อันตรายของรัฐธรรมนูญเผด็จการ ปี 2550 ต่อสถาบันตุลาการ
facebook Sunai Chulpongsatorn
การอภิปรายของกระผมในสภาเมื่อวานนี้
(1 เมษายน 2556)
เป็นการแสดงความห่วงใยต่อสถาบันตุลาการที่สืบทอดมายาวนาน
แต่บรรยากาศในสภาเกิดการประท้วงตีรวนของประชาธิปัตย์อย่างต่อเนื่องทั้งวันตั้งแต่เริ่มต้นเปิดประชุมสภาจนสิ้นสุดการประชุมสภาทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน
ดังนั้นเพื่อความเข้าใจร่วมกันต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีเจตนาต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยและรักษาสถาบันตุลาการไว้กระผมจึงขอโอกาสชี้แจงให้สาธารณชนทราบ
ดังต่อไปนี้
ในอดีตเคยมีการแต่งตั้ง ส.ว. โดยรัฐบาล
แต่รัฐธรรมนูญปี 50 กลับให้ศาลทั้งสาม คือ ตัวแทนศาลฎีกา
ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระเป็นผู้แต่งตั้ง สมาชิกวุฒิสภา โดยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการปี
50 นี้ ดังจะเห็นได้จากมาตรา 111 และ 113
และเป็นที่น่าสังเกตว่าองค์กรอิสระเกือบทั้งหมดเป็นคนที่มาจากศาล
เมื่อเป็นอย่างนี้จึงเท่ากับเป็นการดึงศาลเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรงและให้มีฐานะเหนือสถาบันนิติบัญญัติและสถาบันบริหารซึ่งไม่เคยมีมาก่อน
ในทางปฏิบัติที่เป็นจริงศาลจะมีจริยธรรมทางตุลาการที่ควบคุมไม่ให้ผู้พิพากษาไปคบกับบุคคลภายนอกเพื่อป้องกันการติดสินบน
ซึ่งจะทำให้บัลลังก์ของศาลเอนเอียงได้ ดังนั้นศาลที่เข้ามาสู่อำนาจการเมืองจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนดี
คนไม่ดี เพื่อจะเลือกเข้ามาเป็น ส.ว. จึงเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสังคมว่า
คณะผู้เลือกสรร ส.ว.เป็นเพียงหุ่นเชิดของบุคคลบางคนที่แอบแฝงอำนาจอยู่ในรัฐธรรมนูญนี้
ด้วยเหตุนี้ในสภากระผมจึงต้องวิเคราะห์ที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการนี้ว่ามาจากการรัฐประหารเมื่อ
19 กันยา 2549 อย่างไร
และมีผู้ใหญ่ของศาลเข้าไปร่วมวางแผนการรัฐประหารด้วยจึงทำให้เกิดความเสื่อมเสียมาถึงสถาบันตุลาการทุกวันนี้
และได้กลายเป็นชนวนที่พรรคประชาธิปัตย์ฉวยเหตุการณ์นี้มาทำการประท้วงซ้ำซากในสภา
และเลยเถิดมาเรียกร้องให้กระผมถอนคำพูดเกี่ยวกับประธานศาลฎีกาและศาลชั้นผู้ใหญ่บางคนที่ได้นั่งร่วมวางแผนการรัฐประหาร
เพื่อจะกล่าวหาว่าผมกล่าวเท็จ ในเบื้องต้นกระผมไม่ยอมถอนคำพูด แต่ได้รับการขอร้องจากประธานสภาหลายครั้ง
ดังนั้นเพื่อให้บรรยากาศการประชุมสภาเดินหน้าต่อไปได้สุดท้ายกระผมจึงยอมถอน
แต่แม้ถอนแล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ยอมหยุดก่อกวนตีรวนในสภา
ดังนั้นเพื่อเป็นการยืนยันถึงประวัติศาสตร์รอยต่อที่สำคัญนี้กระผมขอแถลงความเป็นจริงดังนี้
1. ข้อมูลที่ศาลชั้นผู้ใหญ่ทั้ง
ศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุด ได้ร่วมนั่งวางแผนการรัฐประหารเป็นข้อมูลจากคำสัมภาษณ์ของ
พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ที่ระบุทั้งชื่อและระบุทั้งตำแหน่งและระบุทั้งสถานที่
ทั้งยืนยันด้วยว่าตัวท่านเองก็นั่งร่วมอยู่ในที่ประชุมนั้นด้วย เหตุการณ์ผ่านมาแล้วกว่า
5 ปี แต่ศาลชั้นผู้ใหญ่ที่ถูกระบุชื่อก็ไม่เคยฟ้อง
พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี เลย
2. หลังจากการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 แล้ว ศาลชั้นผู้ใหญ่บางคนที่ถูกระบุชื่อก็เข้าไปเป็นคณะรัฐมนตรีในคณะรัฐประหาร
และหลายคนก็ไปเป็นผู้บริหารในกลุ่มของคณะรัฐประหารและเกิดปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดมาก่อนคือ
มีผู้พิพากษาอีกหลายคนเข้าไปเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาร่างรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าไปอยู่ในองค์กรอิสระที่มีอำนาจสูงสุดเต็มไปหมด
3. ในบรรดาศาลที่เข้ามาอยู่ในคณะทำงานของคณะรัฐประหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผู้พิพากษา
3 ท่าน เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการปี
50 โดยเขียนให้อำนาจสูงสุดไปอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเพื่อจะควบคุมสภาและรัฐบาล
และผู้พิพากษา 3 ท่านนี้ หลังจากร่างรัฐธรรมนูญเสร็จและผ่านสภานิติบัญญัติแล้วก็กระโดดไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและตัดสินคดีที่ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นจนถึงวันนี้
เมื่อความเป็นจริงของเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว
เราจึงเห็นความมัวหมองของสถาบันตุลาการที่ประชาชนเริ่มหมดความเชื่อมั่นมากขึ้นทุกที
คนที่รักชาติบ้านเมืองจะนิ่งดูดายปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้เป็นต่อไปไม่ได้
จึงขอแจ้งต่อสาธารณชนไว้ ณ ที่นี้ว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์และ ส.ว.
แต่งตั้งกลุ่ม 40 ออกมาขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกวิถีทางรวมถึงทำการขัดขวางนอกกติกาต่างๆ
นาๆ เช่นนี้กำลังทำลายสถาบันตุลาการโดยรู้เท่าไม่ถึงกาล
ซึ่งก็คือการทำลายระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นั่นเอง ดังนั้นในอนาคตหากบ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางร้ายพรรคประชาธิปัตย์และคณะผู้ยึดอำนาจ
19 กันยา จะต้องร่วมกันรับผิดชอบ
ส.ส.ดร.สุนัย จุลพงศธร
2 เมษายน 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น