ข่าวเจาะลึก
จาก REDPOWER ฉบับ
25 เดือน เมษายน 55
ประวิช
รัตนเพียร ด๊อกเตอร์หนุ่มมาดนิ่มที่มีอดีตงดงาม
แต่อนาคตยืนยันได้ว่าน่าจะอยู่ได้ไม่งามและตายก็จะไม่มีใครประกาศนามให้
จากอดีตเป็นเพื่อนสนิท เรียนเซนต์คาเบรียลห้องเดียวกับ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ (หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาดั้งเดิมตัวจริงศิษย์น้าชาติ)
เคยเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงและล่าสุดก่อนที่จะเปี๊ยนไป๋
พ.ต.ท.ทักษิณแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนทางการค้าแต่อยู่ๆคนในแวดวงการเมืองก็มาเห็นชื่อเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภาในฐานะหัวหอกออกมาต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เส้นทางของกระทาชายนายนี้เป็นอย่างไรให้ลองตามมาดู
นายประวิช รัตนเพียร
เป็นลูกชายคนโตของนักการเมืองคนสำคัญคือ นายประชุม รัตนเพียร
เป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในปี 2526
และเป็นอดีตสมาชิกพรรคประชากรไทยลูกพรรคนายสมัคร สุนทรเวช และเมื่อ
พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯนายประวิช ก็มีฐานะทางการเมืองใหญ่โตในฐานะผู้แทนการค้าของไทยเพราะเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์มาก่อนและเมื่อ
พ.ต.ท.ทักษิณถูกยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 แต่เมื่อกลับมาใหม่ในนามพรรคพลังประชาชนมีนายสมัคร สุนทรเวช
เป็นนายกรัฐมนตรี ดร.ประวิช ก็ยังดูดีอยู่คู่คี่กับนายสมัครนายเก่า
โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่พอเกิดการรัฐประหารเงียบด้วยคณะตุลาการภิวัฒน์ยึดอำนาจจากนายกฯสมัครและนายกฯสมชายแล้ว
อำมาตย์ก็ทำการสถาปนาให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ณ กองทหารราบที่
11 โดยนายเนวิน ชิดชอบ
เจ้าของวลีแสบที่ทักษิณลืมไม่ลงว่า “นายครับมันจบแล้วครับ” ดร.ประวิชก็หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามชายปากห้อยไปอยู่กับฝ่ายอำมาตย์ด้วย
โดยอาศัยสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับป๋าและอนุทิน(เสี่ยหนู)อดีตลูกพรรคชาติพัฒนาและเป็นคนหัวอกเดียวกันที่ไม่กินเส้นกับเสี่ยสุวัจน์
ลิปตพัลลภ ในระยะหลังตัวเขาจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบอร์ดการบินไทย ในฐานะที่นายเนวินคุมกระทรวงคมนาคม
แต่เมื่อการเมืองผันเปลี่ยน ผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยชนะอย่างท่วมท้น
นางสาวยิ่งลักษณ์ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ดร.ประวิชจึงศึกษาวลีแสบของเนวินทำความเข้าใจใหม่ในฐานะด๊อกเตอร์แล้วกล่าวว่า “นายครับผมยังไม่ยอมจบครับ”
จึงต่อสายตรงเข้าบ้านสี่เสาและด้วยสายสัมพันธ์เก่าประกอบกับเป็นคนเรียบร้อยตรงสเป๊กป๋าจึงได้รับรางวัลอย่างงดงาม
โดยได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภาและแถมรางวัลพิเศษให้น้องสาวสุดที่รักชื่อ
ดร.วิชุดา รัตนเพียร
เป็นสว.แต่งตั้งด้วยอีกคนหนึ่งและด้วยเหตุนี้เมื่อสถานการณ์การเมืองเคลื่อนตัวเข้าสู่สมรภูมิสงครามแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นมหาภารตะยุทธ
ดร.ประวิชจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้จึงจำต้องสวมเสื้อเกราะทองเหลืองออกทำการยุทธ
เพื่อทดแทนบุญคุณด้วยการประกาศตัวเปิดเผยออกมาแถลงข่าวตั้ง 10 อรหันต์
ที่เป็นนักวิชาการออกมาควบคุมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อ่านรายชื่อแล้วชาวเสื้อแดงจะเกิดอาการต่อมจี๊ดแตกและเปลี่ยนนามให้ทันทีว่าเป็น
10 อรเหี้ย เพราะล้วนแล้วแต่เป็นผู้สนับสนุนทั้งแบกทั้งหามการรัฐประหาร 19
กันยายน 2549
ให้สำเร็จลุล่วงด้วยข้อกฎหมายและหลอกลวงประชาชนรวมตลอดทั้งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ
2550 ให้เสวยอำนาจกันอย่างอิ่มหมีพีมันสะดวกโยธินจนบ้านเมืองป่นปี้มาร่วม 6 ปี
ยังไม่มีทีท่าจะฟื้นง่ายๆ
ดร.ประวิชได้บัญชาการรบเป็นฉากๆที่อภิมหาเสนาบดีใหญ่เห็นแล้วต้องลูบหัวขาวด้วยความพึงพอใจ
เริ่มจากให้ สว.น้องสาวลงคะแนนคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมกับ สว.แต่งตั้งกลุ่ม
40 อย่างแข็งขันและหลังจากต้องพ่ายแพ้ศึกลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภาแล้ว
ดร.ประวิชก็เตรียมม้าศึก 10 อรเหี้ยเข้าพันตูต่อสู้เพื่อโค่นล้มการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการนี้ให้ได้
แล้วตามด้วยตรวจสอบการแต่งตั้งรัฐมนตรีนางสาวนลินี ทวีสิน กับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โดยเอาผิดไม่ได้จึงตัดสินเลียนแบบคำพิพากษาประหลาดๆแบบตุลาการภิวัฒน์ว่า
“ไม่ผิดแต่ไม่เหมาะสม นายกฯต้องชี้แจง”
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้แล้วจะไม่ให้กล่าวว่าดร.ประวิช รัตนเพียร
เปี๊ยนไป๊ได้อย่างไร
ดูเถอะจากด๊อกเตอร์มาดนิ่มกลายเป็นมาดทิ่มได้อย่างไร
แค่ป๋าให้กินยาอำนาจ 2 ช้อนเล็กๆเท่านั้นก็ลืมหลักการประชาธิปไตยที่
“อำนาจเป็นของราษฎรทั้งหลาย”ไปได้ในทันที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น