โดย ดอม ด่านตระกูล
จาก REDPOWER ฉบับ 25 เดือน เมษายน 55
สิทธิและเสรีภาพเกิดขึ้นมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์
คำปฏิญาณสิทธิและพลเมืองของคณะปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 กล่าวว่า
เสรีภาพเป็นสิทธิติดตัวของมนุษย์มาแต่กำเนิด
และสิทธิเสรีภาพนี้จะคงเป็นของมนุษย์ทุกคนตราบกระทั่งตาย และไม่อาจถูกลบล้างได้
คำว่า เสรีภาพ นั้นหมายถึง เป็นอิสระในการกระทำ เช่น มนุษย์ย่อมมีเสรีภาพในร่างกายตนเอง เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการเขียน
เสรีภาพในการอาชีพ เสรีภาพในการศึกษา
เสรีภาพในความรักความศรัทธา
เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น
หรืออำนาจอันชอบธรรมของผู้อื่นที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
ในประเทศไทยแต่ไหนแต่ไรมาผู้ปกครองไม่ได้ใส่ใจในกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนแต่อย่างใด ผู้นำไทยสามารถสั่งการใดๆตามใจชอบได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งปิดโรงพิมพ์ สั่งให้พิมพ์เนื้อหา
ข้อความตามใบสั่งหรือกวาดจับเข่นฆ่าผู้ที่มีความเชื่อ
ความคิดเห็นในทางการเมืองที่แตกต่างกับรัฐก็สามารถกระทำได้โดยง่ายดาย
นอกจากนี้ยังมีการกดขี่ทางเพศด้วยทัศนะที่ว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้าเพราะค่านิยมที่สั่งสมกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ในสังคมเล็กๆคือ
ครอบครัวซึ่งนับเป็นแหล่งบ่มเพาะทัศนคติในเรื่องเพศเป็นอันดับแรก การกดขี่สะท้อนชัดออกมาในเรื่องของการอบรมสั่งสอนที่ผู้หญิงจะมีกรอบในการใช้ชีวิตมากกว่าผู้ชายหลายอย่าง แต่ครอบครัวก็เป็นเพียงจุดเล็กๆ ถ้าครอบครัวนั้นอยู่ในโครงสร้างใหญ่ของสังคมที่มีการกดขี่ทางชนชั้นมักจะหลีกหนีไม่พ้นเรื่องการกดขี่ทางเพศ เพราะทั้ง 2 เรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน ต่อเมื่อปลดแอกเรื่องการกดขี่ทางชนชั้นออกไปได้ การกดขี่ทางเพศย่อมลดน้อยลง
ซึ่งมีตัวอย่างชัดเจนที่สุดในประเทศจีน หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงปลดแอกทางชนชั้นในจีน ผู้หญิงก็ถูกปลดแอกด้วยเช่นกัน
ไม่ต้องถูกบังคับให้มัดเท้าจนเล็กแกร็นผิดปกติอย่างที่ถูกทำให้เชื่อว่าสวยงาม
ผู้หญิงมีสิทธิได้รับการศึกษา
ได้รับสิทธิในการทำงานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ ไม่ต้องอยู่อย่างขมขื่นใต้อำนาจกดดันแบบศักดินาอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ดีมีเรื่องการกดขี่ที่เป็นทัศนคติฝังรากลึกทางวัฒนธรรมที่ยังต้องต่อสู้กันต่อไป
ในประเทศไทยการกดขี่
ลิดรอนสิทธิและเสรีภาพโดยผู้ปกครองมีมาตลอด
แต่ทุกยุคสมัยเรามีผู้กล้า นักเคลื่อนไหวทั้งที่เป็นนักคิด นักเขียน
เป็นสื่อสารมวลชน นักศึกษา หรือแม้กระทั่งชาวนา ชาวไร่ กรรมกร
ที่ออกมาต่อต้านเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพในเรื่องต่างๆอยู่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นขบวนการต่อต้านสงคราม เรียกร้องค่าแรง วันหยุด
สิทธิสตรีการลาคลอด
ขบวนการนักศึกษา ฯลฯ
นักเคลื่อนไหวทางด้านสิทธิและผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับด้านสื่อสารมวลชนล้วนป่าวร้องต้องการ
“สิทธิและเสรีภาพ”
สื่อมวลชนต้องการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
การเขียนและการพูดมากเป็นพิเศษ และสังคมยินดีให้สื่อมวลชนมีสิทธิพิเศษ เรียกว่า
ฐานันดรที่ 4
อิทธิพลของกระแสการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพมีอยู่เนืองๆ แต่จะปะทุใหญ่ขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราวไป เช่นยุค 14 ตุลาคม 2516
ซึ่งมีการต่อสู้เรียกร้องให้ได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพ ครั้งนั้นขบวนการนักศึกษาได้รับชัยชนะเพราะได้รับความร่วมมือจากกลุ่มกรรมกร
ประชาชนทั่วไปและนักเรียนอาชีวะ
ขบวนการนักศึกษาได้รับการชื่นชมอย่างมาก
แต่ต่อมาได้มีการจัดตั้งกลุ่มกองกำลังขึ้นมาบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและคุกคามต่อต้านการทำงานของนักศึกษา
เช่น กลุ่มกระทิงแดง กลุ่มนวพล กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน
ฯลฯ กลุ่มคนเหล่านี้ถูกทำให้เชื่อว่านักศึกษาเป็นพวกฝ่ายซ้าย เป็นคอมมิวนิสต์จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ 6 ตุลาคม 2519
เมื่อเกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้งฝ่ายประชาชนที่เข้าร่วมขบวนการนักศึกษาจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มีการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก
ผลักดันให้ผู้เข้าร่วมขบวนการส่วนใหญ่ต้องเข้าป่าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้ขบวนการต่อสู้ทางฝ่ายประชาชนในเมืองอ่อนแรงไป
จากนั้นการเมืองในประเทศเป็นไปแบบที่เรียกกันว่า ประชาธิปไตยครึ่งใบ มาโดยตลอด
มีการเปลี่ยนผลัดอำนาจกันขึ้นมาสูบเลือดสูบเนื้อ โกงกินภาษีของประชาชน การรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ
การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ โดยแต่ละครั้งมักอ้างเหตุผลซ้ำๆกันว่า เพื่อขจัดการทุจริต
และปกป้องสถาบันกษัตริย์
ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยในแต่ละยุคที่เกิดการเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชน และมีการปราบปรามโดยภาครัฐจะเห็นได้ชัดเจนว่า
เหตุการณ์เข่นฆ่าคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์นั้นไม่ได้แตกต่างอะไรจากเหตุการณ์สังหารชีวิตนักศึกษาและประชาชนในเหตุการณ์
6 ตุลาคม 2519 ที่มีการปลุกระดมโจมตีให้คนไทยเกลียดกันเอง ภาพที่น่าสลดใจที่สุดในยุคเดือนตุลาคม
2519 คือ ภาพคนไทยสามารถดูการเข่นฆ่าสังหารคนไทยอย่างโหดเหี้ยม
แขวนคอ เผาทั้งเป็น ด้วยความเฉยเมย และบางคนถึงกับยิ้มอย่างสะใจ พึงพอใจ
มายุคปัจจุบันที่เป็นยุคอินเตอร์เนต หลังเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ราชประสงค์
มีกลุ่มคนเข้าไปโพสต์แสดงความสะใจ พอใจ สมน้ำหน้า สมควรแล้วที่ถูกฆ่า
ซึ่งความรู้สึกโกรธเกลียดชิงชัง
และกลัวคอมมิวนิสต์กับความรู้สึกเกลียดชังคนเสื้อแดงไม่ได้แตกต่างกันเลย นับเป็นเรื่องที่น่าตระหนกตกใจอย่างยิ่ง เพราะนี่เราอยู่ในโลกยุคใหม่กันแล้ว แต่ยังมีคนหลงยุคอยู่อีกไม่น้อย คนเหล่านี้ถูกลวงหลอกให้เชื่อว่าตนเองเป็นผู้รักชาติ กู้ชาติ
เหมือนสมัยปี 2519 ที่มีการโฆษณาว่า
การฆ่าคอมมิวนิสต์ก็เหมือนกับการฆ่าปลาถวายพระ ผู้ฆ่าได้บุญเพราะทำให้ชาติพ้นภัย ซึ่งความหลงผิดเช่นนี้น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
เพราะในสังคมอารยะไม่ว่าคนผู้นั้นจะศรัทธาลัทธิ ความเชื่อแบบใดก็เป็นสิทธิส่วนตัวของคนผู้นั้น
ไม่มีใครมีสิทธิจะเข่นฆ่าใครเพียงเพราะความเชื่อต่างกัน
คำว่า สิทธิมนุษยชน ในประเทศไทย
และองค์กรสิทธิมนุษยชน
หรือสภาสตรีแห่งชาติเป็นแค่ถ้อยคำสวยๆ ลวงโลกว่า
ประเทศเราก็เป็นอารยะกับเขาเหมือนกัน
แท้จริงแล้วองค์กรเหล่านี้ไม่ได้ทำงานอะไรเพื่อสิทธิ
