Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

ยกเมฆ ตอน มือป่วนพระวิหารจอมขมังเวทย์

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 394 วันที่ 12-18 มกราคม พ.ศ. 2556 หน้า 18-19 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน



เมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกแถลงการณ์ 7 ข้อ และยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่รับอำนาจศาลยุติ ธรรมระหว่างประเทศ (Inter national Court of Justice) หรือศาลโลก และต้องไม่ปฏิ บัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราว แต่ให้ใช้กลไกคณะกรรมา ธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพู ชา (เจบีซี) เท่านั้น

การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯครั้งนี้ยังมีกลุ่มแนวร่วมคนไทยหัวใจรักชาติ รักษาแผ่นดิน ที่เป็นแนวร่วมเดิม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกลียดทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสันติอโศก หรือกลุ่มเสื้อหลากสี จึงไม่แปลกใจที่กลุ่มพันธมิตรฯและแนวร่วมจะระบุในข้อเรียกร้องว่า หากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามจะถือว่ามีเจตนาขายชาติขายแผ่นดิน และหากประเทศไทยต้องเสียดินแดนก็ถือเป็นการสมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจของนักการเมืองทุกฝ่าย ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้นำกองทัพ ที่ไม่ทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติตามรัฐธรรม นูญอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และต้องร่วมกันรับผิดชอบในความอัปยศทั้งหมด

กลุ่มพันธมิตรฯยังขู่ว่าจะรอดูการทำหน้าที่ของรัฐบาลจนถึงที่สุดก่อน หากรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง กลุ่มพันธมิตรฯจะกำหนดมาตรการและพร้อมชุมนุมทันทีหากประชาชนเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ปลุกกระแสคลั่งชาติ

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานที่ปรึกษาแนวร่วมคนไทยหัวใจรักชาติ รักษาแผ่นดิน ประกาศว่าจะนำม็อบมาประท้วงรัฐบาลในวันที่ 21 มกราคมนี้ โดยหวังว่าประชาชนทุกกลุ่มจะพร้อมกันออกมาอาสาปกป้องชาติเเละเเผ่นดิน แต่วันที่ 14 มกรา คม จะยื่นหนังสือประท้วงไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก เพราะถือว่ารัฐบาลทำไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหลังจากที่ทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว โดยจะยื่นศาลอาญาฟ้องรัฐบาลที่บริหารงานผิดพลาด จากนั้นวันที่ 21 มกราคม จะนัดชุมนุมเเละยื่นหนังสือถึงผู้นำเหล่าทัพเเละประธานศาลฎีกา โดยรวบรวมรายชื่อประชาชนกว่า 500,000 คนที่มีมติว่ายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ จึงขอให้กระบวนการยุติธรรมเเละฝ่ายความมั่นคงหยุดคิดเเละหาทางช่วยเหลือในเรื่องนี้

“คนไทยต้องไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก เพราะไทยได้ออกจากภาคีนี้นานเเล้ว เเต่นักการเมืองบางคนนำกลับเข้าไปอีก คนไทยจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการของรัฐบาลในกรณีนี้”

น.ต.ประสงค์มั่นใจว่า กรณีปราสาทพระวิหาร จะจุดติด แม้ก่อนหน้านี้การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามจะล้มเหลว แต่ถือเป็นบทเรียนที่จะทำให้ การชุมนุมครั้งนี้ไม่เหมือนเก่า และอาจมีรูปเเบบ การชุมนุมที่ไม่ปรกติขึ้นมาก็ได้ คือมีการชุมนุมพื้นที่อื่นๆนอกเหนือจากกรุงเทพฯแห่งเดียว เชื่อว่าการชุมนุมครั้งนี้จะสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้ น.ต. ประสงค์กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์สุกงอม เพราะ มีทั้งวิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจ มีองค์ประกอบครบทุกด้าน แต่การชุมนุมขึ้นอยู่กับประชาชนและคนที่จะมาเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหว

สื่อตอกย้ำวาทกรรมขายชาติ

หลายฝ่ายเชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรฯและแนวร่วมไม่ได้ตั้งเป้าหมายแค่เรื่องปราสาทพระวิหาร แต่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือ การโค่นล้มรัฐบาลและระบอบทักษิณ แต่จะใช้การชุมนุมยืดเยื้ออย่างที่ผ่านมาไม่ได้ จึงต้องใช้กองทัพหรือกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งสามารถตีความได้หลายรูปแบบ

การชุมนุมใหญ่แบบม้วนเดียวจบหรือสงครามครั้งสุดท้ายจึงไม่มี เพราะพันธมิตรฯและแนวร่วมรู้ดีว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วยแน่นอน จึงต้องสร้างกระแสให้เห็นความผิดพลาดและล้มเหลวของรัฐบาล ซึ่งประเด็น “ขายชาติ” เอื้ออำนวยและสอด คล้องกับสถานการณ์ขณะนี้มากที่สุด ทั้งกลุ่มพันธ มิตรฯและแนวร่วมยังมีเวลามากพอที่จะปลุกระดมให้ประชาชนเกิดความโกรธและเกลียด โดยปลุกระดม และโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อเหลือง นักวิชาการ และสื่อเสี้ยม ทั้งสื่อกระแสหลักและสังคมออนไลน์

เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น

แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่กลุ่มพันธมิตรฯประณามว่ามีพฤติกรรม “ขายชาติ” เช่นกัน วันนี้ก็พยายามใช้สถานการณ์ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” ร่วมผสมโรงโจมตีรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และเรียกร้องให้แสดงความจริงใจในการต่อสู้คดี โดยพยา ยามทำให้ประชาชนเชื่อว่าปัญหาปราสาทพระวิหาร เกิดจากแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเมื่อปี 2551 ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งนายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างสมเด็จฮุน เซน กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อาจมีผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ได้ต่างจากการกล่าวหาของกลุ่มพันธมิตรฯที่พยายามตอกย้ำเรื่องนี้และโยงถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์

ทั้งที่กัมพูชานำเรื่องฟ้องศาลโลกเพื่อตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ไม่ใช่เพราะแถลงการณ์ ร่วมไทย-กัมพูชาเมื่อปี 2551 แต่เกิดขึ้นในสมัยรัฐ บาลนายอภิสิทธิ์และการออกมาปลุกกระแสชาติ นิยมของกลุ่มคลั่งชาติที่ไม่ยอมรับที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยดึงปัญหาพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร มาเป็นชนวนในการต่อต้านกัมพูชา และฝ่ายไทยแถลงถอนตัวจากการเป็นภาคีมรดกโลกเพื่อประท้วงไม่ให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณารับรองปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก จนเกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดนและเกิดการสู้รบกันก่อนหน้านี้จนศาลโลกต้องสั่งคุ้มครองชั่วคราวและพิจารณาคำร้องของกัมพูชาในวันที่ 15-16 เมษายนนี้

โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ชี้ว่ากรณีปราสาทพระวิหาร รัฐบาลทุกชุดที่อนุมัติเอ็มโอยู 2543 ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประชาธิปัตย์ รัฐบาลเพื่อไทย และผู้นำเหล่าทัพ ต้องรับผิดชอบถ้าไทยเสียดินแดน เพราะถ้ากัมพูชาได้พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบเขาพระวิหาร แสดงว่าศาลโลกบอกว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ถูกต้อง ถ้าไทยยอมรับคำตัดสินของศาลโลกก็แสดงว่าต้องยอมรับ 1:200,000 เช่นกัน ทั้งที่ไทยยืนหยัดอยู่ในมาตราส่วน 1:50,000 มานานแล้ว และเขตแดนไปสิ้นสุดตรงทะเลตราด ซึ่งแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 จะทำให้กัมพูชาอ้างลากเขตแดนใหม่เข้าไปสู่ทะเล เท่ากับไทยจะเสียพื้นที่เพิ่มอีก 1.8 ล้านไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีน้ำมันในอ่าวไทยที่เดิมเป็นของไทยเศษ 3 ส่วน 4 ของกัมพูชาเศษ 1 ส่วน 4 แต่จะพลิกกลับเป็นของกัมพูชาเศษ 3 ส่วน 4 และของไทยเศษ 1 ส่วน 4  นัยของคำพิพากษาของศาลโลกครั้งนี้จึงสำคัญที่สุด

