บทความจาก RED POWER ฉบับที่ 16
ความรุ่งเรืองและความเสื่อมเป็นภาวะสองด้านแห่งธรรมชาติที่ดำรงอยู่ในสิ่งมีชีวิตและสังคมทุกสังคม พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีอายุยืนยาวเกือบศตวรรษ ย่อมรู้ในสัจธรรมนี้ ส่วนการจะปล่อยวางได้เป็นเรื่องของความเข้าใจ ดังนั้นความรู้กับความเข้าใจเป็นคนละเรื่องกัน การปล่อยวางได้หรือไม่ได้จึงเป็นบุญเป็นบาปของแต่ละคน ถ้าพลเอกเปรมปล่อยวางได้ชีวิตบั้นปลายของท่านก็ย่อมปิติด้วยสุข แต่สำหรับปุถุชนที่กุมอำนาจรัฐไว้ในมือที่ยาวนาน การปล่อยวางได้ย่อมส่งผลโดยตรงต่อความสงบสุขของสังคมประเทศชาติ ผลเลือกตั้งที่ ปู ยิ่งลักษณ์ ชนะ อภิสิทธิ์ ด้านหนึ่ง จึงเป็นสิ่งบอกสัญญาณแห่งความเสื่อมของ พลเอกเปรม เจ้าของมือที่มองไม่เห็นตัวจริงเสียงจริงในฐานะเสาค้ำอำนาจนอกระบบและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พรรคประชาธิปัตย์กราบกรานและอีกด้านหนึ่งเป็นสิ่งบอกสัญญาณการขยายตัวเติบใหญ่ของประชาธิปไตยแห่งสามัญชนของประเทศไทยที่ไม่อาจขัดขวางได้อีกแล้ว แต่สังคมจะก้าวขึ้นสู่ความเจริญอย่างราบรื่นตามครรลองประชาธิปไตยโดยไม่สูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการปล่อยวางแห่งปุถุชนผู้สูงอายุซึ่งมือที่มองเห็น คือประชาชนจะต้องจับตาดู
พลเอกเปรม เสื่อมแล้วสูง , สูงแล้วเสื่อม
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แม้ดวงแห่งอำนาจดูเหมือนพุ่งโด่งมาโดยตลอดไม่เคยตกต่ำ แต่หากใครลองศึกษาชีวิตการเมืองย้อนหลังของท่านก็จะพบความจริงแห่งเส้นทางชีวิตว่าท่านเคยตกต่ำถึงขนาดถูกเด็กนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงต่อยหน้าจนดั้งจมูกแตก แล้วต่อมาเด็กหนุ่มคนนั้นก็ตายอย่างปริศนาในเรือนจำ และคนทั้งบ้านทั้งเมืองเกลียดชังท่าน เมื่อครั้งตอนปลายแห่งการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงปี 2530 ถึงขนาด ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ฝ่ายค้านในขณะนั้นกล้าข่มขวัญอย่างเปิดเผยทั้งๆที่ห้อมล้อมคุ้มครองด้วยนายทหารยังเติร์กหลายกองพันว่าจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยการเปิดตัวบุคคลชายหนุ่มหน้าหล่อร่างงามผู้ใกล้ชิด และสิ่งที่ยืนยันว่ากระแสการเมืองโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯเบื่อหน่ายตัวพลเอกเปรม อย่างถึงที่สุดก็คือการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายที่พลเอกเปรม คุมบังเหียนอำนาจรัฐ ด้วยการนำเสนอคนกรุงเทพมหานครของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงว่า “หากต้องการให้เปรมเป็นนายกฯให้เลือกพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้าไม่ต้องการให้เปรมเป็นนายกฯให้เลือกพรรคมวลชน” และเพียงสโลแกนเช่นนี้ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะหัวหน้าพรรคมวลชน สามารถเอาชนะนำพลพรรคเข้าสภาในนาม ส.ส. กทม.ได้อย่างสบายเหยียบหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเพราะคนกทม.รู้ดีว่า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่อยู่ในโอวาทของพลเอกเปรม ของจริง
พลเอกเปรมไม่เพียงแต่ประสบมรสุมการเมืองจากความเบื่อหน่ายของประชาชนในบั้นปลายชีวิตนายกรัฐมนตรีเท่านั้น หากแต่ต้องเผชิญมรสุมของเครือข่ายพิทักษ์ราชบัลลังก์ด้วย จากภาพที่สะเทือนใจประชาชนโดยตั้งใจหรือเผลอเลอของตัวท่านเองก็ไม่มีใครทราบได้ นั้นคือภาพของพลเอกเปรม ที่เดินเหยียบไปบนผ้าขาวม้าและผ้าขาวที่ประชาชนวางทอดให้เหยียบหลายครั้งต่อหลายครั้ง ซึ่งเหมือนกับภาพถ่ายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกสู่ชนบทเพื่อให้พสกนิกรได้ชื่นชมบารมีและมีพสกนิกรนำผ้าขาวม้าและผ้าขาวให้พระองค์ทรงประทับรอยพระบาท เพื่อนำไปกราบไหว้เป็นสิริมงคล
