การชุมนุมเปิดตัวของกลุ่มคนที่อ้างตนเป็นอดีตทหารในกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่มีอักษรย่อรู้จักกันในนาม
พ.ค.ท.ที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันศุกร์ ที่ 15 มิถุนายน 2555 พร้อมประกาศจัดตั้งกองกำลังอาวุธขึ้นใหม่ในนาม
“กองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เพื่อสนับสนุนมติศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้ยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามเกมส์ของพรรคประชาธิปัตย์และประกาศพร้อมจะปราบขบวนการคนเสื้อแดงและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น
ได้กลายเป็นสัญญาณวิปริตทางการเมือง
ในประวัติศาสตร์ของขบวนการพรรคคอมมิวนิสต์และส่งสัญญาณว่าจะเกิดการกวาดล้างเข่นฆ่าประชาชนด้วยการใช้มือประชาชนฆ่าประชาชนแทนการใช้ทหารในเครื่องแบบอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วในสถานการณ์เลือดล้อมปราบเข่นฆ่าประชาชนเมื่อ
6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่โลกรู้ดีว่าเป็นคำสั่งฆ่าจากใครและเป็นบาดแผลลึกของสังคมไทยที่โลกไม่อาจจะรับได้แต่กำลังจะเกิดขึ้นรอบใหม่อีก
จึงเป็นประเด็นที่ Red Power ต้องจับตามองและนำเสนอข้อมูลเพื่อเตือนสติสังคมว่า
หากใครก็ตามที่พยายามจะสั่งการให้เกิดเหตุการณ์เลือด 6 ตุลาคม 2519 รอบใหม่ เพื่อฆ่าประชาชนคนเสื้อแดงในยุคโลกาภิวัฒน์ขณะนี้ผู้นั้นคือผู้ทำลายระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
จากพรรคคอมมิวนิสต์สู่ พคท.รอ.
เมื่อกลุ่มบุคคลเหล่านี้ประกาศอุดมการณ์ชัดแจ้งว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดีและมีการเรียกขานชื่อพรรคคอมมิวนิสต์ของบุคคลผู้ชุมนุมที่ทุ่งศรีเมือง
จังหวัดอุดรธานี ให้ใหม่เสมือนหนึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของกองทัพไทยว่า “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยรักษาพระองค์” มีอักษรย่อว่า
พคท.รอ และจากแหล่งข่าวยืนยันว่าการกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวนี้น่าจะเป็นผลพวงมาจากคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่
66/2523 ในสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และจากสายสัมพันธ์พิเศษที่มีกับพลเอกสุรยุทธ์
จุลานนท์ ซึ่งเป็นลูกชายของ พ.ท.พโยม จุลานนท์
อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์คนสำคัญในฐานะผู้ก่อตั้งกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย
พลเอกสุรยุทธ์กับการก่อกำเนิด พคท.รอ.
