โดย ส.ส.ดร.สุนัย จุลพงศธร ประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ
จากจุดเริ่มต้นที่
นายโรเบิร์ต
อัมสเตอร์ดัม ทนายความชาวแคนาดา
ในฐานะตัวแทนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บต่อการสังหารหมู่ประชาชนในเหตุการณ์เลือดราชประสงค์เมื่อเดือนพฤษภาคม
2553 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะคนสัญชาติอังกฤษเป็นจำเลยต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
และกระผมในฐานะตัวแทนประชาชนในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศพร้อมเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮกและประชาชนผู้รักความเป็นธรรมได้เข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลอาญาระหว่างประเทศเมื่อ
9 ธันวาคม 2554 เป็นคนแรกและครั้งแรกในรอบ 10 ปี
นับแต่การก่อตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศขึ้นมา ซึ่งจนถึงขณะนี้ได้มีสัญญาณบ่งบอกแล้วว่าแสงสว่างแห่งนิติธรรมที่แท้จริงกำลังสาดแสงเข้าสู่ประเทศไทยแล้ว
โดยเฉพาะจากการดิ้นรนของพรรคประชาธิปัตย์ต่อกรณีที่ นายกษิต ภิรมย์
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ทำหนังสือยื่นแก้เกี้ยวร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศเพื่อเอาผิด
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรี บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนควรให้ความสนใจเพราะโอกาสที่จะมีการนำตัวฆาตกรตัวจริงขึ้นศาลที่ กรุงเฮกกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
กระบวนยุติธรรมไทยไร้น้ำยาต่อกรณีสังหารโหดทางการเมือง
อดีตและปัจจุบันได้พิสูจน์ยืนยันแล้วว่าระบบศาลยุติธรรมของไทยไม่อยู่ในฐานะที่จะมีพลังที่จะควบคุมตรวจสอบอำนาจของระบบเผด็จการทหารไทยที่แอบแฝงอยู่ในโครงสร้างการเมืองมายาวนานจนถึงทุกวันนี้
ดังจะเห็นได้ว่าคดีฆาตกรรมทางการเมืองที่โหดร้ายไม่ว่าจะเกิดขึ้นในรัฐบาลที่ใช้ชื่อว่าอะไรก็ตามหากเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของผู้ถืออาวุธในระบบราชการไทยแล้ว
ผู้ตายหรือผู้บาดเจ็บ จะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมของไทยเลย
นับตั้งแต่การสังหารโหด 4 รัฐมนตรีผู้ใกล้ชิดนายปรีดี พนมยงค์ ในปี 2492
โดยมีการกล่าวอ้างเท็จว่าถูกโจรจีนแย่งชิงตัว ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังจากที่ นายปรีดี พนมยงค์ ถูก จอมพลป.
พิบูลสงคราม ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ทำรัฐประหารโค่นล้มเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน
2490 และติดตามมาด้วยการสังหารโหดประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม
2516,การล้อมฆ่านักศึกษาประชาชนอย่างโหดร้ายในธรรมศาสตร์เมื่อ 6 ตุลาคม
2519,การสังหารโหดในเหตุการณ์เลือดพฤษภาทมิฬ 2535 ,จนถึงเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อ
12 เมษายน 2552 และตามมาด้วยกรณีสังหารโหดประชาชนจากผ่านฟ้าถึงราชประสงค์จาก 10
เมษายน ถึง 19 พฤษภาคม 2553
รวมทั้งการสังหารโหดในชนบทในอดีตไม่ว่าจะเป็นกรณีถีบลงเขาเผาลงถังแดงที่พัทลุงและกรณีตากใบ
ซึ่งทุกคดีที่กล่าวมานี้ไม่มีคดีใดเลยที่กระบวนการยุติธรรมไทยจะนำผู้กระทำผิดเข้าสู่การรับโทษได้
กรณี 3 ส.ส. ฟ้องจอมพลถนอมศาลไทยก็เป็นใบ้
หลักฐานที่ยืนยันได้ว่ากระบวนการยุติธรรมไทยไม่สามารถที่จะให้ความเป็นธรรมตามกฎหมายต่อกรณีการใช้อำนาจอันไม่ชอบของทหารได้แม้ว่าผู้ร้องขอความเป็นธรรมจากศาลจะเป็นผู้แทนราษฎรโดยชอบก็ตามได้แก่กรณีที่นายอุทัย พิมพ์ใจชน
สส.ชลบุรี,นายอนันต์
ภักดิ์ประไพ
