Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รัฐสวัสดิการ บนความต้องการของสังคมไทย (แต่บางคนอาจไม่ต้องการ)


ตามเหตุการณ์ ทันกระแสโลก หนังสือพิมพ์ Red Power ปีที่ 1 ฉบับที่ 27 เดือน กรกฎาคม 2555 โดย กองบรรณาธิการ
ทนงศักดิ์ ปิ่นถาวร
e-mail : tanongsak . pinthaworn@gmail.com

  
       ไม่ผิดหรอกครับที่ผมจะรับใช้ท่านผู้อ่านด้วยถ้อยคำกำกวม และชวนให้ขยายความต่อไปถึงไหนต่อไหน ฉบับนี้ขอรับใช้ท่านไปตามบริบทของเนื้อหาส่วนใหญ่ในเล่ม ที่กำลังพูดถึง “พรรคคอมมิวนิสต์ผ่าเหล่า” แต่อ้าว…..อย่าเพิ่งคิดว่า รัฐสวัสดิการ ที่ผมกำลังจะนำเสนอนี้เป็น “คอมมิวนิสต์” นะครับท่านครับ เรามาลองดูนิยามของคำว่า รัฐสวัสดิการตามความหมายกันดีกว่าว่าหมายถึงอะไร รัฐสวัสดิการ เป็นระบบทางสังคมที่รัฐให้หลักประกันแก่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันในด้านปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น หลักประกันด้านสุขภาพ ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับบริการป้องกันและรักษาโรคฟรี หลักประกันด้านการศึกษา ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาตามความสามารถโดยได้รับทุนการศึกษาฟรีจนทำงานได้ตามความสามารถในการเรียน หลักประกันด้านการว่างงาน รัฐต้องช่วยให้ทุกคนได้งานทำ ใครยังหางานไม่ได้รัฐต้องให้เงินเดือนขั้นต่ำไปพลางก่อน หลักประกันด้านชราภาพ รัฐให้หลักประกันด้านบำนาญสำหรับผู้สูงอายุทุกคน หลักประกันด้านที่อยู่อาศัย ที่ดินทำกิน เป็นต้น
ประเทศที่มีระบบรัฐสวัสดิการจะใช้ระบบการเก็บภาษีแบบก้าวหน้า คือเก็บภาษีจากคนรวยในอัตราต่อรายได้สูงกว่าคนจนมาก เก็บจากชนชั้นกลางในระดับพอประมาณ และเก็บจากคนจนน้อยหรือไม่เก็บเลยถ้าจนมาก นอกจากนั้นอาจมีการเก็บเบี้ยประกันสังคมจากคนที่มีงานทำตามอัตราเงินเดือน เงินที่เก็บได้ทั้งหมดรัฐก็จะนำมาใช้จ่ายสำหรับบริการทางสังคมทั้งหมดในระบบรัฐสวัสดิการ ระบบนี้จึงเป็นการ เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข คนที่มีรายได้ดีต้องช่วยจ่ายค่าบริการทางสังคมส่วนหนึ่งแก่คนที่ยากจนกว่า นอกจากนี้จะเน้นไปที่ภาษีทางตรง คือเก็บจากรายได้ มากกว่าภาษีทางอ้อม เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะอย่างหลังจะถูกบวกในราคาสินค้า รวมถึงสินค้าจำเป็นอุปโภคบริโภค ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม เพราะคนรวยคนจนก็บริโภคสิ่งจำเป็นพอๆกัน ทำให้คนจนเสียภาษีทางอ้อมในอัตราที่มากกว่าคนรวย

          ในรัฐสวัสดิการนั้น สวัสดิการต่างๆที่จัดขึ้นนั้นดำเนินงานโดยรัฐทั้งหมด รัฐสวัสดิการมีลักษณะทั่วไป 3 ประการ คือ 

