพลันเราไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตการต่อสู้จะเป็นในรูปแบบใด
แต่เชื่อแน่ว่าระบบไพร่-ทาสที่ยังคงแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ในสังคมไทย
ต้องหมดไปสักวันด้วยจิตใจและพลังการต่อสู้ของมวลชนที่รวมเป็นหนึ่ง และนับวันจะยิ่งก้าวหน้าและแข็งแกร่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น