“นพดล” ตอก ปชป. ตอแหล

ด้านนายนพดลยืนยันว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเป็นการปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งข้าราชการทหาร กระทรวงการต่างประเทศ และสภาความมั่นคงแห่งชาติก็ได้ร่วมเห็นชอบ แต่พรรค ประชาธิปัตย์พยายามบิดเบือนข้อมูล พยายามโยนความผิดให้คนอื่น ทั้งที่ศาลโลกยังไม่ได้ตัดสิน และยังไม่รู้ว่าไทยจะชนะหรือแพ้ ถ้าชนะพรรคประชาธิปัตย์คงโอ้อวดไปทั่วว่าพวกตนบริหารประเทศและทะเลาะกับกัมพูชาจนไปยื่นตีความที่ศาลโลก แต่ถ้าผลออกมาตรงข้ามคงจะมีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งถล่มรัฐบาลและโทษทุกคนนอกจากตัวเอง ทำไมพรรค ประชาธิปัตย์ไม่พูดความจริงกับประชาชนว่าคดีที่อยู่ ในศาลโลกขณะนี้เป็นคดียื่นตีความคำตัดสินศาล โลกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว และตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาตามคำตัดสินศาลโลกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว

นายนพดลยังชี้แจงว่า ที่เกิดปัญหาเพราะกัม พูชาจะเอาตัวปราสาทพระวิหารและพื้นที่ภูเขาพระ วิหารทั้งหมดไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกในปี 2549 รัฐบาล คมช. จึงคัดค้าน และต่อมารัฐบาลนายสมัครรับเรื่องต่อ จึงมีการเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก เพราะไทยถือว่าเป็นของไทย กัมพูชาก็ยอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออกและขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทตามที่ศาลโลกตัดสิน ซึ่งในข้อ 9 มติคณะกรรมการมรดกโลกวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 เรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารก็ตัดพื้นที่ทับซ้อนออกไปตามคำแถลงการณ์ร่วม

ป่วนรัฐบาล-กองทัพ

อย่างไรก็ตาม กรณีปราสาทพระวิหารนั้น รัฐ บาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ต้องรับผิดชอบ แม้จะเป็น “เผือก ร้อน” ก็ต้องต่อสู้ตามคดีความ แต่ยังไม่ทันที่ศาล โลกจะตัดสิน และรัฐบาลไม่ได้เป็นต้นเหตุ แต่กลุ่มพันธมิตรฯก็ฉวยโอกาสนำไปผูกโยงกับการเมืองเพื่อโค่นล้มรัฐบาลว่าขายชาติขายแผ่นดินหากประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งไม่ต่างกับกรณีช่อง 3 แบนละคร “เหนือเมฆ 2” ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าเกิดจากการแทรกแซงของผู้มีอำนาจในรัฐบาล ทั้งที่เกิดจากการตัดสินใจของผู้บริหารช่อง 3 ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยแบนละครเรื่อง “พระ เจ้าตากสิน” มาแล้ว

แม้แต่สำนักข่าวเอเอฟพียังรายงานข่าวการถอดละคร “เหนือเมฆ 2” ว่าละครไทยกำลังตกเป็นเหยื่อรายล่าสุดของความแตกแยกในประเทศ กลายเป็นที่มาของกระแสต่อต้านบนสังคมออนไลน์ว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลที่เข้าไปแทรกแซงช่อง 3 ไม่ให้ฉายละครเรื่องดังกล่าว แม้รัฐบาลจะปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังก็ตาม