การพ่ายแพ้ของกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยทำให้เกิดการสลายตัวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยซึ่งเป็นหนามยอกอกของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทยมายาวนาน
อันเป็นผลมาจากนโยบายตามประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523
ประกอบกับความแตกแยกทางความคิดในขบวนการคอมมิวนิสต์สากลพร้อมกับคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางการนำสูงสุดของขบวนการปฏิวัติสังคมนิยมในประเทศไทยถูกจับกุมตัวชุดใหญ่
2 ระลอกคือ ในปี 2527 และ ปี 2530ในขณะเปิดประชุมลับในเมืองและแกนนำจำนวนหนึ่งได้ยอมก้มหัวสวามิภักดิ์ให้แก่กองทัพไทยและได้ชักนำให้กองทัพปลดแอกประชาชนไทยยอมวางอาวุธกลับเข้าเมืองและได้รับการอภัยโทษตามนโยบาย
66/2523 สำหรับทหารป่าที่มาจากชาวนารัฐบาลในขณะนั้นก็สัญญาว่าจะให้ที่ดิน 5 ไร่ และควาย 5 ตัว พร้อมบ้านอยู่อาศัยและเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งเพื่อให้ปรับตัวเข้ากับระบบสังคมที่มีอุดมคติที่แตกต่างกัน
ส่วนนักศึกษาปัญญาชนก็กลับเข้าเมืองมาเรียนหนังสือต่อ
ส่วนผู้ที่จบการศึกษาแล้วส่วนหนึ่งก็มาประกอบอาชีพเป็นนักพัฒนาภาคเอกชนหรือที่รู้จักกันในนาม
NGO
โดยรัฐใช้สายสัมพันธ์การให้ความช่วยเหลือโดยนำเงินงบประมาณแผ่นดินสนับสนุนโครงการขององค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อให้บุคคลเหล่านี้มีงานทำโดยผ่านนายแพทย์ประเวศ วะสี , นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
(ซึ่งเป็นแกนนำคนสำคัญในการประสานมวลชนทำการสนับสนุนการรัฐประหารล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อ 19
กันยายน 2549)
แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้รายงานชัดเจนว่า
อดีตแกนนำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจำนวนหนึ่งที่ยอมศิโรราบนับตั้งแต่ถูกจับกุมได้รับการชุบเลี้ยงดูแลเป็นอย่างดีจากกองทัพไทย
โดยเกาะเกี่ยวผ่านบุคคลชั้นสูงอย่าง พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เป็นลูกชายของอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์คนสำคัญจนผูกพันกันทางการเมืองถึงขนาดเป็นสะพานเชื่อมนำแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ระดับสูง
อาทิเช่น
ภรรยาของอดีตเลขาธิการพรรคคนหนึ่งไปร่วมโต๊ะอาหารกับบุคคลชั้นสูงจนมีความแนบแน่นระหว่างกองทัพกับแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์
กลุ่มผู้ยอมศิโรราบนี้จึงถูกสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความเสมอภาคของมนุษย์ตั้งฉายาอย่างเยาะเย้ยถากถางให้แกนนำพรรคกลุ่มนี้ว่าเป็น
พคท.รอ. (พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยรักษาพระองค์) และจากผลของความใกล้ชิดระหว่างแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์กลุ่มนี้กับกองทัพไทยจึงเกิดการร่วมมือกันในส่วนงานมวลชนของกองทัพกับพรรคคอมมิวนิสต์
ปีก รอ.ในการสนับสนุนงานพัฒนาขององค์กรเอกชนในสายงานพรรคคอมมิวนิสต์จนทักทอเป็นเนื้อเดียวกัน
จนนำไปสู่การโค่นล้มอำนาจรัฐบาลประชาธิปไตยในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทหารในฐานะอำนาจนอกระบบที่ทำหน้าที่คอยควบคุมระบอบประชาธิปไตยพลเรือนไม่ให้เกิดการพัฒนาด้วยกริ่งเกรงว่าหากพลเรือนที่เป็นนักธุรกิจเข้าสู่อำนาจรัฐและมีความเข้มแข็งจะผลักดันให้ระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมขยายตัวนำความเจริญมาสู่ประเทศไทยจนทหารและอำมาตย์ไม่อาจจะควบคุมได้ต่อไปจึงตัดสินใจเปิดทางให้กับแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์