1. รัฐประกันรายได้ขั้นต่ำของทุกคนในสังคม โดยไม่คำนึงว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร ทำงานอะไร มีทรัพย์สินมากน้อยแค่ไหน
2. สร้างความมั่นคงในชีวิต ให้แก่ทุกคน ทุกครัวเรือน โดยให้มีหลักประกันทางรายได้ และอยู่รอดปลอดภัยจากภาวะวิกฤติต่างๆ
3. ให้พลเมืองทุกคน โดยไม่เลือกกลุ่มคน ชนชั้น และสถานภาพ ได้รับบริการสังคม (Social service) อย่างเสมอหน้ากัน ด้วยมาตรฐานที่ดีที่สุด เท่าเทียมกัน

     ข้อแรก รัฐสวัสดิการจะต้องมีความเท่าเทียมกันในการได้รับสิทธิ์ต่างๆ จากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น การรักษาพยาบาล การศึกษา การประกันตน การประกันค่าแรง การประกันรายได้ระหว่างตกงาน เหล่านี้เป็นต้น อ้าวเมื่อรัฐให้ท่านมากขนาดนี้ฟรีๆ แล้วรัฐจะนำรายได้จากไหนมาจุนเจือ มาใช้จ่ายกันเล่า ….นั่นไงครับ ทางตันเริ่มมาถึง รัฐก็ต้องเก็บภาษีจากบริษัทห้างร้าน จากธุรกิจต่างๆ ที่มีรายได้ดี ในอัตราที่สูง แล้วนำมาจุนเจือ แจกจ่ายให้กับคนยากจน หรือคนที่มีรายได้น้อยกว่า (แต่เป็นประชากรส่วนใหญ่ในสังคมไทย) เก็บมันหมดแหละครับ ตั้งแต่ภาษีนิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีมรดก ภาษีที่ดิน แล้วถามว่าในประเทศไทยใครเป็นเจ้าของทุนเหล่านี้ล่ะครับ ใครล่ะที่มีอำนาจผูกขาดในธุรกิจ มีอำนาจในการผูกขาดและกำหนดราคา หรือแม้แต่ออกกฏหมายด้านภาษี จากสิ่งที่เห็นกลายเป็นว่า กลุ่มทุน กลุ่มธุรกิจที่ผูกขาดขนาดใหญ่ กับมีการทำงบดุล ทำบัญชีที่ค่อนข้างจะไปทางหลีกเลี่ยงภาษี และร่วมกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในการฉ้อราษฏร์ บังหลวง คนที่มีรายได้มาก ที่ควรจะเสียภาษีเยอะ ก็ได้รับการยกเว้น …….แต่คนที่เสียภาษีเต็มๆ และมาจุนเจือเศรษฐกิจโดยรวมกับกลายเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดย่อม เช่นพวกห้างร้านต่างๆ แม้แต่ร้านหมูกระทะริมถนน ... อ้าวมันเป็นเรื่องจริงท่านเชื่อไหมล่



     ข้อสอง การเป็นรัฐสวัสดิการนั้นหมายถึง “เงินจากคนรวย จุนเจือสู่คนจน” แต่สำหรับประเทศไทย “ข้าจะรวย เกี่ยวอะไรกับเอง (คนจน) “ …. การที่ต้องแบ่งและเฉลี่ยเงินทุนจากกลุ่มธุรกิจของตัวเอง ไปสู่สังคมชนบท ในมุมมองของระบบทุนนิยมอำมาตย์แบบในประเทศไทยแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่อันตรายสำหรับกลุ่ม และพวกพ้องของตนเอง เพราะว่ามันจะทำให้ระบบชุมชน ระบบประชาชนเข้มแข็ง และมีศักยภาพที่จะพัฒนาขึ้นมาทัดเทียมกับ กลุ่มอำนาจอำมาตย์ที่ผูกขาดธุรกิจไว้แทบจะทุกประเภท หากประชาชนและกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กเข้มแข็ง นั่นย่อมแสดงว่าโอกาสที่กลุ่มทุนอำมาตย์ผูกขาดจะเสียโอกาสในการเข้าถึงตลาดมากขึ้นไปด้วย พูดกันง่ายๆ แบบที่ชาวบ้านเข้าใจได้ง่ายคือ “มีโอกาสเกิดผู้ท้าชิง และผู้เล่นรายใหม่ในตลาด” ….. ก็ข้าเคยขายของข้าเท่านี้ ผลิตเท่านี้ อยากจะส่งเท่านี้ แต่วันดีคืนดี ดันมีคนมาผลิตแข่ง ตัดราคา และแชร์ส่วนแบ่งในตลาด แล้วใครมันจะไปยอมล่ะครับ จริงไหม ….


