โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
7 เมษายน 2555
245 ปีอยุธเยศล่มลงดิน
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ซึ่งมีผลให้ราชอาณาจักรศรีอยุธยาล่มสลายลง เกิดขึ้นในวันนี้เมื่อ 245 ปีที่แล้วเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ
ขุนหลวงหาวัดกับพระเจ้าเอกทัศ:สมบัติผลัดกันชมจนเสียกรุง
ความยุ่งยากในเรื่องของการสืบราชสมบัติ และวิกฤตการเมืองในบั้นปลายรัชกาล ยังเป็นไปอย่างสืบเนื่องในทุกราชธานีของสยาม และทุกรัชกาล บางกรณีเช่นเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยาต้องยกทัพเข้าชนช้างกัน แต่ตายทั้งคู่ สมบัติจึงตกเป็นของเจ้าสามพระยา บางกรณีใช้วิธีสมบัติผลัดกันชมระหว่างพี่กับน้อง แต่ก็นำไปสู่การเสียกรุงครั้งที่2
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (ภาพ:วิกิพีเดีย)
โดยเหตุเกิดในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ปรากฏว่าเกิดเรื่องยุ่งยากในการสืบราชสมบัติ เนื่องจากพระราชโอรสไม่สามัคคีปรองดองกันโอรสทั้ง 3 พระองค์ ที่มีสิทธิในราชสมบัติ คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เจ้าฟ้าเอกทัศ) และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (เจ้าฟ้าอุทุมพร)
แถมยังมีพระโอรสเกิดจากพระสนมอีก 4 พระองค์ คือ กรมหมื่นเทพพิพิธ กรมหมื่นจิตสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพย์ภักดี
ต่อมาพระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ได้รับพระราชอาญาให้ประหารชีวิตเนื่องจากลักลอบเป็นชู้กับพระสนมของพระราชบิดา
ส่วนราชโอรสองค์กลางคือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เจ้าฟ้าเอกทัศ) นั้น พระปรีชาและพระอุปนิสัยไม่เหมาะแก่การปกครองบ้านเมือง พระราชบิดาจึงโปรดให้ออกผนวชที่วัดกระโจม
สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ภาพ:วิกิพีเดีย)
นัยว่าเพื่อหลีกทางให้สมเด็จพระอนุชา คือเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตเป็นอุปราชแทน
หลังจากเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ซึ่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล สิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ.2298 แล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ มิได้ทรงแต่งตั้งพระราชโอรสองค์ใด ขึ้นเป็นพระมหาอุปราชแทน เป็นเวลาถึง 11 ปี ต่อมาในปี พ.ศ.2300 จึงทรงตั้งเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ด้วยทรงเห็นว่าทรงพระปรีชา มีพระสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าพระเชษฐา ดังกล่าวไปแล้ว
ปัญหามาเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ทรงขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าอุทุมพร ต่อมากรมหมื่นจิตสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพย์ภักดี คบคิดกันช่วงชิงราชสมบัติแต่ไม่สำเร็จ ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์
แต่พระเจ้าอุทุมพรครองราชย์ได้เพียงเดือนเศษ ก็จำต้องทรงสละราชย์สมบัติ แล้วถวายแก่เจ้าฟ้าเอกทัศผู้เป็นพระเชษฐาที่ลาสิกขาออกมาทวงสิทธิในราชบัลลังก์ แล้วพระเจ้าอุทุมพรก็เสด็จออกผนวช โดยประทับอยู่ที่วัดประดู่โรงธรรม
