Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

ศาลในฐานะกลไกของระบอบ...?

รายงานพิเศษ นิติราษฎร์วินาศกรรมระบบตุลาการ RED POWER ฉบับที่ 35 เดือนเมษายน 2556

 
 

17 มี.ค. ที่ผ่านมา กลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์จัดอภิปรายทางวิชาการว่าด้วย “ศาลกับความยุติธรรมในสังคมไทย” โดยช่วงหนึ่งเป็นการอภิปรายเรื่อง “ศาลในฐานะกลไกของระบอบ...? Red Power นำบางส่วนมานำเสนอผู้อ่านซึ่งเป็นช่วงที่อภิปรายโดย ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ดังต่อไปนี้

เป้าหมายในวันนี้อยู่ที่ผู้พิพากษาที่มีปัญหาในทางอุดมการณ์ในการใช้และตีความกฎหมายว่าขัดหลักประชาธิปไตยหรือไม่ ปัญหาสำคัญของการใช้และตีความ ม.112 ว่าทำไมเกิดแนวตีความแบบนี้ ทำไมพิพากษาแบบนี้ โดยเฉพาะหลัง 19 ก.ย. 49 อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ศาลมีบทบาททางการเมืองมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าจะตอบคำถามนี้ต้องมองย้อนไปในอดีต มองภาพรวมการศึกษากฎหมายทั้งระบบ

บทบาทศาลหลัง 19 กันยา จะพบคำพิพากษา/คำวินิจฉัยจำนวนหนึ่งทุกระบบศาลที่ถูกวิจารณ์แบบไม่เคยเป็นมาก่อน ทำไมเป็นเช่นนั้น ไทยผ่านรัฐประหารหลายครั้งแต่ไม่มีครั้งใดที่กระบวนการยุติธรรมเชื่อมโยงกับรัฐประหารเหมือนกับ19 ก.ย. เพราะโลกเปลี่ยนไป การใช้กำลังทหารอย่างเดียวไม่อาจบรรลุผลและเป็นที่ยอมรับได้ องค์กรที่ทรงอำนาจอย่างศาลจึงต้องรับภารกิจ ถูกนำมาเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงเชิงอำนาจ ศาลอ้างว่าคณะรัฐประหารยึดอำนาจเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ศาลจึงต้องตัดสินคดีไปตามนั้น แต่เมื่อคณะรัฐประหารหมออำนาจ ศาลสามารถปฏิเสธกฎหมายของคณะรัฐประหารได้แต่ก็ไม่ทำ

เป็นปัญหาระดับอุดมการณ์ในวงการกฎหมาย วิชาชีพกฎหมาย โดยเฉพาะในหมู่ผู้พิพากษาตุลาการ ในช่วงปฏิวัติ 2475 มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร แต่อำนาจตุลาการแทบไม่ถูกแตะต้อง ระบอบใหม่รับโครงสร้างตุลาการเดิมมาโดยไม่เปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับประชาธิปไตย ทำไมไม่มีคนสนใจ เพราะบทบาทศาลจำกัดอยู่ที่การตัดสินข้อคดีระหว่างเอกชน ไม่ได้รับความสนใจจากประชาชน ศาลจึงไม่ถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง เป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากในวงการกฎหมาย การวิจารณ์ศาลเกรงจะเป็นการดูหมิ่น ศาลจะอ้างว่าตัดสินในพระปรมาภิไธย ทำให้เข้าใจผิดว่านี่คือการตัดสินของพระมหากษัตริย์ 

มีเหตุผลทางวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในผู้พิพากษาตุลาการ ในคำร้องหรือคำฟ้องของทนายที่ยื่นต่อศาลจะมีคำลงท้ายว่า ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ซึ่งเป็นคำที่รับต่อๆมา การให้ความยุติธรรมจึงเป็นเรื่อง“แล้วแต่จะโปรด” สิ่งนี้ส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนในวงการตุลาการ ควรเปลี่ยนเป็น จึงเรียนมาเพื่อพิพากษาไปตามกฎหมายและความยุติธรรม ศาลเป็นเพียงองค์กรหนึ่งที่ใช้อำนาจของประชาชน ถ้าประชาชนไม่ให้อำนาจ ศาลก็จะไม่มีสิทธิตัดสินคดี แต่ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เป็นที่ตระหนักในหมู่ผู้พิพากษา