ดังนั้นในช่วงปลายชีวิตการเมืองในระบอบรัฐสภาครึ่งใบ พลเอกเปรม ก็ได้ถูกมรสุมทั้งการเมืองและมรสุมจากเครือข่ายพิทักษ์ราชบัลลังก์กระหน่ำอย่างรุนแรงในพฤติกรรมอันไม่เหมาะสม ซึ่งหากมองด้วยสายตาของไม้ใกล้ฝั่งในวันนี้ พลเอกเปรม น่าจะเข้าใจสัจธรรมแห่งความไม่เที่ยงแท้แน่นอน อันเป็นแก่นแท้แห่งพุทธศาสนาว่าด้วยโลกธรรม 8 ที่ว่า มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีรักมีชัง มีได้มีเสีย เพื่อให้ชีวิตบั้นปลายลาโลกอย่างปิติยิ่ง และนับแต่พ้นตำแหน่งนายกฯอย่างทุลักทุเล พลเอกเปรม ก็กลับขึ้นสู่กระแสอำนาจสูงอีกครั้งเมื่อดำรงตำแหน่งเกียรติยศอย่างยิ่งแห่งชีวิตคือ ประธานองคมนตรีแต่แทนที่ชีวิตจะสมบูรณ์และลาโลกอย่างปิติสุขยิ่ง ก็เกิดเหตุการณ์ที่เป็นบทพิสูจน์ตั้งแต่ก่อนการรัฐประหารล้มระบอบประชาธิปไตยเมื่อ 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบันได้พิสูจน์แล้วว่า พลเอกเปรม ปล่อยวางไม่ได้จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความปั่นป่วนของบ้านเมืองมาจากการไม่ยอมปล่อยวางทางอำนาจ ทั้งๆที่ตำแหน่งเกียรติยศที่ดำรงอยู่ในบั้นปลายชีวิตกำหนดไว้ทั้งกฎหมายและราชประเพณี ว่าต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและต้องเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งประธานองคมนตรีท่านก่อนคืออาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ก็เคยปฏิบัติเป็นแบบอย่างในขณะ พลเอกเปรมที่ทำตัวเหมือนรู้ธรรมะ แต่ความจริงกลับไม่เข้าใจธรรมะ ดังนั้นเมื่อ พลเอกเปรม เป็นปุถุชนที่อายุมากย่อมหนีไม่พ้นความเสื่อมแห่งร่างกายและสมองอันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตแต่ พลเอกเปรม กลับมีความสุขกับการเล่นกับอำนาจในฐานะผู้กุมอำนาจรัฐตัวจริงนอกระบบหรือในฐานะ มือที่มองไม่เห็น ที่สังคมรู้จัก ดังนั้นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ นับแต่วันนี้ไปสู่เวลาแห่งอนาคตวันที่จะสร้างชาติสร้างประชาธิปไตย เมื่อคุณปู ยิ่งลักษณ์ ได้รับอำนาจจากเสียงสวรรค์ท่วมท้นแล้วจะราบรื่นหรือไม่ ตัวพลเอกเปรมจึงกลายเป็นปมปัญหาสำคัญ
พลเอกเปรม กับ 5 ปี แห่งวิกฤติการเมืองบั้นปลาย
ก่อนการยึดอำนาจล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อ 19 กันยายน 2549 จนถึงชัยชนะของคุณปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 เราไม่อาจจะปฏิเสธบทบาทสำคัญของมือที่มองไม่เห็นท่านผู้นี้เริ่มต้นจากรูปธรรมการรับหนังสือถวายฎีกาของกลุ่มพันธมิตรในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2549 , วลีเผด็จการของพลเอกเปรมที่เป็นสัญลักษณ์ส่งสัญญาณสู่การรัฐประหารที่ว่า “จ๊อกกี้ไม่ใช่เจ้าของม้า ม้าไม่ต้องฟังจ๊อกกี้”, จนถึงการแสดงตัวชมเชยนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ รัฐบาลจากการยึดอำนาจว่าเป็นคนดีเหมือน เชอร์ชิล นายกฯอังกฤษและชื่นชมการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯโดยไม่ชอบของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า “ประเทศไทยโชคดีที่ได้อภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ” จนถึงคนสนิทอย่าง พลตรีจำลอง ศรีเมือง และนายประสงค์ สุ่นศิริ ที่นำเสนอวาทกรรมการยึดอำนาจปิดประเทศ 5 ปี และต่อต้านการเลือกตั้งด้วยการชุมนุมเสนอ โหวตโน (Vote No) ที่สะพานมัฆวานเมื่อต้นปี 2554 ซึ่งมีพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายจราจรแต่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ล้วนแล้วแต่ยืนยันว่า พลเอกเปรมทำใจไม่ได้กับสัจธรรมโลกธรรม 8 แห่งบั้นปลายชีวิต ดังนั้นการตามรังควานเพื่อขัดขวางระบอบประชาธิปไตยและดำรงระบอบอำมาตย์ให้มั่นคงเพื่อให้อำนาจนอกระบบของท่านดำรงอยู่ได้ ด้วยเหตุนี้ 5 ปี ที่ผ่านมาจึงเป็นความทนทุกข์ของคนไทยอันเป็นผลแห่งความจำทนของประชาชนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่มาจากมือที่มองไม่เห็นที่ทำลายรัฐบาลของประชาชนและ ค้ำจุนรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ประชาชนมิได้เห็นชอบด้วย แม้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะเกิดการทุจริตอย่างโจ่งแจ้งแดงแจ๋ข้าวของแพงชาวบ้านน้ำตาเป็นสายเลือดเกิดการฆาตกรรมประชาชนกลางสี่แยกราชประสงค์ แต่พลเอกเปรมก็ไม่เคยท้วงติงหรือแสดงความเมตตาต่อประชาชนแม้แต่คำเดียวก็ไม่เคยหลุดออกจากปากของท่าน ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของประชาชนที่เฝ้ามองอย่างสงสัย แต่ด้วยฐานะประธานองคมนตรีของ พลเอกเปรม ก็กลายเป็นผ้ายันต์ปิดปากปิดตาประชาชน แต่ไม่อาจจะปิดความคิดของประชาชนได้ ดังนั้นกระบวนการความคิดทางสังคมจึงไหลทะลักออกทางกล่องบัตรลงคะแนนเสียง ตามครรลองแห่งประชาธิปไตยในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ให้แก่คุณปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เสียงประชาชนที่มอบให้แก่ คุณยิ่งลักษณ์ จึงเป็นมติมหาชนที่ผ้ายันต์ของ พลเอกเปรมเสื่อมมนต์ไม่อาจจะปิดกั้นความคิดประชาธิปไตยของประชาชนได้
เพื่อไทย 265 เสียง : ฟ้ามีตา ประชาไม่เอาป๋า
จากวิกฤติการเมืองที่ยาวนาน 5 ปี ที่อำนาจนอกระบบได้ใช้กลไกกองทัพ ศาล และสื่อมวลชน โอบอุ้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และรวมศูนย์โจมตีให้ร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์แห่งกฎหมาย และคุณธรรมแห่งรัฐ กล้าแม้กระทั้งบิดเบือนข่าวสารที่ใช้ทหารสังหารประชาชนอย่างโหดร้ายกลางเมืองหลวง โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ – สุเทพ ใช้สำนวนโวหารกล่าวเท็จต่อประชาชนทุกเมื่อเชื่อวัน และตลอดเวลาแห่งการปั่นป่วนและไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณธรรม กลับไม่แสดงออกใดๆต่อภาวการณ์ที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมเช่นนี้เลยนั้น ส่วนฝ่ายประชาชนมีเพียงสถานีวิทยุชุมชนเล็กๆไม่กี่สถานีก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร บุกโจมตีปิดและมีสัญญาณสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเซียอัพเดทเพียงช่องเดียวก็ถูกก่อกวนสัญญาณอยู่ตลอดเวลา ถ้าเปรียบเทียบกำลังส่งและประสิทธิภาพของเครื่องมือการสื่อสารของฝ่ายพรรคเพื่อไทย ย่อมสู้วิทยุโทรทัศน์ของทางราชการไม่ได้ แต่ปรากฏว่าอำนาจนอกระบบก็ไม่อาจจะยัดเยียดข่าวสารครอบงำความคิดประชาชนได้ ดังนั้น 5 ปีกว่าที่ผ่านมาย่อมถือได้ว่าเครดิตของพลเอกเปรมที่แสดงออกในฐานะแกนนำพลังอำนาจนอกระบบที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์แห่งวิกฤติการณ์เมืองได้พังทลายแล้ว จากผลการเลือกตั้งครั้งนี้ เปรียบประหนึ่งว่าฟ้ามีตา ประชาชนไม่เอาป๋าแล้ว
การปล่อยวางของพลเอกเปรม กับ
การเบ่งบานของดอกไม้ ปชต.
