ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 394 วันที่ 12-18 มกราคม พ.ศ. 2556 หน้า 3 คอลัมน์ ถนนประชาธิปไตย โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
เวลาของปี พ.ศ. 2555 ผ่านไปอีก 1 ปี ท่ามกลางการต่อสู้ที่ขบวนการของประชาชนไทยยังคงเข้มแข็งมากขึ้น เมื่อปีที่ผ่านมานี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์หลายประการที่น่าจะส่งผลต่อทิศทางทางการเมืองของประเทศต่อไป รัฐบาลพรรคเพื่อไทยซึ่งบริหารประเทศมาแล้ว 17 เดือน ต้องถือว่าประสบความสำเร็จในด้านการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายสำคัญ เช่น ลดภาษีรถคันแรก การรับจำนำข้าวจากชาวนา ต่างก็บรรลุเป้าหมายอันน่าพอใจ รวมถึงนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่เริ่มดำเนินการในช่วงปีใหม่นี้เป็นต้นไปก็ส่งผลด้านบวกต่อผู้ใช้แรงงาน
แน่นอนการดำเนินนโยบายทุกอย่างต้องมีผู้ได้รับประโยชน์และสูญเสียผลประโยชน์ การแสดงความไม่เห็นด้วยหรือต่อต้านคัดค้านถือเป็นเรื่องปรกติ ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังมีโจทก์เจ้าประจำ นั่นคือ ฝ่ายคนเสื้อเหลือง พวกสลิ่มอนุรักษ์นิยม พรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการอำมาตย์ จนถึงพวกสื่อมวลชนฝ่ายขวา ประเภทผู้จัดการ แนวหน้า ไทยโพสต์ ซึ่งใช้อคติต่อต้านคัดค้านนโยบายทุกเรื่องอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร หรือแม้แต่ไม่ทำอะไรเลย ให้ถือว่าการต่อต้านของคนกลุ่มนี้เป็นพวกแก้เหงา เพราะพวกเขาวิตกว่าจะไม่มีอะไรทำ
ความจริงแล้วการดำเนินนโยบายเหล่านี้ชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ความล้มเหลวอย่างสำคัญของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในการบริหารประเทศคือ การไม่สามารถผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างใหม่ที่มีผลสะเทือนและกระทบชีวิตของประชาชน
เมื่อมาถึงวันนี้แทบจะนึกไม่ออกเลยว่านโยบายเศรษฐกิจอะไรบ้างของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญในชีวิตของผู้คนและจะทำให้ระลึกถึง ดังนั้น ถ้าจะสร้างพรรคให้เข้มแข็งและเป็นทางเลือกใหม่ของประชาชนในอนาคต พรรคประชาธิปัตย์จะต้องหานโยบายใหม่ที่แตกต่าง และสร้างความประทับใจให้กับประชาชนให้ได้ การมุ่งโจมตีว่านโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นแบบประชานิยม ซื้อใจประชาชน คงไม่มีประโยชน์ เพราะเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็ดำเนินการแบบเดียวกัน จนทำให้เกิดคำอธิบายความแตกต่างได้อีกว่า นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์คือประชานิยมที่ล้มเหลว แต่นโยบายพรรคเพื่อไทยคือประชานิยมที่สำเร็จ
แต่กระนั้นคงจะต้องกล่าวเช่นกันว่า ในด้านการเมือง การตัดสินใจในการลงมือทำ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล้าทำน้อยกว่ามาก การผลักดันนโยบายทางการเมืองโลเลและล่าช้า เพราะความเกรงใจพลังฝ่ายอำมาตย์ โดยเฉพาะองคมนตรี ศาล และกองทัพบก
ที่เป็นปัญหาสำคัญอันดับแรกคือ เรื่องนักโทษการเมืองฝ่ายคนเสื้อแดงที่เป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลที่เสียสละในการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายและติดคุกตั้งแต่เดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ต่อมาเมื่อพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2554 ประชาชนก็ยังคงติดคุกต่อจนถึงปัจจุบัน ไม่เห็นความพยายามจากฝ่ายรัฐบาลที่จะช่วยให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ได้รับการนิรโทษและปล่อยตัว ยิ่งกว่านั้นในกรณีที่เป็นพี่น้องประชาชนที่ถูกเล่นงานด้วยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่างก็ถูกทอดทิ้งโดยสิ้นเชิง
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การดำเนินการที่จะให้มีการนำตัวฆาตกรที่เข่นฆ่าประชาชนมาลงโทษก็ดำเนินการอย่างเป็นไปเองและล่าช้า ไม่มีการผลักดันอย่างใดจากฝ่ายพรรคเพื่อไทย แม้จะอ้างกันว่าคดีมีความคืบหน้า เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ทำการจนถึงขั้นเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
