นายทหารเอก กรุงธน
เป็นนายกฯทั้งทีไม่ใช่มีแต่งานที่ข้าราชการใส่สีตีไข่ใส่พานมาให้
ถ้ามีแต่งานง่ายๆทำได้สบายๆใครๆก็จะเป็นนายกฯกันได้ทุกคน
วันนี้ศรัทธาของคนเสื้อแดงที่อยากจะเห็นนายกฯสำแดงฤทธิ์เดชออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ความยุติธรรมกับคนเสื้อแดงที่ถูกขังลืมออกจากคุกและยุติปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองเป็นเรื่องที่ไม่ต่างอะไรกับมะม่วงสุกคาต้น
ถ้าวันนี้นายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ปลิดเอาลงมากินก็จะกลายเป็นสินทรัพย์ทางการเมืองที่เสียเปล่าแถมยังเป็นอันตรายกับตัวท่านเองเพราะนายกฯยังต้องอาศัยกินอยู่หลับนอนใต้ต้นมะม่วง
ระวังมะม่วงมันล่วงหล่นใส่หัว
ไม่เฉพาะแต่คนที่มีหัวใจสีแดงเท่านั้นที่อยากเห็นประเทศยุติความขัดแย้ง
แต่คนไทยทั้งแผ่นดินก็เห็นตรงกัน
ยกเว้นแต่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงเท่านั้นที่ยังอาฆาตแค้นจึงแค่นสร้างสถานการณ์ให้ดูเสมือนว่าคนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาไม่ต้องการเรื่อง
“ปรองดอง”
การเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งทีก็จะต้องมีวิกฤติเข้ามาสักครั้งเพื่อเป็นเครื่องทดสอบนายกรัฐมนตรีว่ามีความเป็นผู้นำอย่างแท้จริงของประชาชนหรือจะเป็นเพียงนายกรัฐมนตรีตามกฎหมาย,
โดยประชาชนจะจับจ้องเฝ้าดูท่านว่าจะตัดสินใจอย่างไรในภาวะวิกฤตินั้น
ถ้าเป็นผู้นำที่แท้จริงด้วยจิตวิญญาณแม้ตัวเองจะต้องเสี่ยงภัยอันตรายก็จำต้องตัดสินใจเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน
ความเป็นนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายกับความเป็นผู้นำในหัวใจประชาชนต่างกันตรงนี้
ปี ค.ศ.1962
(พ.ศ.2505) เมื่อครั้งสหรัฐอเมริกาเผชิญหน้ากับสหภาพโซเวียต รัสเซียในช่วงที่โลกยังอยู่ในยุคสงครามเย็น
อยู่ๆสหภาพโซเวียตก็จะขนเอาขีปนาวุธมาติดตั้งที่ประเทศคิวบาที่จะจ่อคอหอยสหรัฐอเมริกา
ตอนนั้นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาชื่อจอห์น เอฟ. เคนเนดี ต้องคิดหนักเพราะถ้าปล่อยให้คิวบาติดตั้งขีปนาวุธได้
คนอเมริกันก็หมดศรัทธาต่อความเป็นผู้นำของเคนเนดี แต่หากประกาศโจมตีทันทีตัวเคนเนดีก็ต้องเสี่ยงภัยต่อการเป็นผู้ก่อสงครามโลก
ครั้นจะใช้วิธีการเจรจายืดเวลาเพื่อแทงกั๊กซึ่งดูเหมือนจะสบายจากการร้องเพลงรอแต่ก็จะยิ่งสร้างอันตรายให้แก่อเมริกามากขึ้นเพราะโซเวียตกำลังนำเรือบรรทุกขีปนาวุธตรงดิ่งเข้าคิวบาแล้ว
และโซเวียตในยุคนั้นก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นอะไรที่พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง (ก็จะเหมือนการเจรจากับพรรคประชาธิปัตย์วันนี้ที่พูดไม่ค่อยจะรู้เรื่อง
และไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใดซึ่งมีแต่จะลุกลามไปในทางร้าย) สุดท้ายประธานาธิบดีเคนเนดีได้ไตร่ตรองแล้วว่าแม้จะเป็นสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายเพราะคิวบาก็เป็นรัฐเอกราชที่มีสิทธิจะทำสนธิสัญญาร่วมมือทางทหารกับรัสเซียได้แต่การกระทำดังกล่าวเป็นอันตรายต่อรัฐอเมริกา
ดังนั้นประธานาธิบดีเคนเนดีจึงประกาศเปรี้ยงออกมาเลยว่าถ้ารัสเซียยังไม่หยุดดำเนินการและยังจะขับเคลื่อนขีปนาวุธเข้าไปคิวบาก็สั่งให้ยิงทำลายทันทีแม้จะเกิดสงครามโลกก็ให้เกิด
ผลแห่งคำสั่งของประธานาธิบดีเคนเนดีได้รับเสียงปรบมือจากคนอเมริกันและคนทั้งโลกและนำอเมริกาปลอดภัยมาถึงทุกวันนี้
กลับมาใกล้ตัวเมืองไทยสักหน่อยในยุคหลังเหตุการณ์เข่นฆ่านักศึกษาที่ธรรมศาสตร์
6 ตุลาคม 2519 อันหฤโหดในขณะนั้นพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นผู้บัญชาการทหารบกต้องการจะสร้างความปรองดองซึ่งพลเอกเกรียงศักดิ์รู้ทั้งรู้ว่าถ้าจะจัดการปรองดองให้บ้านเมืองสงบให้นักศึกษาลูกหลานไทยที่หนีเข้าป่ากลับคืนสู่เหย้ามาเรียนหนังสือตามปกติได้นั้นเป็นเรื่องยากที่ระบอบอำมาตย์จะยินยอม
และขณะนั้นอยู่ในอำนาจของรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร (องคมนตรีในปัจจุบัน)
ซึ่งหากจะดำเนินการให้เกิดการปรองดองจะต้องตีฝ่าด่านหลายขั้นและจะหาคนสนับสนุนเป็นตัวเป็นตนเป็นกลุ่มเป็นก้อนก็ไม่มีในขณะนั้น
(ไม่เหมือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ วันนี้ที่มีมิตรเสื้อแดงเป็นกำแพงเหล็กหนุนหลังให้)
แต่พลเอกเกรียงศักดิ์ ก็ตัดสินใจทำรัฐประหารล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร
แล้วหลังจากนั้นก็ประกาศนิรโทษกรรมให้กับนักศึกษาทั้งหมดที่หนีเข้าป่าให้กลับคืนสู่เหย้าได้,
แม้วันนี้พลเอกเกรียงศักดิ์จะลาโลกไปแล้ว
แต่เกียรติประวัติยังมีให้คนรุ่นหลังสรรเสริญ
เอาตัวอย่างผู้นำไทยอีกสักคนไหม?
พลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ รู้ทั้งรู้ว่าระบอบอำมาตย์หวาดกลัว เวียดนามที่เป็นคอมมิวนิสต์จะบุกโจมตีไทย
แต่ท่านกลับประกาศนโยบาย “แปรสนามรบเป็นสนามการค้า” และแถมยังออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พลตรีมนูญ รูปขจร (ยศในขณะนั้นต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น
มนูญกฤต รูปขจร ได้รับนิรโทษกรรมแล้วยังได้ยศเพิ่มเป็นพลเอก) ทั้งๆที่มีข้อหาลอบปลงพระชนม์
ติดตัว(เป็นคดีที่หนักกว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอีกนะ) แม้ต่อมาพลเอกชาติชายจะถูกรัฐประหารด้วยความไม่พอใจที่เป็นนายกฯ
แต่ไม่ยอมรับการนำของระบอบอำมาตย์ แต่ผลงานท่านก็มีอย่างเด่นชัดและแม้จนตายก็ยังได้รับเกียรติยศในฐานะผู้สร้างสันติภาพในอินโดจีนด้วยวลีทองของนโยบายว่า
“แปรสนามรบเป็นสนามการค้า”
ซึ่งต่างจาก ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ยอมตัดสินใจที่จะทำอะไรให้เด็ดขาดเพื่อจะรักษาสถานการณ์ไว้ไม่ให้คนไทยฆ่ากัน
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีคนใหญ่คนโตบางคนกำลังจ้องจะเข่นฆ่านักศึกษาอย่างกวาดล้าง
แต่ด้วยความเกรงกลัวและไม่กล้าตัดสินใจจนนำไปสู่การเข่นฆ่านักศึกษาอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเมืองไทยในเหตุการณ์
6 ตุลาคม 2519 แล้ว ม.ร.ว.เสนีย์ ก็ถูกรัฐประหารอย่างทุลักทุเลจึงเป็นเสมือนการตายทางการเมืองโดยไม่มีโรงศพจะบรรจุให้
การเมืองไทยวันนี้คล้ายกับวันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์
6 ตุลาคม 2519 นายกฯยิ่งลักษณ์จะทำอย่างไร? หากจะปล่อยเหตุการณ์เลื่อนไหลไปเรื่อยๆโดยไม่ตัดสินใจ
คนเสื้อแดงที่ถูกขังลืมก็จะขับเคลื่อนกดดันเพราะทนเห็นคนเสื้อเหลืองเป็นนักโทษที่ถูกลืมขังไม่ได้
วันนี้ถ้านายกฯไม่รีบแก้สถานการณ์
เหตุการณ์จะเดินตามรอย 6 ตุลา 2519 ส่วนจะเป็นระดับน้องหรือระดับพี่ 6 ตุลา
ตรงนี้ยังไม่ชัด
หากวันนี้นายกฯยิ่งลักษณ์
ใช้ความกล้าหาญรีบจัดการอย่างฉับไวออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมสร้างความปรองดองของคนในชาติ
ยุติความขัดแย้ง และเรียกร้องความสามัคคีของคนในชาติถวายให้แก่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสที่พระองค์ทรงพระเจริญพระชนม์มายุ
ประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศจะแซ่ซ้องสรรเสริญชื่นชมท่านว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำในหัวใจของประชาชนจริงๆ
อะไรที่ยืนยันว่าประชาชนจะพอใจและเฝ้ารอการปรองดอง
?
คะแนนเสียงของประชาชนที่เลือกให้พรรคเพื่อไทยเป็นเสียงข้างมาก
265 เสียง เกินครึ่งของสภาอันเป็นผลมาจากการนำเสนอนโยบายในการเลือกตั้งว่า
พรรคเพื่อไทยจะนำการสร้างความปรองดองของคนในชาติคือคำตอบ
ชื่อของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ในฐานะผู้นำทางการเมืองไทยที่ยิ่งใหญ่เพียงแค่พลิกฝ่ามือ
ชะตาชีวิตทางการเมืองของนายกฯยิ่งลักษณ์ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น