รอ.กลุ่มนี้เข้าร่วมการรัฐประหารซึ่ง พคท.รอ. กลุ่มนี้มีความเกลียดชังรัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณอยู่เป็นทุนเดิมที่ขัดขวางงานของกลุ่ม NGOจึงตัดสินใจเข้าร่วมการรัฐประหารโดยรับผิดชอบการจัดมวลชนจำนวนหนึ่งมาร่วมชุมนุมสนับสนุนสร้างความชอบธรรมให้แก่กองทัพและพวกอำมาตย์ในการดำเนินการรัฐประหารที่มีความมุ่งหมายลึกซึ้งมากกว่าการรัฐประหารทั่วไป
โดยกลุ่ม พคท.รอ. หวังที่จะจัดรูปแบบการปกครองใหม่โดยใช้ชื่อประชาธิปไตยเป็นเสื้อคลุมแต่เนื้อในเป็นเผด็จการด้วยการเสนอรูปแบบการเมืองใหม่
70:30 ของกลุ่มพันธมิตร ที่มีแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ในนาม
พคท.รอ.เป็นผู้นำ เข้าทำนอง “แขวนหัวหมูแต่ขายเนื้อหมา”ด้วยเหตุนี้เมื่อเกิดการรัฐประหารสำเร็จรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ จึงได้นำแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์เข้าร่วมเป็นรัฐมนตรีและคณะทำงานด้วยจำนวนหนึ่งและเร่งจัดทำนโยบายนำเงินงบประมาณไปช่วยเหลืออดีตสหายชาวนาที่ทุกข์ยากและถูกเบี้ยวเงินช่วยเหลือตามนโยบาย
66/2523 ที่ปล่อยปะละเลยมายาวนาน โดยพลเอกสุรยุทธ์
ได้แสดงบทบาทเด่นชัดต่อการเดินทางไปเยี่ยมอดีตสหายในนามผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผ.ร.ท.)
ในชนบทในภาคเหนือและภาคอีสานก่อนประชาชนคนยากจนกลุ่มอื่นที่ทุกข์ยากจนเกิดความผูกพันทางจิตใจในลักษณะ
“หนี้บุญคุณ” ดังนั้นขบวนการที่จะเตรียมการจัดตั้งกองกำลังอาวุธในนามของ
“กองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ในนาม พคท.รอ. จึงเกิดขึ้นและขับเคลื่อนด้วยระบบอุปถัมภ์ที่เป็นรากฐานทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งของสังคมไทยจึงเกิดขึ้นในนาม
“ชดใช้หนี้บุญคุณ”
ที่ใช้เท่าไรก็ใช้ไม่หมด
จึงเป็นสัญญาณอันตรายที่การจัดตั้งกองกำลังอาวุธภาคประชาชนเพื่อเตรียมการใช้เข่นฆ่าประชาชนคนเสื้อแดงที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าจะล้มสถาบันพระมหากษัตริย์
เพื่อสถาปนาระบอบประธานาธิบดีจึงเกิดขึ้น
และการบิดเบือนข่าวสารว่ารูปธรรมของการล้มล้างสถาบันคือการเสนอกฎหมายปรองดองเพื่อช่วย
พ.ต.ท.ทักษิณ
และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองและล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์จึงเกิดขึ้นด้วยการประสานเสียงอย่างเปิดเผยระหว่างพรรคประชาธิปัตย์
– กลุ่มพันธมิตรฯ – ศาลรัฐธรรมนูญ
และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่กลัวจะถูกตัดอำนาจ,โดยกองทัพปีกที่ต้องการก้าวขึ้นสู่อำนาจแทนพลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา ทำการเชื่อมโยงและสนับสนุนเตรียมรัฐประหารอยู่เบื้องหลัง
การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองอย่างแอบแฝงโดยไม่ยึดมั่นในระบอบรัฐสภานับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อ
19 กันยายน 2549 และการใช้ศาลรัฐธรรมนูญโค่นล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
และรัฐบาลนายสมชาย