พงศาวดารกล่าวว่า เจ้าฟ้าเอกทัศได้ลาผนวชเสด็จกลับเข้าวังเพื่อแสดงสิทธิ์ของพระองค์ โดยเสด็จเข้าไปในพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ประทับนั่งบนพระแท่นพาดพระแสงดาบไว้บนพระเพลา แล้วโปรดฯให้พระเจ้าอุทุมพรเข้าเฝ้า พระอนุชาผู้ขึ้นครองราชย์ได้ไม่กี่วันก็เข้าพระทัย ยอมถวายราชบัลลังก์ให้โดยดี แล้วหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาด้วยการไปผนวชเสียที่วัดประดู่ ทรงธรรมให้หมดเรื่องไป
แต่เรื่องก็ไม่จบเพียงนั้น เพราะในพ.ศ. 2301-2303 พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่าทรงยกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ พระเจ้าเอกทัศ ทรงเห็นเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะทรงสู้ศึกได้เอง จึงไปขอให้พระเจ้าอุทุมพรลาผนวชมาบัญชาการรบแทนพระองค์ พระเจ้าอุทุมพรก็ทรงยอมทำตาม ในการศึกครั้งนี้อลองพญาถูกกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายไทยบาดเจ็บสาหัส จำต้องถอยทัพไปสิ้นพระชนม์กลางทาง อยุธยาก็พ้นศึกกลับมาสงบตามเดิม
เมื่อศึกสงบ แทนที่จะทรงมอบหมายให้พระอนุชาครองราชย์อย่างที่ควรจะเป็น พระเจ้าเอกทัศก็ทรงใช้ไม้เดิม คือขึ้นประทับนั่งพาดพระแสง ดาบบนพระเพลาให้รู้ว่าทรงทวงบัลลังก์คืน พระอนุชาก็ว่าง่าย ทูลลากลับไปผนวชอย่างเก่า จนได้สมญาว่า "ขุนหลวงหาวัด"
แล้วก็เกิดสงครามครั้งสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา เมื่อพม่าจัดทัพมารุกรานอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2307 พระเจ้ามังระ โอรสพระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ได้ส่งกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีก โดยได้ล้อมกรุงศรีอยุธยายืดเยื้อยาวนาน แล้วก็เข้าตีพระนครได้ เมื่อวันที่ 7 เดือนเมษายน พ.ศ.2310 หรือเมื่อ 245 ปีที่แล้ว
แต่ก่อนกรุงจะแตกนั้น ไทยเริ่มเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำติดต่อกันหลายครั้งหลายคราว จนถึงคับขันจน กรุงใกล้จะแตก ราษฎรหมดความหวังในตัวพระเจ้าเอกทัศ ก็พากันไปถวายฎีการ้องทุกข์ ทูลขอร้องพระเจ้าอุทุมพรให้ลาผนวชมาช่วย บ้านเมืองอีกครั้ง แต่จะด้วยความเกรงพระทัยพระเชษฐาที่ไม่ได้มาร้องขอด้วยพระองค์เอง ท่านก็เฉยไม่ยอมลาผนวช ไม่ว่าราษฎรจะอ้อนวอนแค่ไหนก็ตาม ปล่อยให้พระเจ้าเอกทัศบัญชาการรบไปเอง จนกระทั่งวาระสุดท้ายของอยุธยามาถึงทั้งสองพระองค์
พงศาวดารเล่าว่าพระเจ้าเอกทัศทรงหนีออกจากอยุธยาไปได้ แต่ก็หนีไปไม่ตลอด เพราะอดอาหารมิได้เสวยถึง12วัน จนไปสิ้นพระชนม์ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ส่วนพระเจ้าอุทุมพรถูกจับเป็นเชลยพร้อมเจ้านายและขุนนางอื่นๆจำนวนมาก ถูกนำตัวไปพม่า แล้วก ็ทรงอยู่ในเพศบรรพชิตที่พม่าจนสิ้นพระชนม์ไปในที่สุด
ระหว่างนั้นทรงให้ปากคำบันทึกกับชาวพม่า ถึงประวัติศาสตร์ของอยุธยา ต่อมาเรื่องนี้แปลเป็น ไทยชื่อ “คำให้การของขุนหลวงหาวัด”
ในครั้งนั้นยังมีอีกพระองค์หนึ่งที่ออกบวชเพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมือง คือกรมหมื่นเทพพิพิธ เป็นโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมโกศที่เกิดแต่พระสนม พระนามเดิมว่า "พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าแขก" เป็นพระเชษฐาต่างพระมารดากับ พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าเอกทัศน์ และพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ (พระเจ้าอุทุมพร)
ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกศเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.2301 กรมหมื่นเทพพิพิธสนับสนุน พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ ซึ่งดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (ตำแหน่งรัชทายาท) ได้ครองราชสมบัติ แต่พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าเอกทัศน์ผู้เป็นพี่รีบลาผนวชออกมา ประจวบกับ พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อรักสงบ ไม่ชอบการขัดแย้งจึงสละราชสมบัติเสด็จออกทรงผนวช กรมหมื่นเทพพิพิธเกรงราชภัยจะถึงตน จึงออกผนวชที่วัดกระโจม
แต่กระนั้นก็ตามเมื่อสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ได้ครองราชย์จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระตำรวจทั้งแปดไปจับตัวมาหวังจะประหารชีวิตเสีย แต่ขุนนางกราบบังคมทูลว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ไม่มีความผิดชัดเจน ไม่ควรประหารในระหว่างทรงพรตในเพศสมณะ จึงสั่งให้จองจำไว้
ครั้นกำปั่นจะไปลังกาทวีปเพื่อส่งพระวิสุทธาจารย์ และพระวรญาณมุนีไปเผยแผ่พุทธศาสนาสยามวงศ์ที่เมืองลังกา จึงให้เนรเทศกรมหมื่นเทพพิพิธไปกับเรือกำปั่นนั้นด้วย
พระกรมหมื่นเทพพิพิธพำนักที่เมืองลังกาได้ 4-5 ปี ต่อมาภายหลังทราบว่ากรุงศรีอยุธยาถูกกองทัพพม่าล้อมอยู่ จึงหาโอกาสหนีกลับมาเมืองไทยอีก ได้โดยสารเรือกำปั่นแขกลูกค้าเมืองเทศมายังเมืองมะริด เมื่อ พ.ศ.2305 ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2307 กองทัพพม่ายกมาตีเมืองมะริด ตะนาวศรี กรมหมื่นเทพพิพิธจึงหนีมาอาศัยอยู่ที่เมืองเพชรบุรี
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร (ลาผนวชมารักษากรุงฯ) ทราบเรื่องราวกรมหมื่นเทพพิพิธตกยากอยู่ที่เพชรบุรี จึงโปรดเกล้าฯ ให้ไปอยู่เมืองจันทบุรีในปีเดียวกันนั้น เมื่อกรมหมื่นเทพพิพิธมาอยู่เมืองจันทบุรีนั้น ข่าวกองทัพพม่าล้อมกรุงฯ ปล้นสะดมชาวเมืองในหัวเมืองใกล้เคียง และเข่นฆ่าชาวบ้านชาวเมืองล้มตายเป็นจำนวนมาก ผู้คนได้รวมตัวกันเป็นชุมนุมตั้งค่ายป้องกันตัว ดังค่ายบ้านบางระจัน เป็นต้น ชาวหัวเมืองในภาคตะวันออกต่างก็เห็นว่า เชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ได้มาพำนักที่เมืองจันทบรี ต่างพากันมาสวามิภักดิ์ หวังจะให้เป็นหัวหน้าต่อสู้กองทัพพม่า
จนหลังกรุงแตก กรมหมื่นเทพพิพิธก็ไปตั้งก๊กหนึ่งที่เมืองพิมาย นครราชสีมา แต่ในที่สุดก็ถูกก๊กของพระยาตากปราบปรามลง และประหารชีวิตเสีย เพราะกรมหมื่นเทพพิพิธนั้นถือว่า พระองค์ทรงมีสิทธิเหนือมงกุฏอยุธยา ไม่ใช่ลูกเจ๊กอย่างเจ้าตากสิน ดังนั้นจึงต้องถูกขจัดไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามในการปราบดาภิเษกของเจ้าตากในที่สุด
ความยุ่งยากในเรื่องของการสืบราชสมบัติ และวิกฤตการเมืองในบั้นปลายรัชกาล ยังเป็นไปอย่างสืบเนื่องในทุกราชธานี และทุกรัชกาลในเวลาต่อมา
***************
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:
ซีรีส์ชุดวิกฤตการณ์ในบั้นปลายรัชกาล ของราชอาณาจักรไทย 10 ตอนจบเต็มอิ่ม( มีสรุปย่อ )
บทความชุด"วิกฤตในบั้นปลายรัชกาลของราชอาณาจักรไทย" ทั้งหมด 10 ตอน สรุปสังเขป ท่านที่สนใจรายละเอียด โปรดคลิ้กที่หัวข้อแต่ละตอน โดยพลัน...
