Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผมคือเยื่อสลายชุมนุม

ผมคือเยื่อสลายชุมนุม

จาก RED POWER เล่มที่ 16 วันที่ 15 กรกฎาคม 2554


ผมนาย สันติพงษ์ อินจันทร์ อายุ 25 ปี จบการศึกษาปริญญาตรีจาก มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง คณะศิลปะศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บถูกทหารยิงด้วยกระสุนยางจนสูญเสียตาขวา จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 10 เมษา 2553 บริเวณสี่แยกคอกวัว โดยเหตุเกิดขึ้นเนื่องจากวันที่ 10 เมษายน 2553 ผมกำลังทำอาหารเพื่อนที่จะนำไปแจกในที่ชุมนุม แต่เมื่อทราบจากในอินเตอร์เน็ทว่ามีทหารจะเข้ามาสลายการชุมนุม จึงได้ตัดสินใจไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยพร้อมกับครอบครัว โดยคิดเพียงว่าจะเกิดการผลักดันกันเหมือนครั้งก่อนที่มีเหตุปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและทหาร เมื่อไปถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยโดยเวลาประมาณบ่ายสองโมงเศษ ตัวผมจึงได้แยกกับครอบครัวไปที่สี่แยกคอกวัว เมื่อไปถึงก็เห็นผู้ชุมนุมอยู่ประปราย โดยอีกฝั่งมีกองทหารจำนวนมากตั้งแถวอยู่ฝั่งตรงข้าวกับผู้ชุมนุม แต่ยังไม่มีเหตุปะทะเกิดขึ้น จนกระทั่งเวลาประมาณห้าโมงเย็นเศษ ได้มีเฮลิคอปเตอร์ทหารบินอยู่เหนือผู้ชุมนุมและโยนแก๊สน้ำตาหลงมาที่ด้านหลังของผู้ชุมนุมรวมทั้งตัวผม จึงทำให้ผู้ชุมนุมและตัวผมต่างวิ่งหนีออกไปล้างหน้า หลังจากนั้นจึงมารวมตัวกันใหม่ จนกระทั่งเวลาประมาณหกโมงถึง หนึ่งทุ่ม ท้องฟ้ามืดแล้วได้มีกำลังทหารมาเปลี่ยนผลัด และได้เคลื่อนกำลังเข้ามาปะทะกับผู้ชุมนุม โดยตัวผมเองอยู่แถวหน้าสุดก็ใช่มือเปล่าดันกับทหาร โดยแนวหน้าของทหารนั่นใช้โล่และกระบองในการเข้าปะทะ ส่วนแนวหลังนั้นใช้อาวุธปืน เมื่อเกิดการปะทะกัน ฝั่งผู้ชุมนุมก็ล่นถอยเนื่องจากมีเสียงปืนดังตลอด และมีผู้ชุมนุมร่วงลงกับพื้นเนื่องจากโดนยิง  และถูกหามออกไปหลายคน โดยทางผู้ชุมนุมก็ตอบโต้ไปโดยใช้ขวดน้ำ ก้อนหิน และสิ่งของที่พอหาได้รอบๆตัว ขว้างปาตอบโต้กลับไป จนกระทั่งเวลาประมาณหนึ่งทุ่มเศษ ตัวผมรู้สึกแสบตาเนื่องจากทางทหารได้มีการยิงแก๊สน้ำตามาที่ผู้ชุมนุม ผมถึงถอยไปล้างหน้าที่บริเวณกลางถนนราชดำเนินใกล้ๆสี่แยกคอกวัว โดยฝั่งทหารอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ถูกกระสุนยางยิงเข้าที่ตาขวา จากนั้นผมจึงบอกคนในบริเวณนั้นให้ช่วยผม และได้ปฐมพยาบาลที่เต็นท์ฟาเรด หลังจากนั้นก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลวชิระ และได้รับการผ่าตัดรอบแรกประมาณเที่ยงคืนวันนั้น เมื่อผ่านไปเจ็ดวันแพทย์ได้ตรวจและลงความเห็นให้ผ่าตัดควักตาขวาออก เนื่องจากเกิดความเสียหายจนไม่สามารถมองเห็นและเริ่มติดเชื้อ จึงต้องรีบผ่าออกเพื่อป้องกันไม่ให้ลามไปตาซ้าย หลังจากผ่าตัดก็นอนพักรักษาจนกระทั่งวันที่ 23 เมษายน 2553 ก็ได้ออกมาพักรักษาตัวต่อที่บ้าน หลังจากนั้นก็ได้เข้ารับการผ่าตัดอีกสองครั้งที่โรงพยาบาลรัตนินเพื่อศัลยกรรมตกแต่งและใส่ตาเทียม และยังคงรักษาต่อเนื่องจนกระทั่งทุกวันนี้

