Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

ดอม ด่านตระกูล : สิทธิเสรีของใคร?

การเมืองฉบับชาวบ้าน   
โดย  ดอม   ด่านตระกูล
จาก REDPOWER ฉบับ 25 เดือน เมษายน 55


สิทธิและเสรีภาพเกิดขึ้นมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์    คำปฏิญาณสิทธิและพลเมืองของคณะปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789  กล่าวว่า เสรีภาพเป็นสิทธิติดตัวของมนุษย์มาแต่กำเนิด  และสิทธิเสรีภาพนี้จะคงเป็นของมนุษย์ทุกคนตราบกระทั่งตาย  และไม่อาจถูกลบล้างได้

คำว่า เสรีภาพ นั้นหมายถึง  เป็นอิสระในการกระทำ  เช่น มนุษย์ย่อมมีเสรีภาพในร่างกายตนเอง  เสรีภาพในการนับถือศาสนา  เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการเขียน เสรีภาพในการอาชีพ เสรีภาพในการศึกษา  เสรีภาพในความรักความศรัทธา  เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น   หรืออำนาจอันชอบธรรมของผู้อื่นที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย 

ในประเทศไทยแต่ไหนแต่ไรมาผู้ปกครองไม่ได้ใส่ใจในกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนแต่อย่างใด  ผู้นำไทยสามารถสั่งการใดๆตามใจชอบได้เสมอ  ไม่ว่าจะเป็นการสั่งปิดโรงพิมพ์  สั่งให้พิมพ์เนื้อหา ข้อความตามใบสั่งหรือกวาดจับเข่นฆ่าผู้ที่มีความเชื่อ ความคิดเห็นในทางการเมืองที่แตกต่างกับรัฐก็สามารถกระทำได้โดยง่ายดาย 

นอกจากนี้ยังมีการกดขี่ทางเพศด้วยทัศนะที่ว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้าเพราะค่านิยมที่สั่งสมกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ในสังคมเล็กๆคือ ครอบครัวซึ่งนับเป็นแหล่งบ่มเพาะทัศนคติในเรื่องเพศเป็นอันดับแรก  การกดขี่สะท้อนชัดออกมาในเรื่องของการอบรมสั่งสอนที่ผู้หญิงจะมีกรอบในการใช้ชีวิตมากกว่าผู้ชายหลายอย่าง   แต่ครอบครัวก็เป็นเพียงจุดเล็กๆ   ถ้าครอบครัวนั้นอยู่ในโครงสร้างใหญ่ของสังคมที่มีการกดขี่ทางชนชั้นมักจะหลีกหนีไม่พ้นเรื่องการกดขี่ทางเพศ  เพราะทั้ง 2 เรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน  ต่อเมื่อปลดแอกเรื่องการกดขี่ทางชนชั้นออกไปได้  การกดขี่ทางเพศย่อมลดน้อยลง 

ซึ่งมีตัวอย่างชัดเจนที่สุดในประเทศจีน  หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงปลดแอกทางชนชั้นในจีน  ผู้หญิงก็ถูกปลดแอกด้วยเช่นกัน  ไม่ต้องถูกบังคับให้มัดเท้าจนเล็กแกร็นผิดปกติอย่างที่ถูกทำให้เชื่อว่าสวยงาม ผู้หญิงมีสิทธิได้รับการศึกษา  ได้รับสิทธิในการทำงานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ  ไม่ต้องอยู่อย่างขมขื่นใต้อำนาจกดดันแบบศักดินาอีกต่อไป  แต่อย่างไรก็ดีมีเรื่องการกดขี่ที่เป็นทัศนคติฝังรากลึกทางวัฒนธรรมที่ยังต้องต่อสู้กันต่อไป

ในประเทศไทยการกดขี่ ลิดรอนสิทธิและเสรีภาพโดยผู้ปกครองมีมาตลอด  แต่ทุกยุคสมัยเรามีผู้กล้า นักเคลื่อนไหวทั้งที่เป็นนักคิด นักเขียน เป็นสื่อสารมวลชน นักศึกษา หรือแม้กระทั่งชาวนา ชาวไร่  กรรมกร ที่ออกมาต่อต้านเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพในเรื่องต่างๆอยู่สม่ำเสมอ  ไม่ว่าจะเป็นขบวนการต่อต้านสงคราม  เรียกร้องค่าแรง  วันหยุด  สิทธิสตรีการลาคลอด  ขบวนการนักศึกษา ฯลฯ    นักเคลื่อนไหวทางด้านสิทธิและผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับด้านสื่อสารมวลชนล้วนป่าวร้องต้องการ “สิทธิและเสรีภาพ”  สื่อมวลชนต้องการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การเขียนและการพูดมากเป็นพิเศษ และสังคมยินดีให้สื่อมวลชนมีสิทธิพิเศษ เรียกว่า ฐานันดรที่ 4

อิทธิพลของกระแสการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพมีอยู่เนืองๆ   แต่จะปะทุใหญ่ขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราวไป  เช่นยุค 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งมีการต่อสู้เรียกร้องให้ได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพ  ครั้งนั้นขบวนการนักศึกษาได้รับชัยชนะเพราะได้รับความร่วมมือจากกลุ่มกรรมกร ประชาชนทั่วไปและนักเรียนอาชีวะ  ขบวนการนักศึกษาได้รับการชื่นชมอย่างมาก  แต่ต่อมาได้มีการจัดตั้งกลุ่มกองกำลังขึ้นมาบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและคุกคามต่อต้านการทำงานของนักศึกษา

เช่น กลุ่มกระทิงแดง กลุ่มนวพล กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน ฯลฯ  กลุ่มคนเหล่านี้ถูกทำให้เชื่อว่านักศึกษาเป็นพวกฝ่ายซ้าย  เป็นคอมมิวนิสต์จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์   6 ตุลาคม 2519 เมื่อเกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้งฝ่ายประชาชนที่เข้าร่วมขบวนการนักศึกษาจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้  มีการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ผลักดันให้ผู้เข้าร่วมขบวนการส่วนใหญ่ต้องเข้าป่าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์  ทำให้ขบวนการต่อสู้ทางฝ่ายประชาชนในเมืองอ่อนแรงไป 

จากนั้นการเมืองในประเทศเป็นไปแบบที่เรียกกันว่า  ประชาธิปไตยครึ่งใบ  มาโดยตลอด  มีการเปลี่ยนผลัดอำนาจกันขึ้นมาสูบเลือดสูบเนื้อ โกงกินภาษีของประชาชน  การรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ โดยแต่ละครั้งมักอ้างเหตุผลซ้ำๆกันว่า เพื่อขจัดการทุจริต และปกป้องสถาบันกษัตริย์

ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยในแต่ละยุคที่เกิดการเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชน  และมีการปราบปรามโดยภาครัฐจะเห็นได้ชัดเจนว่า  เหตุการณ์เข่นฆ่าคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์นั้นไม่ได้แตกต่างอะไรจากเหตุการณ์สังหารชีวิตนักศึกษาและประชาชนในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519  ที่มีการปลุกระดมโจมตีให้คนไทยเกลียดกันเอง  ภาพที่น่าสลดใจที่สุดในยุคเดือนตุลาคม 2519  คือ ภาพคนไทยสามารถดูการเข่นฆ่าสังหารคนไทยอย่างโหดเหี้ยม แขวนคอ  เผาทั้งเป็น  ด้วยความเฉยเมย  และบางคนถึงกับยิ้มอย่างสะใจ พึงพอใจ 

มายุคปัจจุบันที่เป็นยุคอินเตอร์เนต   หลังเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ราชประสงค์ มีกลุ่มคนเข้าไปโพสต์แสดงความสะใจ พอใจ สมน้ำหน้า สมควรแล้วที่ถูกฆ่า ซึ่งความรู้สึกโกรธเกลียดชิงชัง และกลัวคอมมิวนิสต์กับความรู้สึกเกลียดชังคนเสื้อแดงไม่ได้แตกต่างกันเลย  นับเป็นเรื่องที่น่าตระหนกตกใจอย่างยิ่ง  เพราะนี่เราอยู่ในโลกยุคใหม่กันแล้ว  แต่ยังมีคนหลงยุคอยู่อีกไม่น้อย  คนเหล่านี้ถูกลวงหลอกให้เชื่อว่าตนเองเป็นผู้รักชาติ  กู้ชาติ  เหมือนสมัยปี 2519 ที่มีการโฆษณาว่า  การฆ่าคอมมิวนิสต์ก็เหมือนกับการฆ่าปลาถวายพระ  ผู้ฆ่าได้บุญเพราะทำให้ชาติพ้นภัย  ซึ่งความหลงผิดเช่นนี้น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง

เพราะในสังคมอารยะไม่ว่าคนผู้นั้นจะศรัทธาลัทธิ    ความเชื่อแบบใดก็เป็นสิทธิส่วนตัวของคนผู้นั้น   ไม่มีใครมีสิทธิจะเข่นฆ่าใครเพียงเพราะความเชื่อต่างกัน  