ตอนที่1:พระเจ้าปราสาททองตลุยเลือดโค่นบัลลังก์หลานพระนเรศวร
*เมื่อขุนนางใหญ่ผู้ซึ่งเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระเจ้าทรงธรรม(หลานพระนเรศวรมหาราช)ปราบดาภิเษกในบั้นปลายรัชกาลอย่างนอดเลือด ด้วยการประหารชีวิตน้องชายพระเจ้าทรงธรรม,กษัตริย์ที่เป็นพระโอรสพระเจ้าทรงธรรมอีก2พระองค์ และรัชทายาทอีก2 รวมทั้งสังหารขุนนางอำนาจเก่า รวมถึงออกญาเสนาภิมุข ขุนนางชาวญี่ปุ่น แล้วขึ้นเป็นพระเจ้าปราสาททอง
ตอนที่2:สงครามกลางเมืองในบั้นปลายรัชกาลพระเจ้าปราสาททอง และการก่อการรัฐประหารของพระเพทราชา-พระเจ้าเสือในบั้นปลายรัชกาลพระนารายณ์มหาราช
*เสมือนกงเกวียนกำเกวียนเมื่อบั้นปลายรัชกาลพระเจ้าปราสาททอง เจ้าฟ้าไชยพระราชโอรสองค์โตขึ้นเสวยราชย์ได้ไม่กี่วัน ก็ถูกน้องชายของพระองค์ร่วมมือกับสมเด็จพระนารายณ์ โอรสองค์เล็กยึดอำนาจประหารเจ้าฟ้าไชย จากนั้นก็เกิดสงครามกลางเมืองแย่งชิงกันต่อ จบด้วยชัยชนะของสมเด็จพระนารายณ์ แต่ครั้นบั้นปลายรัชกาล พระองค์ก็ถูกขุนนางใหญ่คือพระเพทราชา ร่วมมือกับโอรสลับคือพระเจ้าเสือยึดอำนาจนองเลือดอีกครั้ง รวมถึงการประหารชีวิตเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ หรือคอนสแตนติน ฟอลคอน นายกรัฐมนตรีของพระองค์
-ตอนที่3:ศึกสายเลือดชิงราชบัลลังก์ กรณีเจ้าสามพระยา และกรณีพระเจ้าเอกทัศน์VSระเจ้าอุทุมพร
*ศึกสายเลือดชิงราชบัลลังก์ในบั้นปลายรัชกาล มีมาแต่ครั้งต้นกรุงศรีอยุธยา เมื่อเจ้าอ้ายพระยาชนช้างเจ้ายี่พระยา ตายทั้งคู่ สมบัติตกเป็นของตาอยู่คือเจ้าสามพระยา และก่อนเสียกรุงครั้งที่2พระเจ้าเอกทัศน์ทวงราชบัลลังก์พระเจ้าอุทุมพรจนราชอาณาจักรล่มสลาย แถมด้วยศึกกระหนาบข้างจากลูกสนมอีกทาง
-ตอนที่4:ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก
*อาจเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อที่ว่าพระเจ้าตากสินยกราชสมบัติให้พระยาจักรีสถาปนาราชวงศ์จักรี แล้วพระองค์ออกบวช เพื่อไม่ต้องใช้หนี้ที่ยืมเมืองจีนมากู้ชาติ เพราะมีหลักฐานว่า อาจมีการวางแผนกำจัดรัชทายาทของพระเจ้าตากอย่างแยบยล และตามมากำจัดรัชทายาทองค์สุดท้ายในปลายรัชกาลที่ 1
-ตอนที่5:ปัญหาสืบราชสมบัติระหว่างลูกมเหสีเอกVSลูกสนม
*ในบั้นปลายรัชกาลที่ 2 หากถือตามสทธิแล้วเจ้าฟ้ามงกุฎควรได้สิทธิสืบราชบัลลังก์ เพราะเป็นโอรสอันเกิดแต่พระมเหสีเอก ทว่าพระองค์เจ้าทับ ซึ่งเป็นโอรสเกิดแต่พระสนม แต่เนื่องจากได้กุมอำนาจการทหารและการเศรษฐกิจ ได้ขึ้นสู่ราชบัลลังก์เป็นรัชกาลที่ 3 ขณะที่เจ้าฟ้ามงกุฎทรงผนวชหนีราชภัยยาวนาน 27 ปีตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อรัชกาลที่3จวนสวรรคต และจะยกราชสมบัติให้โอรสของพระองค์ ขุนนางสกุลบุนนาคได้ยึดอำนาจและทวงราชสมบัติให้ ทรงลาสึกออกมาเป็นรัชกาลที่4
-ตอนที่6:ยุวกษัตริย์กับบัลลังก์เลือด