และเสรีภาพของประชาชนจริงๆ
ไม่เคยต่อสู้เรียกร้องเพื่อปกป้องประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิอย่างเข้มแข็งและจริงจังอย่างที่สมควรกระทำ หากบทบาทและหน้าที่กลับไปเน้นอยู่ที่เรื่องวัฒนธรรมอิงอยู่กับชนชั้นนำ ไม่กล้าแตะประเด็นการเมือง
ตั้งแต่เริ่มต้นการรัฐประหารครั้งล่าสุด 2549 ไม่มีการออกมาปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
2540
แต่กลับยอมรับให้มีการฉีกรัฐธรรมนูญเพื่อเขียนใหม่โดยไม่ละอายต่อบทบาทและหน้าที่ที่ต้องปกป้องสิทธิของปวงชนที่ถูกละเมิดโดยคณะรัฐประหารเลยสักนิด ไม่ใยดีต่อการสังหารหมู่คนเสื้อแดง ทำไม่รู้ไม่เห็นกับการสั่งจับกุมบล็อกเกอร์ สั่งปิดอินเตอร์เน็ต
การสั่งกรองรบกวนเนื้อหาข้อมูลข่าวสารในอินเตอร์เน็ต ไม่สนใจการจับประชาชนไปกักขังด้วยกฎหมายมาตรา
112
โดยไม่อนุญาตให้มีการประกันตัวทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ความผิด ไม่ออกมาปกป้องเมื่อเกิดการคุกคามจนถึงขั้นทำร้ายผู้มีความคิดเห็นต่าง
อีกทั้งสื่อมวลชนที่เคยต่อสู้เรียกร้องว่า
รัฐคุกคามสื่อ
ต้องการได้รับสิทธิพิเศษและภาคภูมิใจกับฐานันดรที่ 4
กลับไม่เคยกดดันเรียกร้องให้องค์กรสิทธิออกมาทำหน้าที่ของตัว ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นคือหลังรัฐประหารสื่อฟรีทีวีทั้งหมดนำเสนอข่าวเพียงด้านเดียวมาโดยตลอด
ละทิ้งหน้าที่จรรยาบรรณไร้ความรับผิดชอบอย่างที่สุด
สิทธิและเสรีภาพเป็นคุณค่าพื้นฐานของความเป็นมนุษย์
พูดได้เต็มปากว่าปัจจุบันคนไทยทั้งประเทศถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างกึ่งมนุษย์ เพราะเห็นได้ชัดๆจากกฎหมายมาตรา 112
ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างสูงสุดเพราะห้ามประกันตัวทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ความผิด
ดำเนินการพิจารณาลับปราศจากการตรวจสอบจากสาธารณะยังกับอยู่ในยุคบ้านป่าเมืองเถื่อน และที่สำคัญใครก็ตามที่พบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายมีสิทธิฟ้องร้องกล่าวโทษได้ทุกคน
ทำให้กฎหมายมาตรานี้มีปัญหามากเพราะเปิดช่องว่างให้เกิดการกลั่นแกล้งกันได้ง่าย
น่าแปลกใจที่มีผู้อาวุโสทรงความรู้
อีกทั้งผู้ที่เรียกตัวเองว่าปัญญาชน
และนักวิชาการออกมาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทั้งที่เมื่อครั้งที่คณะรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งนั้นเป็นการละเมิดสิทธิของพลเมืองชัดๆกลับยิ้มรับ
แต่คราวนี้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีหลักยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด และเพื่อประโยชน์สุขสูงสุดของประชาชน
เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดอนาคตและรูปแบบสังคมของตัวเอง และท้ายที่สุดย่อมต้องมีการทำประชามติตามหลักการของประชาธิปไตย ทำไมจึงต่อต้าน?
อยากให้รัฐธรรมนูญมีรูปแบบอย่างไรทุกคนมีสิทธิที่จะนำเสนอ ร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ด้วยสันติวิธี
แล้วให้เสียงส่วนใหญ่ตัดสินอย่างที่ผู้มีอารยะเขาทำกันจะดีกว่าไหม?
เพราะตราบใดที่ยังไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศให้เป็นธรรม เป็นของประชาชน และเพื่อประชาชนแล้ว
คำว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกันตามหลักการของประชาธิปไตยจะไม่มีวันไม่เกิดขึ้นในประเทศนี้อย่างแน่นอน
………………………………………………………………………………………………………
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น