      ข้อสาม การที่จะเป็นรัฐสวัสดิการได้นั้น รัฐบาลต้องมีความเข้มแข็งและมีความโปร่งใสในการบริหารประเทศ เพราะการบริหารส่วนใหญ่ของรัฐสวัสดิการจะเกี่ยวกับกับการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งเกิดขึ้นเรียกว่าแทบจะทุกวัน เพราะฉะนั้นหากไม่มีกลไกใดที่สามารถป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น และรั่วไหลของงบประมาณได้ ก็เป็นสิ่งที่อันตรายมากสำหรับการบริหารแบบรัฐสวัสดิการ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่วัฒนธรรมเอื้อพวกพ้อง ประจบประแจงและเลือกปฏิบัติแบบที่เป็นอยู่ ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ที่จะทำให้เป็นรัฐสวัสดิการ การเป็นรัฐสวัสดิการไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดที่ดูดี และแสดงออกถึงความห่วงใยเท่านั้น แต่ในโครงสร้างทั้งหมดตั้งแต่ ระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ไปจนถึงกลุ่มทุน จะต้องมีจิตสำนึกและเผื่อแผ่ต่อสังคมในวงกว้าง เพราะหากกลุ่มธุรกิจและกลุ่มทุนหรือผู้ปกครองมัวแต่ห่วงผลประโยชน์ของตัวเอง และโยนเพียงแค่เศษเงินลงไปให้ประชาชน รอรับถุงบริจาค แบบนี้รัฐสวัสดิการก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ซึ่งเรารู้กันดีอยู่แล้วว่า อะไรที่เป็นตัวขัดขวางที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถเป็นรัฐสวัสดิการได้ ในอดีตนั้นมีผู้นำของไทยที่พยายามจะเสนอให้มีการจัดตั้งรัฐสวัสดิการมาแล้ว โดยในปี พ.ศ. 2475 อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ได้เสนอหน่ออ่อนของรัฐสวัสดิการใน เค้าโครงการเศรษฐกิจประเด็นหลักๆ ของอาจารย์ปรีดีคือการประกันรายได้พื้นฐานสำหรับพลเมืองทุกคนโดยรัฐ ตั้งแต่เกิดจนสิ้นชีพ เพื่อความสุขสมบูรณ์ของราษฎรโดยมีมาตรการต่างๆ เช่นการแบ่งที่ดินทำกิน และการเก็บภาษีมรดกและภาษีรายได้ ซึ่งเก็บจากคนรวยในระดับสูง (Super tax) แต่ข้อเสนอนี้ของอาจารย์ปรีดีถูกปฏิเสธอย่างรุนแรงจากผู้มีอภิสิทธิ์ที่จะเสียประโยชน์และตระกูลขุนนางอำมาตย์ชั้นสูง โดยเฉพาะเมื่อมีการเสนอแนวคิดที่สนับสนุนการมีลำดับชนชั้นและความเหลื่อมล้ำในสังคม เหมือนกับว่ามันเป็น ธรรมชาติและพวกอำมาตย์ก็ประโคมข่าวว่านี่เป็น ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือเรื่องลัทธิเศรษฐกิจที่พอดี ที่เสนอว่าคนรวยใช้เงินตามสบายได้ แต่คนจนต้องเจียมตัวหรือปรับตัว ลดค่าใช้จ่าย เพื่ออยู่รอดในสภาพความยากจน นี่คือลัทธิที่แช่แข็งความเหลื่อมล้ำและสร้างอุปสรรค์ต่อการกระจายรายได้และการสร้างความเท่าเทียมในสังคม ที่ขัดขวางการตั้ง รัฐสวัสดิการ ของประเทศไทยมาอย่างช้านาน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น