ในอดีตคนที่สอนกฎหมายมักคือผู้พิพากษา ซึ่งถ่ายทอดทรรศนะ วิธีคิด แบบตุลาการเป็นใหญ่มาสู่วงวิชาการ จากรู่นสู่รุ่น เมื่อมีการวิจารณ์ศาลหรือผู้พิพากษา ก็จะถูกมองว่าไม่มีครู เป็นคนเนรคุณ เขาไม่เข้าใจสภาพการใช้อำนาจว่าเป็นการกล่อมเกลาลงไปในสำนึกของคน

เวลาพูดว่าศาลตัดสินไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ทำไมไม่ตีความแบบนี้ คำวิจารณ์ล้วนมีเหตุผลแต่ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงแนวทางของการใช้กฎหมายของผู้พิพากษา ตราบเท่าที่อุดมการณ์ที่กำกับใช้กฎหมายและตีความกฎหมายแบบนี้ยังอยู่ ข้อเรียกร้องแก้ไข ม. 112  เป็นแค่การบรรเทาปัญหานี้ลง แม้แต่ข้อเรียกร้องยกเลิก  เพราะหากอุดมการณ์การตีความกฎหมายไม่เปลี่ยน ศาลถูกกำกับด้วยอุดมการณ์ชนิดใดก็จะใช้และย่อมตีความกฎหมายเพื่อรับใช้อุดมการณ์ชนิดนั้น การแก้ปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะไม่ใช่แค่เปลี่ยนโครงสร้างกฎหมาย แต่ต้องทำให้อุดมการณ์ประชาธิปไตยฝังลงในสำนึกของผู้ใช้และผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย มิฉะนั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพการใช้และตีความกฎหมายได้

บางคนบอกว่าไม่ใช่แค่ปัญหาเชิงอุดมการณ์แต่เป็นเรื่องความรู้ความสามารถของผู้พิพากษาตุลาการด้วย มีวิธีคิดว่าผู้พิพากษาตุลาการเป็นชนชั้นบริสุทธิ์ ไม่ควรถูกตรวจสอบโดยคนที่ไม่มีความเชี่ยวชาญทางกฎหมาย อดีตผู้พิพากษาที่เป็นกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่าผู้พิพากษาตุลาการเกือบจะเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องถูกตรวจสอบ คล้ายอดีตนายทหารคนหนึ่งที่ร่วมรัฐประหาร 49 เมื่อจะมีการตรวจสอบทรัพย์สิน ก็บอกว่า จะมาตรวจสอบอะไร  ท่านเป็นวีรบุรุษ นี่คือวีธีคิดของคนในโครงสร้างปัจจุบัน

แล้วจะออกจากโครงสร้างแบบนี้อย่างไร การพยายามแก้ไขกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญแต่ยังไม่เพียงพอ การเปลี่ยนความคิด วัฒนธรรม เป็นสิ่งที่จำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ เปลี่ยนให้ผู้พิพากษามีจิตใจเป็นประชาธิปไตย เคารพหลักนิติรัฐ เคารพกฎหมายที่ยุติธรรม เขาก็สามารถใช้ศิลปะตีความและใช้กฎหมายเพื่ออำนวยความยุตํธรรมให้ประชาชนได้แม้กฎหมายอาจจะบกพร่อง แต่ถ้าเปลี่ยนสิ่งนี้ไม่ได้แม้ กฎหมายจะดียังไงก็ตาม เขาก็สามารถใช้กฎหมายไปในทางที่ไม่สอดคล้องกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยและนิติรัฐได้ ระยะยาวต้องแก้ที่อุดมการณ์ เปลี่ยนโครงสร้างองค์กรตุลาการให้ยึดโยงประชาชน ให้รู้สึกว่าอำนาจที่ใช้เป็นอำนาจของประชาชน เมื่อนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมภายในองค์กร มีการเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติในองค์กร คนรุ่นใหม่ๆ ก็จะซึมซาบวิธีแบบใหม่ มีความคิดรับใช้อุดมการณ์ประชาธิปไตย รับใช้นิติรัฐ

          ในแวดวงนิติศาสตร์มีทฤษฎีที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของกษัตริย์กับประชาชนร่วมกันเมื่อมีรัฐประหาร อำนาจอธิปไตยจะกลับคืนสู่กษัตริย์เพียงคนเดียวทันที ทฤษฎีนี้มีพลังครอบงำ ทำให้อุดมการณ์การใช้และตีความกฎหมายไทยเป็นอย่างที่เห็น การถอดรื้ออุดมการณ์เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าต้องการประชาธิปไตย ให้ผู้พิพากษาเกาะเกี่ยวราษฎร และตัดสินคดีตามกรอบประชาธิปไตย เราไม่มีทางเลือกอื่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น