*ปัญหาในบั้นปลายรัชกาลประการหนึ่งที่สำคัญคือ หลังพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อนสวรรคตลงแล้วตั้งโอรสที่ยังทรงพระเยาว์เป็นกษัตริย์ มักเป็นความเปราะบางให้ถูกช่วงชิงอำนาจและถูกสำเร็จโทษประหารชีวิต นับจากพระเจ้าทองลัน ,พระรัษฐาธิราชกุมาร,พระยอดฟ้า,พระศรีเสาวภาคย์,พระเชษฐาธิราช,พระอาทิตยวงศ์ แต่บางพระองค์ก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยกฤษฎาภินิหาร เช่น กรณีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
-ตอนที่ 7:ปริศนากรณีสวรรคต ตอนที่ 1 : ฉาก
*อย่างไรก็ตามยุวกษัตริย์อีกพระองค์ในสมัยรัชกาลที่8ไม่โชคดีเช่นรัชกาลที่ 5 ในหลวงรัชกาลที่ 8 เป็นยุวกษัตริย์อีกพระองค์ที่สวรรคตลง และเหตุการณ์ผ่านมาแล้ว 63 ปีเรื่องนี้ยังดูคลุมเครือ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ร่วมสมัยพาย้อนกลับไปดูฉากในวันเกิดเหตุกรณีสวรรคตเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489
-ตอนที่ 8:ปริศนากรณีสวรรคต ตอนที่ 2 : ในหลวงอานันท์ยิงพระองค์เอง หรือ ถูกผู้อื่นยิง
*ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นำเสนอข้อเสนอใหม่ที่คนไม่ยอมพูดถึงในกรณีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 สาเหตุสวรรคตนั้นเกิดจากในหลวงอานันท์ฯยิงพระองค์เอง หรือถูกผู้อื่นยิง จะได้ก้าวพ้นวาทกรรมเรื่องปลงพระชนม์ที่คลุมเครือ
ตอนที่9:ไขปมปริศนากรณีสวรรคต
*เอกสารหลักฐานสืบเนื่องจากกรณีสวรรคต ทั้งเอกสารที่อ้างว่าปรีดี พนมยงค์ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยและเป็นเหยื่อการเมืองตลอดชีวิตได้เขียนขึ้น โดยอ้างปากคำของเหยื่อผู้ถูกประหารชีวิตในคดีนี้ชี้ว่าใครอาจเป็นผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง,เอกสารของนักการทูตอเมริกันที่บ่งบอกว่า ชนชั้นนำหลังกรณีสวรรคตนั้นอาจจะได้เตรียมสถาปนาพระองค์เจ้าจุมภฎฯขึ้นเป็นกษัตริย์ อันสะท้อนว่าในต้นรัชกาลที่9นั้นไม่ค่อยสู้มั่นคงดีนัก,รวมถึงการรื้อฟื้นคดีทั้งในรัฐบาลหลวงธำรงฯ และรัฐบาลจอมพลป. แต่ทั้งคู่ก็โดนยึดอำนาจเสียก่อน
ตอนจบ:ด้วยเดชะพระบารมี ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
*เราก็ได้แต่หวังเช่นเดียวกับพสกนิกรผู้จงรักภักดีทั้งมวลว่า ในหลวงของปวงชนชาวไทยจะทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน เป็นขวัญกำลังใจ เป็นศูนย์รวมจิตใจให้ปวงชนชาวไทยได้อยู่อาศัยใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารอย่างสุขสงบตลอดกาลนาน
กระนั้นก็ดีด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์ท่าน ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมารไว้เป็นพระรัชทายาทแล้ว ทั้งนี้จากการเปิดเผยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น