สส.พิษณุโลก และนายบุญเกิด หิรัญคำ
สส.ชัยภูมิ รวม 3 คน ได้ยื่นฟ้องจอมพลถนอม กิตติขจร และพวกต่อศาลอาญาในข้อหากบฏภายในราชอาณาจักรต่อกรณีที่จอมพลถนอมฉีกรัฐธรรมนูญทำรัฐประหารตัวเองเมื่อ
17 พฤศจิกายน 2514 แต่ปรากฏว่าทันทีที่ยื่นฟ้องนั้นทั้ง 3 สส.กลับถูกจับบนศาลขณะที่ยื่นฟ้องส่งเข้าคุกและศาลไทยก็ไม่รับคำฟ้องพิจารณาโดยอ้างว่าหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์คล้ายกับเหตุการณ์ในวันนี้
ประธาน กมธ.ตปท.ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม
จากกรณีการสังหารโหดประชาชนไทยที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่ารวมตลอดถึงการที่ไม่สามารถพึ่งอำนาจศาลไทยต่อการกระทำที่ไม่ถูกต้องของอำนาจเผด็จการทหารได้
กระผมเห็นว่าหากยังปล่อยให้เหตุการณ์สังหารโหดประชาชนเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไปโดยกระบวนการยุติธรรมของไทยไม่อาจจะเอื้อมมือเข้ามาถึงได้ก็น่าเชื่อได้ว่าสังคมไทยจะเกิดกลียุคอย่างหลีกหนีไม่พ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจะเกิดการสังหารโหดขึ้นในอนาคตอีก
(เพราะไม่มีหลักประกันใดๆที่จะหยุดการสังหารโหดทางการเมืองได้) ก็จะเป็นเชื้อปะทุก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองไม่ต่างอะไรไปจากเหตุการณ์ในประเทศลิเบีย,ซีเรีย
และอีกหลายประเทศในกลุ่มประเทศอาหรับที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนคนไทยต้องล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วง
ดังนั้น ด้วยความสำนึกในหน้าที่ของผู้แทนราษฎร กระผมจึงร่วมกับประชาชนคนไทยที่พักอาศัยในสหภาพยุโรป
เดินทางไปพบกับประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ และตัวแทนสำนักงานอัยการสูงสุดของศาลอาญาระหว่างประเทศและยื่นหนังสือ
ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2554
เพื่อเรียกร้องขอความเห็นใจต่อการไร้ทางออกของญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บต่อการสังหารโหดที่อุกอาจที่สุดในกรณีราชประสงค์เลือด
ดังนั้นหนังสือฉบับนี้จึงเป็นหนังสือฉบับแรกที่เป็นทางการจากสภาผู้แทนราษฎรของไทยที่มีถึงอัยการสูงสุดของศาลอาญาระหว่างประเทศ
การจัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้เรื่องศาลอาญาระหว่างประเทศ
เพื่อเป็นการเผยแพร่ข่าวสารที่ถูกต้องต่อบทบาทของศาลอาญาระหว่างประเทศในการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายที่ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมจากอำนาจรัฐเผด็จการ
อันเป็นการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เป็นจริงต่อมนุษยชาติ
และเพื่อเป็นการปกป้องการบิดเบือนข่าวสารที่จะให้ร้ายต่อการแสวงหาความเป็นธรรมของผู้เสียหายในประเทศไทยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ทางกรรมาธิการการต่างประเทศจึงได้จัดสัมมนาให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับบทบาทของศาลอาญาระหว่างประเทศเมื่อวันที่
1 พฤษภาคม 2555 ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ ตึกรัฐสภา ประกอบไปด้วยนักวิชาการ อาทิเช่น
นายพนัส ทัศนียานนท์
อดีตอัยการอาวุโส
และคณบดีคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และเคยดำรงตำแหน่งวุฒิสภาจากจังหวัดตากที่มาจากการเลือกตั้ง,นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และนางสาวสุดสงวน สุธีสร อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และนางเอเวอร์รีน บาลาอิส ชาวฟิลิปปินส์ ตัวแทนศาลอาญาระหว่างประเทศ
ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ซึ่งประชาชนก็ได้ให้ความสนใจเข้าร่วมฟังจนล้นห้องประชุม
การจัดสัมมนาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2555
ถือได้ว่าสภาผู้แทนราษฎรได้รับรู้อย่างเป็นทางการถึงบทบาทของศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว
และผลจากการสัมมนาครั้งนี้ได้เกิดผลสะเทือนทางสังคมได้เกิดคลื่นการเรียนรู้ของประชาชนและให้ความสำคัญกับบทบาทขององค์กรนานาชาติที่จะเข้ามาปกป้องสิทธิของประชาชนในประเทศไทยมากขึ้น
ดังจะเห็นได้จากการเคลื่อนไหวขององค์กรประชาชนองค์กรต่างๆมากยิ่งขึ้นต่อกรณีนี้
ดังเช่นการเดินทางไปศาลอาญาระหว่างประเทศของคณะ นปช.และเกิดคลื่นการสัมมนาอย่างต่อเนื่องในภาคต่างๆ
อาทิเช่น ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมื่อ 18 สิงหาคม 2555 เป็นต้น
ประธาน นปช. นำผู้เสียหายร้องเรียนอัยการที่กรุงเฮก
เหตุการณ์สำคัญที่จำเป็นต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของการต่อต้านอำนาจเผด็จการทหารอีกประการหนึ่งที่จะส่งผลให้ศาลอาญาระหว่างประเทศมีความชอบธรรมที่จะเปิดการพิจารณาไต่สวนคดีตามคำฟ้องของนายโรเบิร์ต
อัมสเตอร์ดัม ในอนาคตอันใกล้ก็คือ การเดินทางไปให้การต่อสำนักงานอัยการสูงสุดที่กรุงเฮก
ของผู้เสียหายนำโดยนางธิดา ถาวรเศรษฐ์
ประธาน นปช.เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2555 ซึ่งประกอบไปด้วย นางพเยา
อักฮาด มารดาของน้องเกด ผู้เสียชีวิตในวัดปทุม นายคารม พลพรกลาง
ทนายความ นปช. และนักวิชาการระดับโลก ดร.ธงชัย
วนิจกุล ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซินสหรัฐอเมริกา ในฐานะอดีตนักโทษในเหตุการณ์สังหารโหด
กรณี 6 ตุลาคม 2519 ที่ต้องถูกจับขังคุกนานกว่า 2 ปี
ทั้งที่ตัวเองถูกไล่ฆ่าอย่างไม่เป็นธรรมในเหตุการณ์นั้น
กมธ.ต่างประเทศยกคณะไปศาลอาญาระหว่างประเทศ
กระผมในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ
ได้นำคณะกรรมาธิการอันประกอบไปด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
รวมทั้งเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮกเข้าพบประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ นายซาง-ฮยุน ซอง (Sang-Hyun Song) ชาวเกาหลีใต้ และนายฟากิโซ
โมโชโชโก (Phakiso Mochochoko) ตัวแทนอัยการสูงสุด
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2555
ณ
ที่ทำการของศาลอาญาระหว่างประเทศ โดยครั้งนี้ทางศาลอาญาระหว่างประเทศได้เปิดการต้อนรับคณะผู้แทนราษฎรไทยอย่างเป็นทางการโดยประดับธงชาติไทยคู่กับธงของศาลอาญาระหว่างประเทศในห้องประชุม
โดยมีประเด็นสำคัญในการหารือ
คือบทบาทของศาลอาญาระหว่างประเทศในการคุ้มครองสิทธิ์ของผู้เสียหายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากอำนาจรัฐตามที่บัญญัติไว้ในธรรมนูญแห่งกรุงโรม
และการเชิญประธานศาลอาญาระหว่างประเทศและตัวแทนอัยการสูงสุดให้เดินทางมาประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาทางวิชาการอย่างเป็นทางการที่กรรมาธิการการต่างประเทศจะจัดให้มีขึ้นในปลายปีนี้และพร้อมนี้ได้ยื่นหนังสือลงวันที่
21 มิถุนายน 2555 เพื่อติดตามเรื่องการร้องขอความเป็นธรรมลงวันที่ 9 ธันวาคม
ปีที่แล้วด้วย
การยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีต่างประเทศ
นอกจากนี้ขบวนการของประชาชนโดยเฉพาะขบวนการเสื้อแดงจากสหภาพยุโรปยังได้ร่วมมือกับคนไทยในประเทศยื่นหนังสือเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีเมื่อ 9 สิงหาคมเพื่อผลักดันให้เกิดการพิจารณาคดีฆาตกรรมหมู่ประชาชนนี้ในศาลอาญาระหว่างประเทศอีกด้วย
DSI
รื้อคดี 91 ศพ ตบตาประชาชน?
อะไรคือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ดีเอสไอต้องแสดงละครกลับลำครั้งนี้?
ปัจจัยหลักน่าจะเกิดจากแรงกดดันของประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยเฉพาะการผลักดันให้คดีอุกฉกรรจ์นี้ไปสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ที่มีส่วนโดยตรงต่อการสังหารประชาชน มาเป็นรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตร ย่อมมีส่วนสำคัญต่อท่าทีใหม่ของดีเอสไอ แต่ประเด็นสำคัญคือ
หากระบอบเผด็จการอำมาตย์ต้องการให้ฆาตกรตัวจริงหลุดลอยนวลในสถานการณ์โลกยุติธรรมล้อมไทยนี้ได้แล้วมีทางออกทางเดียวคือ
ต้องนำคดีนี้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลไทยจึงจะรอดพ้นเงื้อมมือของศาลอาญาระหว่างประเทศได้
ส่วนจะซูเอี๋ยกันด้วยฟ้องก่อนแล้วตัดสินปล่อยทีหลังก็ถือว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยได้เดินหน้าแล้ว
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงจะใช้เวลาอีกนานและก็สามารถฟันธงล่วงหน้าได้ว่าเวลาที่ทอดนานในกระบวนการยุติธรรมไทยและหากยังอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการที่แฝงเร้นนี้ก็เชื่อได้ว่าจะไม่มีการลงโทษฆาตกรตัวจริงได้แน่
อนาคตจะพิสูจน์สัจธรรมนี้
บทสรุป
ภายในรอบปีของการขึ้นบริหารประเทศของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระบวนการต่างๆของรัฐบาลและประชาชนก็ได้เริ่มขับเคลื่อนตามกลไกแห่งหลักนิติธรรม
แม้จะมีมือที่มองไม่เห็นเป็นอุปสรรคขัดขวางในเรื่องหลักๆที่จะไม่ให้ประเทศไทยกลับคืนสู่หลักนิติธรรมด้วยเพราะความอาฆาตแค้นของใครบางคนที่สะท้อนออกเด่นชัดที่ขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญและขัดขวางการปรองดอง
แต่หลายกระบวนการก็ขับเคลื่อนไปได้อย่างเงียบๆ อาทิเช่น
การขับเคลื่อนเรื่องศาลอาญาระหว่างประเทศนี้
ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลังจากจัดตั้งรัฐบาลเวลาผ่านมาประมาณ 10 เดือน
นับจากการเริ่มขับเคลื่อนอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนธันวาคม 2554 จนถึงขณะนี้ก็ก้าวรุดหน้าไปได้มากจนถึงขนาดกรมสอบสวนคดีพิเศษต้องออกมาแสดงละครกลับลำรื้อฟื้นคดีสังหารโหดขึ้นมาพิจารณาใหม่
จึงขอให้คนไทยต้องอดทนที่จะต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บให้ได้ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น