ดอกไม้ประชาธิปไตยแห่งอนาคตจะเบ่งบานได้อย่างเสรีหรือไม่ หรือจะถูกห่อด้วยถุงพลาสติกให้เฉาตายอีก จึงเป็นปมเงื่อนปัญหาที่ประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศกำลังเฝ้ามองอย่างหวาดวิตกต่อบทบาทของ พลเอกเปรม กับวิกฤติของประเทศไทย แม้แต่นิตยสารไทม์สของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นนิตยสารยักษ์ใหญ่ของโลกฉบับวางแผงวันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ก็ยังทำนายว่าแม้ผ่านการเลือกตั้งแล้วประเทศไทยก็จะยังยุ่งเหยิงต่อไป
อนาคตประชาธิปไตยไทยนับแต่ 3 กรกฎาคม 2554 เป็นภาวะความเสี่ยงภัยที่มีชีวิตของประชาชนและลูกหลานเป็นเดิมพัน ทุกคนเฝ้าภาวนาขอให้ผู้กุมอำนาจรัฐผู้สูงอายุท่านนี้เข้าสู่ธรรมะของพระพุทธองค์ โดยยอมปล่อยวางให้กลไกแห่งประชาธิปไตยทำหน้าที่ของมัน โดยให้ประชาชนซึ่งเหมือนลูกหลานที่เติบโตแล้วรับผิดชอบกันเอง แต่ดูจากช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง การเดินหมากของผู้กุมอำนาจรัฐที่ให้ทหารออกมาข่มขู่,พร้อมกับให้ลูกสมุนทั้งพันธมิตรเสื้อเหลืองและเสื้อหลากสีทั้งแก้วหน้าม้าและหมอตุลย์และกลุ่มสยามสามัคคีที่นำโดยลูกสมุนเผด็จการเช่นพลเอกสมเจตน์ บุญถนอม อดีตเลขา ค.ม.ช.ออกมาโจมตีคุณปู ยิ่งลักษณ์ อย่างโจ๋งครึ่ม ถึงขนาดแกนนำพันธมิตรยื่นหนังสือให้ ก.ก.ต. เพื่อจะเผด็จศึกคุณปู ยิ่งลักษณ์ ด้วยการยุบพรรค ซึ่งเป็นวิธีการหักด้ามพร้าด้วยเข่าก็กล้าทำกัน จนถึงโค้งสุดท้ายก็รู้ว่าประชาธิปัตย์แพ้แน่ๆ ก็ส่งสัญญาณไฟเขียวให้พรรคประชาธิปัตย์และกรมประชาสัมพันธ์ ระดมโจมตีใส่ร้ายโดยดึงความเห็นจากก้นบึ้งหัวใจของบุคคลผู้อาวุโสนี้ออกมาถล่มด้วยการแจกซีดี “ทักษิณคิด ประเทศไทยหายนะ” และอย่าเลือกพรรคที่ทำลายสถาบัน ทำให้ประชาชนวางใจยากว่า พัฒนาการประชาธิปไตยของบ้านเมืองจะราบรื่น
ได้เวลาก้มหัวให้แก่มติมหาชนแล้ว
การแหวกวงล้อมลวดหนามและดงตำแยใส่ร้ายป้ายสีเผาบ้านเผาเมืองและเป็นขบวนการล้มเจ้าที่แกนนำอำนาจนอกระบบสั่งการให้สร้างขึ้นในฤดูการเลือกตั้ง แต่คุณ ปู ยิ่งลักษณ์ ก็ผ่านข้ามไปได้ ด้วยการร่วมแรงร่วมใจเปิดทางให้ของมหาชน เป็นเหตุการณ์ที่พลเอกเปรม ควรต้องเข้าใจต่อสิ่งที่เรียกว่า“มติมหาชน”และควรให้เกียรติโค้งหัวให้ อีกทั้งท่านก็มีบทเรียนที่เจ็บปวดต่อการขัดขวางมติมหาชนมาแล้วก่อนหน้านี้ถึง 2 ครั้ง คือ การไม่ยอมรับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จนเกิดการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 และการไม่ยอมรับรัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย โดยการทำรัฐประหารเงียบ ด้วยการใช้กลุ่มพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ยึดทำเนียบและยึดสนามบินรวมทั้งใช้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเป็นเครื่องมือล้มทั้ง 