แต่จะเห็นได้ชัดว่ากระบวนการทั้งหมดดำเนินไปโดยปกป้องกองทัพบก ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเข่นฆ่าประชาชน ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลยังดำเนินการโดยจงใจที่จะถ่วงเวลา ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเลี่ยงการลงนามเป็นภาคีในศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) เพื่อเปิดทางให้อัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศสอบสวนคดีสังหารหมู่ประชาชนอย่างยุติธรรมตามแบบสากล ทำให้ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อยังต้องพึ่งเพียงศาลไทยที่มีปัญหาในด้านความยุติธรรมอย่างมาก
ข้อที่แสดงให้เห็นความลังเลล้มเหลวที่สุดในทางการเมืองของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็คือ เรื่องการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการปฏิรูปทางการเมืองไปสู่ประชาธิปไตย ทั้งที่ได้มีการดำเนินการอย่างถูกต้องตามระบบรัฐสภาจนญัตติผ่านวาระ 2 ไปแล้ว แต่พอถูกศาลรัฐธรรมนูญทักท้วง กระบวนการรัฐสภาก็ชะงักงัน พรรคเพื่อไทยไม่กล้าแม้กระทั่งผลักดันให้มีการลงมติในวาระ 3 ตามขั้นตอน กลับหาข้ออ้างที่จะให้มีการลงประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อผลักดันระเบียบวาระทั้งหมดมาให้ประชาชนตัดสิน ยิ่งทำให้กระบวนการทั้งหมดล่าช้าออกไป และในที่สุดนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ได้แถลงในวันที่ 30 ธันวาคม ยอมรับว่าการแก้รัฐธรรมนูญนั้น “สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน” ทำให้แน่ใจได้ว่าการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญคงจะไม่ลุล่วงใน พ.ศ. 2556 กรณีนี้แตกต่างอย่างมากกับสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่แก้ไขรัฐธรรมนูญได้เลยโดยทันที
ข้อเสนอสำคัญที่ผลักดันโดยกลุ่มนิติราษฎร์และดำเนินการโดยคณะ ครก.112 ในปีที่ผ่านมาคือ เรื่องการปฏิรูปกฎหมายมาตรา 112 เพื่อให้มีกระบวนการอันเป็นประชาธิปไตย และไม่ให้เกิดการนำมาใช้ในการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่มีความแตกต่างทางความคิด ไม่เคยได้รับความสนใจจากพรรคเพื่อไทย และถูกล้มอย่างง่ายโดยประธานสภาผู้แทนราษฎร
ในที่นี้อยากจะขอย้ำว่า เรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และมีความจำเป็นอย่างยิ่งในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อสร้างหลักประกันแห่งประชาธิปไตยในอนาคต เป็นที่น่าสงสัยว่าชนชั้นนำไทยจะวางเฉยต่อเรื่องนี้ไปได้อีกนานไหม ก่อนที่สถานการณ์ความขัดแย้งของชนชั้นสูงจะวิกฤตและส่งผลกระทบต่อประเทศชาติยิ่งกว่านี้
กรณีทั้งหมดนี้ได้นำมาสู่สถานการณ์ใหม่อันน่าสนใจคือ ความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับขบวนการคนเสื้อแดงปะทุออกเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรก โดยการที่ฝ่ายแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ประกาศปฏิญญาโบนันซ่าที่เขาใหญ่เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม เรียกร้องต่อรัฐบาล 3 ข้อคือ 1.ขอให้สภาเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญในวาระ 3 เพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2.เรียกร้องรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้เดินหน้าลงนามรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกรณีการปราบปรามประชาชนเมื่อปี 2553 และ 3.ให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ประชาชนที่ตกเป็นผู้ต้องหาจากการชุมนุมทางการเมืองทุกกลุ่ม ยกเว้นแกนนำและคนสั่งการ
ที่สำคัญคือ ข้อแรกซึ่งไม่ตรงกับรัฐบาล พรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เสนอให้แก้ปัญหาโดยการลงประชามติ ข้อขัดแย้งในเรื่องนี้ได้ถูกนำมาพิจารณาในการประชุมพรรคเพื่อไทยที่เขาใหญ่เมื่อวันที่ 5-6 มกราคมที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุป พรรคเพื่อไทยเลื่อนความขัดแย้งตามเคย โดยจะเสนอให้สถาบันการศึกษาช่วยหาทางออกในเรื่องนี้
จากสถานการณ์ที่สรุปมานี้ ถ้าจะถามว่าขบวนการประชาชนจะทำอย่างไรใน พ.ศ. 2556 นี้ คงตอบได้ว่าจะต้องให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยในด้านการใช้นโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาของประชาชน แต่ด้านการเมืองของพรรคเพื่อไทยซึ่งถือว่ายังใช้ไม่ได้ ขบวนการประชาชนคงต้องพึ่งตนเองในการเคลื่อนไหวต่อสู้ จะต้องช่วยผลักดันข้อเสนออันก้าวหน้าทั้งหลายที่ผลักดันโดยกลุ่ม นปช. กลุ่มนิติราษฎร์ ปฏิญญาหน้าศาล และอื่นๆ เร่งขยายฐานความคิดมวลชนให้เกิดการตาสว่างมากยิ่งขึ้น สถานการณ์จึงจะนำไปสู่ชัยชนะในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น