วงศ์สวัสดิ์ เพียงเพื่อจะให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าสู่อำนาจโดยไม่สนใจความถูกต้องของกติกาประชาธิปไตยแม้จะผ่านการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายที่ประชาชนได้แสดงมติมหาชนอย่างเปิดเผยให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยเสียง ส.ส.เกินกว่าครึ่งสภาแล้วก็ตาม
แต่ขบวนการเผด็จการที่ต้องการอำนาจทางการเมืองโดยมิชอบยังเดินหน้าโดยใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญที่พวกเขาสร้างขึ้นเตรียมโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างไม่หยุดหย่อน
โดยความยินดีปรีดาของพรรคประชาธิปัตย์(พรรคเส้นใหญ่)
จึงส่งสัญญาณอันตรายที่ยากจะแก้ไขเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ดังนั้นเมื่อมีอำนาจลึกลับหรือมือที่มองไม่เห็นไปชักจูงให้เกิดการติดอาวุธภาคพลเรือนในนาม
“กองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
ขึ้นมาอีกยิ่งสร้างความสับสนและยากแก่การแก้ไขมากยิ่งขึ้นเพราะไม่มีใครรับประกันได้ว่าความขัดแย้งที่มีแนวโน้มรุนแรงที่จะเกิดขึ้นภายภาคหน้านั้น
“กองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” จะกลายเป็นหอกทิ่มตำระบอบรัฐสภาที่ถือปฏิบัติมายาวนานและกลายเป็นหอกข้างแคร่ของกองทัพไทยที่ยากแก่การควบคุม
รวมตลอดถึงจะเกิดกระบวนการตอบโต้ด้วยความรุนแรงเช่นเดียวกันและกลายเป็นสงครามกลางเมือง
แผนการ 6 ตุลารอบใหม่จะกลายพันธุ์
การวางแผนเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนเมื่อวันที่
6 ตุลาคม 2519 อย่างโหดร้ายด้วยการฝึกอาวุธให้แก่พลเรือนฆ่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของกองทัพไทยด้วยความเข้าใจผิดนั้นสามารถจบลงด้วยน้ำตาและความเจ็บปวดของสังคมไทยในยุคก่อนได้กลายเป็นสูตรสำเร็จของการปกป้องอำนาจรัฐของฝ่ายอำมาตย์ที่กระทำอย่างย่ามใจและกำลังจะนำประสบการณ์นั้นกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่งด้วยการเตรียมการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธให้แก่พลเรือนชนิดอัดฉีดอย่างรวดเร็วผ่านกลไกของอดีตทหารป่าในนาม
“กองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
จะกลายพันธุ์เป็นความหวังดีประสงค์ร้ายอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ด้วยความหวาดกลัวกลุ่มประชาชนคนเสื้อแดงที่ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยอาศัยกลไกของระบอบประชาธิปไตยโดยถูกใส่ร้ายว่าเป็นขบวนการล้มเจ้าที่พรรคประชาธิปัตย์เสกสรรปั้นแต่งขึ้นเพียงต้องการจะเข้าสู่อำนาจด้วยวิธีพิเศษเท่านั้น,โดยผู้ออกแบบพิมพ์เขียว
6 ตุลา รอบใหม่นี้ลืมนึกไปว่าฐานะประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยนี้ขยายกว้างและหยั่งรากลึกมากกว่าปี
2519
หลายเท่านักและเชื่อมต่อแนวคิดทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นเนื้อเดียวกัน,อีกทั้งเหตุการณ์การลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนผู้ต้องการประชาธิปไตยในกลุ่มประเทศอาหรับหลายประเทศที่กลายเป็นกระแสอาหรับสปริงก็เป็นตัวอย่างให้เห็นชัดแล้วว่า
การปิดกั้นกระแสประชาธิปไตยด้วยการปราบปรามนั้นเป็นไปไม่ได้แล้วในศตวรรษที่ 21
แห่งโลกยุคโลกาภิวัฒน์
แต่กลุ่มอำนาจเผด็จการอำมาตย์ไทยยังดื้อรั้นที่จะกระทำต่อไปจึงเชื่อมั่นได้ว่าเหตุการณ์
6 ตุลา รอบใหม่นี้จะเกิดการกลายพันธุ์ลุกลามเป็นสงครามกลางเมืองยากแก่การควบคุมอย่างแน่นอน
บทสรุป ต้องตั้งสติกลับสู่การยอมรับเสียงข้างมากของประชาชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น