น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงได้แต่ขอร้องว่า ถ้าจะชุมนุมก็ขอให้กระทำด้วยความสงบ และอย่าดึงเรื่องปรา สาทพระวิหารเป็นประเด็นการเมือง เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญของประเทศ และรัฐบาลยืนยันว่าต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่ แม้มีความสนิทสนมส่วนตัวกับสมเด็จฮุน เซน ก็ไม่มีอะไรที่จะมาลบล้างความสำคัญผลประโยชน์ของประเทศชาติ ส่วนคดีความก็ว่าไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบดูกรณีข้อพิพาทร่วมกับนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระ ทรวงการต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธ มิตรฯและแนวร่วมครั้งนี้จะมีการปรับรูปแบบการชุมนุมใหม่เพื่อให้กระแสชาตินิยมได้ผลเหมือนครั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เพราะประเด็นการเสียดินแดนเป็นจุดอ่อนที่ได้ผลมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือกองทัพ การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงเชื่อว่าจะมีชั้นเชิงและเป็นขั้นเป็นตอนมากกว่าที่ผ่านมา เพราะประ เด็นเสียดินแดนไม่ว่าจะจริงหรือเท็จก็สามารถปลุกระดมให้คนที่รักชาติ คลั่งชาติ และเกลียดทักษิณ ออกมาโค่นล้มรัฐบาลได้ไม่ยาก

โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าไทยขาดจากการเป็นภาคีสมาชิกศาลโลกมาแล้วตั้งแต่ปี 2502 เพราะได้ลงนามประกาศปฏิญญารับรองเขตอำนาจครั้งสุด ท้ายเมื่อปี 2492 และการรับรองแต่ละครั้งมีอายุ 10 ปี ซึ่งกลุ่ม ส.ว.สรรหาเรียกร้องให้รัฐบาลประ กาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก โดยนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า คณะตัวแทนของรัฐบาล ที่จะแถลงด้วยวาจาต่อศาลโลกวันที่ 15-19 เมษายน จะต้องแถลงให้ชัดเจนว่า 1.ศาลไม่มีอำนาจพิจาร ณาโดยเด็ดขาด 2.ไทยไม่รับเขตอำนาจศาลโดยเด็ดขาด และ 3.ยืนยันให้ชัดเจนว่าประเทศไทยจะไม่ปฏิบัติตามคำตัดสินใดๆที่จะกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทยโดยเด็ดขาด

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า เคยกล่าวในการเสวนาเรื่องคดีปราสาท พระวิหารว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องทำให้คนในสัง คมโลกและประชาคมนานาชาติเห็นว่าไทยเป็นสัง คมที่มีอารยะ และเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ หากไทยยังคงยืนยันที่จะปฏิเสธกลไกระหว่างประ เทศต่างๆคงจะเป็นผลร้ายต่อประเทศมากกว่าผลดี อาการอย่างนี้ต้องเลิกเสีย เพราะแสดงถึงความไม่แยแสต่อสันติวิธี ไม่แยแสต่อความเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่แยแสต่อประชาคมโลก การกระทำดังกล่าวนี้ไม่ใช่วิสัยของชาติที่จะได้การยอมรับและการสนับสนุนจากนานาชาติ ดังนั้น หากไทยไม่อยากให้เกิดความเสียหายในระ หว่างประเทศ แนวทางการดำเนินการแก้ไขจัดการข้อพิพาทจึงต้องระวังความรู้สึกระหว่างประเทศให้มากขึ้น

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชา การทหารบก (ผบ.ทบ.) ย้ำว่า เรื่องปราสาทพระวิหาร ทั้งรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และทหาร ต่างทำหน้าที่ของตนเอง ไม่มีใครไม่ทำ จึงอย่าทำให้เป็นเรื่องการเมือง ทหารทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ ไม่มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ตามที่มีกระแสข่าว ถามว่าจะรบกันทำไม ขณะนี้ไทยกับกัมพูชามีการพูดคุยกันมาตลอดและไม่มีการขัดแย้ง จึงอย่าทำให้เกิดความขัดแย้งและท้าทาย

เหนือกว่า “เหนือเมฆ” คือ “ยกเมฆ”

จึงยังไม่รู้แน่ชัดว่าละครจะเกี่ยวข้องกับการเมือง หรือมีคนพยายามบิดเบือนเอาการเมืองไปยุ่งกับละครหรือไม่ แต่ล่าสุดนายบริสุทธิ์ บูรณะสัมฤทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้ออกมาระบุว่า สาเหตุที่งดออกอากาศละคร “เหนือเมฆ 2” เนื่องจากมีบทที่มีเนื้อหารุนแรง ไม่มีฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหรือสั่งการแต่อย่างใด โดยยืนยันว่าช่อง 3 มีการกลั่นกรองเนื้อหาทุกรายการ ทั้งยืนยันว่าจะไม่มีการนำไปโพสต์ลงในยูทูบหรือทำเป็นซีดีขายอย่างแน่นอน

แม้ว่านายพานทองแท้ ชินวัตร จะออกมาโพสต์ลงเฟซบุ๊คแนะนำให้ช่อง 3 เอาละครเหนือเมฆตอนจบมาออกอากาศให้จบเรื่องไป แต่เชื่อว่ารัฐบาลคงไม่โง่ที่จะสั่งให้ช่อง 3 นำกลับมาฉายอีกครั้งแน่ เพราะคงไม่ต่างกับการสั่งให้แบนละคร “เหนือเมฆ 2” ที่วันนี้แม้ช่อง 3 จะยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับคำสั่งจากการเมือง แต่เป็นการพิจารณาของช่อง 3 เอง ก็ยังมีพวกเสี้ยมทั้งฝ่ายการเมืองและสังคมออนไลน์ด่ารัฐบาลทันทีว่าแทรกแซงสื่อและเป็น “วัวสันหลังหวะ”

เหมือนที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความว่า ไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะงี่เง่าขนาดพยายามกดดันละครเรื่องนี้ แต่ถ้ามีหลักฐานแน่ๆว่ามาจากรัฐบาล ตนเองก็ยินดีจะร่วมด่าด้วย นอกจากนี้ยังโพสต์ข้อความหลังอ่านเรื่องย่อ “เหนือเมฆ 2” ตอนอวสานแล้วว่า “ไม่เห็นมีห่าอะไร” เลยครับ (ไม่มี “ห่า” อะไรให้นักการเมืองที่ไหนต้องสนใจจะมา “กดดัน” อะไรเลย)

การแบนละคร “เหนือเมฆ 2” จึงสะท้อนให้เห็นทั้งความงี่เง่า น้ำเน่า และโกหกตอแหล ท่ามกลางการเมืองไทยยุคแบ่งสี แบ่งพวก เลือกข้าง ซึ่งวันนี้กลุ่มพันธมิตรฯและพรรคประชาธิปัตย์ก็กำลัง เอาประเด็นปราสาทพระวิหารมาใช้ประโยชน์ทางการเมืองอีกครั้ง ไม่ต่างจากการเอาละครเก่ามาสร้างใหม่ ซึ่งเชื่อได้ว่าจะดราม่าน้ำเน่ายิ่งกว่าละครหลาย ต่อหลายเรื่องที่นำมาสร้างใหม่แล้วสร้างใหม่อีก

กรณีปลุกระดมคลั่งชาติแย่งชิงซากปราสาทพระวิหารจึงเป็นเพียงละครน้ำเน่าที่เอามาสร้างใหม่ แต่ลงทุนต่ำ เพราะเลือกใช้ตัวละครหน้าเดิมๆทั้งสิ้น

เตรียมพบ “ยกเมฆ” ตอน “มือป่วนพระวิหารจอมขมังเวทย์” ตามสื่อกระแสหลัก (ปักขี้เลน) ทั่วไทย..เร็วๆนี้


 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น