คำว่า สิทธิมนุษยชน ในประเทศไทย และองค์กรสิทธิมนุษยชน  หรือสภาสตรีแห่งชาติเป็นแค่ถ้อยคำสวยๆ ลวงโลกว่า ประเทศเราก็เป็นอารยะกับเขาเหมือนกัน   แท้จริงแล้วองค์กรเหล่านี้ไม่ได้ทำงานอะไรเพื่อสิทธิ และเสรีภาพของประชาชนจริงๆ   ไม่เคยต่อสู้เรียกร้องเพื่อปกป้องประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิอย่างเข้มแข็งและจริงจังอย่างที่สมควรกระทำ    หากบทบาทและหน้าที่กลับไปเน้นอยู่ที่เรื่องวัฒนธรรมอิงอยู่กับชนชั้นนำ  ไม่กล้าแตะประเด็นการเมือง  

ตั้งแต่เริ่มต้นการรัฐประหารครั้งล่าสุด 2549  ไม่มีการออกมาปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2540  แต่กลับยอมรับให้มีการฉีกรัฐธรรมนูญเพื่อเขียนใหม่โดยไม่ละอายต่อบทบาทและหน้าที่ที่ต้องปกป้องสิทธิของปวงชนที่ถูกละเมิดโดยคณะรัฐประหารเลยสักนิด    ไม่ใยดีต่อการสังหารหมู่คนเสื้อแดง    ทำไม่รู้ไม่เห็นกับการสั่งจับกุมบล็อกเกอร์   สั่งปิดอินเตอร์เน็ต  การสั่งกรองรบกวนเนื้อหาข้อมูลข่าวสารในอินเตอร์เน็ต   ไม่สนใจการจับประชาชนไปกักขังด้วยกฎหมายมาตรา 112  โดยไม่อนุญาตให้มีการประกันตัวทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ความผิด   ไม่ออกมาปกป้องเมื่อเกิดการคุกคามจนถึงขั้นทำร้ายผู้มีความคิดเห็นต่าง

อีกทั้งสื่อมวลชนที่เคยต่อสู้เรียกร้องว่า รัฐคุกคามสื่อ  ต้องการได้รับสิทธิพิเศษและภาคภูมิใจกับฐานันดรที่ 4  กลับไม่เคยกดดันเรียกร้องให้องค์กรสิทธิออกมาทำหน้าที่ของตัว   ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นคือหลังรัฐประหารสื่อฟรีทีวีทั้งหมดนำเสนอข่าวเพียงด้านเดียวมาโดยตลอด   ละทิ้งหน้าที่จรรยาบรรณไร้ความรับผิดชอบอย่างที่สุด

สิทธิและเสรีภาพเป็นคุณค่าพื้นฐานของความเป็นมนุษย์  พูดได้เต็มปากว่าปัจจุบันคนไทยทั้งประเทศถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างกึ่งมนุษย์   เพราะเห็นได้ชัดๆจากกฎหมายมาตรา 112 ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างสูงสุดเพราะห้ามประกันตัวทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ความผิด   ดำเนินการพิจารณาลับปราศจากการตรวจสอบจากสาธารณะยังกับอยู่ในยุคบ้านป่าเมืองเถื่อน    และที่สำคัญใครก็ตามที่พบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายมีสิทธิฟ้องร้องกล่าวโทษได้ทุกคน  ทำให้กฎหมายมาตรานี้มีปัญหามากเพราะเปิดช่องว่างให้เกิดการกลั่นแกล้งกันได้ง่าย
น่าแปลกใจที่มีผู้อาวุโสทรงความรู้ อีกทั้งผู้ที่เรียกตัวเองว่าปัญญาชน  และนักวิชาการออกมาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  ทั้งที่เมื่อครั้งที่คณะรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งนั้นเป็นการละเมิดสิทธิของพลเมืองชัดๆกลับยิ้มรับ
แต่คราวนี้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีหลักยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด  และเพื่อประโยชน์สุขสูงสุดของประชาชน   เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดอนาคตและรูปแบบสังคมของตัวเอง  และท้ายที่สุดย่อมต้องมีการทำประชามติตามหลักการของประชาธิปไตย  ทำไมจึงต่อต้าน?
อยากให้รัฐธรรมนูญมีรูปแบบอย่างไรทุกคนมีสิทธิที่จะนำเสนอ  ร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ด้วยสันติวิธี แล้วให้เสียงส่วนใหญ่ตัดสินอย่างที่ผู้มีอารยะเขาทำกันจะดีกว่าไหม?   
เพราะตราบใดที่ยังไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศให้เป็นธรรม  เป็นของประชาชน และเพื่อประชาชนแล้ว   คำว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกันตามหลักการของประชาธิปไตยจะไม่มีวันไม่เกิดขึ้นในประเทศนี้อย่างแน่นอน 
………………………………………………………………………………………………………

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น