ผลกระทบที่ได้รับคือการสูญเสียตาขวาไปแบบถาวร ทำให้การใช้ชีวิตที่พึ่งเพียงตาซ้ายข้างเดียวค่อนข้างลำบากกว่าแต่ก่อน การเดินเหินต้องทำแบบช้าๆ เนื่องจากทัศนวิสัยแคบลงไปมาก การหยิบจับของต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง เพราะต้องจ้องดีๆ ไม่ฉะนั้นจะไม่สามารถหยิบของถูก หรือที่เรียกว่าอาการ วืด เพราะสายตาไม่สม่ำเสมอ แต่ทั้งนี้ก็มีโอกาสที่ดีเข้ามา หลังจากเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 เพิ่งได้รับโอกาสที่ดีในชีวิต ได้เข้าทำงานกับ Voice TV ในฐานะผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นความฝันอย่างหนึ่ง การทำงานเป็นไปอย่างสนุกสนาน และตื่นเต้น เพราะงานสื่อเป็นงานที่ท้าทาย และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ตลอด แต่เนื่องจากต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ทำให้ตาซ้ายที่เหลืออยู่เริ่มรับไม่ไหว มีอาการพล่ามัว และแห้งมาก ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้ตาข้างที่เหลืออยู่มืดบอด ทำให้ต้องตัดสินใจลาออกหลังจากทำงานได้เพียง 20 วัน ซึ่งนับเป็นเรื่องเจ็บปวด แต่เพราะไม่อยากเอาเปรียบเพื่อนรวมงาน สำหรับการลดงานลง แต่รับเงินเดือนเท่าคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีในความคิด การลาออกนับเป็นทางออกที่ดีที่สุด และเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีศักยภาพและร่างกายที่พร้อมกว่าได้เข้ามาทำงาน

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันงานแทบทุกชนิดก็มักจะใช้คอมพิวเตอร์ คงมีเพียงการทำธุรกิจส่วนตัว หรือค้าขายที่ไม่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา แต่เนื่องด้วยต้นทุนชีวิตที่ไม่สูงนัก บวกกับสภาพเศรษฐกิจในความเป็นจริงที่ไม่ดีอย่างมาก ผิดกับที่รัฐบาลได้กล่าวว่าเศรษฐกิจขยายตัว จึงทำให้โอกาสในการค้าขายคงเป็นได้อย่างลำบาก แต่ทั้งนี้ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินไป เพื่อหาลู่ทางหรือโอกาสต่อไป

จากวันนั้นจนถึงวันนี้เหตุการณ์ผ่านไปแล้วเป็นปี ความเจ็บปวดทางกายนั้นหายดีแล้ว แต่ความเจ็บปวดทางใจที่เกิดขึ้นไม่ได้ลดน้อยลงแม่แต่น้อย เพราะผู้สั่งการ ผู้ดำเนินการ และผู้เกี่ยวข้องในการสังหารประชาชนยังคงลอยนวลอยู่หน้าตาเฉย และยังคงเหยียบย่ำ ถากถาง และใส่ร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา  นอกจากนี้ ก็ยังไม่มีความยุติธรรมใดๆเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย คดีความที่ได้ยื่นต่อศาลไปก็ยังคงเงียบเฉย ทั้งๆที่พยานและหลักฐานต่างก็มีอย่างแน่น หากแต่ศาลก็ยังไม่ดำเนินการใด เพียงแค่รับเรื่องเข้าสู่ศาล คงต้องรอดูต่อไปว่าประเทศนี้จะพอมีความยุติธรรมอยู่บ้างหรือไม่ 

การปรองดองภายในประเทศชาตินั้น นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้เกิดความสามัคคี เป็นบ่อเกิดให้ประเทศชาติมีความมั่นคงแข็งแกร่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การปรองดองต้องล้วนอยู่บนพื้นฐานแห่งความยุติธรรม มิใช่เพียงแค่การพูดของบุคคล กลุ่มบุคคล รวมองค์กร หรือพรรคการเมืองใดๆก็ตาม ทังนี้ผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ หรือได้รับความเสียหายใดๆ ไม่มีโอกาสได้พูด อธิบาย หรือมีเสียงต่อสังคมถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และความเจ็บปวดที่หน่วยงานของรัฐได้กระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่กลับเรียกร้องให้เกิดการปรองดองขึ้นเพื่อให้ประเทศชาติได้เดินต่อไปแบบทุลักทุเล  แต่อยากให้คิดสักนิดว่า หากผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลัง ผู้ที่ดำเนินการ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารประชาชนทุกคนยังไม่ได้ถูกลงโทษ แล้วจะเกิดการปรองดองที่เป็นความยุติธรรมได้อย่างไร คงเป็นเพียงการปรองดองเพื่อกลบเกลื่อนความชั่วร้ายเท่านั้น ดังที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์การต่อสู้ที่ผ่านๆมา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นในรูปแบบเดิมๆ และมันจะต้องเกิดซ้ำซากอีกกี่ครั้ง ต้องเจ็บปวดกับอีกกี่เที่ยว จะต้องมีคนตายอีกกี่ศพ หรือต้องรอให้ประเทศวายวอดก่อนถึงจะรู้สึกตัวกัน               

1 ความคิดเห็น: