ที่มา:มติชนรายวัน 20 สิงหาคม 2555
หมายเหตุ -
กรณีเอกสารลับคำสั่งการการใช้อาวุธของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
(ศอฉ.) ช่วงเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553
ถูกนำออกมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต โดยระบุว่ามีการสั่งการให้ใช้พลแม่นปืน
หรือสไนเปอร์ มีความเห็นทั้งจาก นายธาริต เพ็งดิษฐ์
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
ในฐานะอดีตกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และ
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก (ทบ.) เกี่ยวกับเรื่องนี้
ธาริต เพ็งดิษฐ์
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
ใน
ฐานะอดีตกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
ได้รับข้อมูลเรื่องคำสั่งการจากสื่อเช่นกัน แต่ช่วงที่เป็นกรรมการ ศอฉ.
ขณะนั้นไม่เคยเห็นคำสั่งดังกล่าว
แต่เท่าที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องทราบว่าลักษณะการทำงานของ
ศอฉ.จะแบ่งผู้ปฏิบัติงานหลักเป็น 4 ส่วน คือ 1.บุคคลจากฝ่ายการเมือง
โดยผู้ที่มีบทบาทสำคัญ คือ นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่ง 2.ข้าราชการตำรวจ
ถือว่าเป็นผู้รักษากฎหมาย 3.ข้าราชการทหาร จะเข้ามาร่วมปฏิบัติหน้าที่
ในฐานะกำลังหลักที่สำคัญ และส่วนสุดท้าย 4.ข้าราชการพลเรือน
ในส่วนนี้ผมเข้าไปเกี่ยวข้องจะมีบุคคลจำนวนมาก เท่าที่ทราบ
จะเป็นปลัดกระทรวงทุกกระทรวงและอธิบดีกรมที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้อง
สำหรับ
การประชุมของคณะกรรมการ ศอฉ.ชุดใหญ่ จะประชุมอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
หรือวันละ 2 ครั้ง แบ่งออกเป็นการประชุมใหญ่และการประชุมย่อย
การประชุมคณะกรรมการ ศอฉ.ชุดใหญ่
จะเป็นการประชุมเพื่อรายงานสถานการณ์ที่ผ่านมาในรอบ 24 ชั่วโมง หรือ 12
ชั่วโมง และวิเคราะห์สถานการณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในช่วง 12 หรือ 24
ชั่วโมงข้างหน้า การประชุมของ ศอฉ.ชุดใหญ่นี้ จะไม่มีการหารือ หรือตัดสินใจ
หรือสั่งการ ในเรื่องสำคัญใดๆ
มีเพียงการรายงานและวิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าวเท่านั้น
"แต่การ
ประชุมย่อยต่างหากจะมีสาระสำคัญ เท่าที่ผมทราบ มีการประชุมส่วนยุทธการ
และส่วนงานการข่าว และอื่นๆ เฉพาะส่วนการประชุมยุทธการ
น่าจะถือว่ามีความสำคัญสูงสุด เพราะเป็นการสั่งการ บัญชาการ
เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ และการประชุมย่อยในส่วนยุทธการนี้ จะมี 3 ส่วน
เฉพาะฝ่ายการเมือง ฝ่ายตำรวจ ทหารเท่านั้น ฝ่ายพลเรือนไม่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น ผมจึงได้เข้าร่วมเฉพาะการประชุมใหญ่ดังกล่าว แต่การประชุมยุทธการ
ผมไม่ถูกกำหนดให้เข้าร่วมด้วย เท่าที่ทราบ
หลังจากมีการประชุมยุทธการแต่ละครั้ง จะมีการทำคำสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษร
เพื่อถือปฏิบัติในแต่ละเรื่อง น่าจะรวมถึงเรื่องการสั่งการ
ให้มีการใช้กำลังเพื่อปฏิบัติการต่างๆ ด้วย"
ส่วนตัวมีความเห็น
เรื่องนี้ว่า ศอฉ.ทำงานได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์
ที่คับขันของบ้านเมืองขณะนั้นแล้ว แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายๆ มุมมอง
แต่ผมมีความเห็นในมุมหนึ่งว่า สภาวะบ้านเมืองที่วิกฤตเช่นนั้น
ศอฉ.ได้ปฏิบัติการเหมาะสมกับสถานการณ์
เพราะทำให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติได้ในที่สุด
และการสูญเสียในชีวิตและร่างกายของตำรวจ ทหาร และพลเรือน
ก็ไม่เกิดการฆ่าและทำร้ายกัน อย่างรุนแรงไปมากกว่านี้
ปกติการออกคำ
สั่งการแต่ละครั้ง กลุ่มย่อยต้องขอความเห็น ศอฉ.ชุดใหญ่หรือไม่นั้น
ยืนยันว่าไม่มี เพราะคำสั่งการต่างๆ
จะเป็นหน้าที่ของที่ประชุมส่วนยุทธการหรือประชุมกลุ่มย่อย
ที่มีผู้เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย ที่เข้าร่วมการประชุม
ส่วนประธานการ
ประชุมย่อยหรือส่วนยุทธการ ใครนั่งเป็นประธานการประชุมแต่ละครั้งนั้น
คงจะมี ผอ.ศอฉ. และบางครั้งก็มีนายกรัฐมนตรีนั่งร่วมอยู่ด้วย
การ
ประชุม ศอฉ.ชุดใหญ่จะมีคนมากหน้าหลายตาเข้าร่วมประชุม
แต่การประชุมย่อยหรือประชุมส่วนยุทธการจะจำกัดคน
ไม่มีข้าราชการฝ่ายพลเรือนเข้าร่วม ดังนั้น
ผมจึงไม่ได้เข้าร่วมในส่วนยุทธการ การออกคำสั่งไม่ต้องขอความเห็น
ศอฉ.ชุดใหญ่ เพราะประชุมย่อยมีนายสุเทพในฐานะ ผอ.ศอฉ.นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน
และบางครั้งนายอภิสิทธิ์ก็ร่วมนั่งประชุมด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น