2 รัฐบาล แต่แทนที่พลังประชาธิปไตยของประชาชนจะถดถอย หวาดกลัว จากการเข่นฆ่า ข่มขู่ และใส่ร้ายว่าเป็นพวกล้มสถาบัน แต่กลับตาลปัตรว่า พลังประชาธิปไตยประชาชนกลับผนึกแน่นจนประสบชัยชนะในการเลือกตั้งมีเสียงพรรคเดียวเกินครึ่งสภา ดังนั้นสถานการณ์ทางการเมืองควรอย่างยิ่งที่ท่านต้องให้เกียรติมติมหาชน หากยังก้าวข้ามและขัดขวางเช่นอดีตอีก เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
การเมืองไทยเข้าสู่ยุคอุดมการณ์ขวางทางไม่ได้แล้ว
นักวิชาการฝ่ายจารีตนิยมได้กล่าวหมิ่นประมาทประชาชนมายาวนานแล้วว่า “เงินไม่มากาไม่เป็น” แต่หารู้ไม่ว่าเนื้อแท้แล้วประชาชนพร้อมจะก้าวเข้าสู่การเมืองแห่งอุดมการณ์ เพียงแต่นักการเมืองยังลมเพลมพัดด้วยเพราะระบบการเมืองประชาธิปไตยไม่มั่นคง ณ วันนี้ทุกคนเกิดสภาวะตาสว่างแล้วว่า โดยเนื้อแท้แห่งการเมืองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงทำให้ประชาชนกินอิ่มนอนหลับได้ดีกว่าระบอบเผด็จการแน่นอนและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากนโยบายที่กินได้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้สร้างต้นแบบไว้ ดังนั้นประชาชนจึงสรุปได้ว่าอดีตที่ทุกข์ยากของพวกเขาปัญหาหลักมิใช่มาจากนักการเมือง หากแต่เกิดจากอำนาจนอกระบบที่คอยแหย่ไชไม่ให้ระบอบประชาธิปไตยมั่นคงด้วยเพราะชนชั้นนำพยายามสร้างการเมืองแบบของตนซึ่งเป็น “ระบอบประชาธิปไตยกาฝาก” ที่เก็บน้ำเลี้ยงงบประมาณส่วนใหญ่ไว้กินเพียงกลุ่มชนชั้นนำเล็กๆของตนเท่านั้น ดังนั้นวิกฤติการเมือง 5 ปี ที่ผ่านมาทำให้ประชาชนตาสว่างรู้เช่นเห็นชาติความเห็นแก่ตัวของชนชั้นนำอย่างชัดแจ้ง ภาวะความตื่นตัวที่ออกมาลงคะแนนอย่างเร่งรีบเอาจริงเอาจังจึงแสดงออกให้เห็นในวันลงคะแนนล่วงหน้าเมื่อ 26 มิถุนายน และวันลงคะแนนจริงเมื่อ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
การขัดขวางมติมหาชนในยุคแห่งการเมืองกินได้ที่ประชาชนเห็นชัดแล้วว่า ชีวิตจะอยู่ดีมีสุขได้ต้องมีระบอบการเมืองของประชาชนที่พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจ จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งไม่ต่างอะไรกับคนแก่หลงยุคที่หลงว่าบารมีของตนผู้คนจะเกรงขามและพร้อมจะท้าทายด้วยการยืนขวางถนนให้รถสิบล้อที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงเบรกหยุดได้ดั่งใจหมายเพราะเชื่อมั่นในบารมีที่ไม่ถูกกฎหมายซึ่งแน่นอนที่สุดโชเฟอร์ผู้ขับรถสิบล้อเขาย่อมไม่รู้ถึงบารมีโบราณนั้นด้วยเพราะเขาเชื่อมั่นต่อระบบจราจรและเครื่องหมายจราจรที่เป็นสากลแล้ว ดังนั้นย่อมไม่มีใครคาดคิดได้ว่า เหตุการณ์แปลกประหลาดจะเกิดขึ้นจากคนหลงยุคกระทำเช่นนั้นได้ นอกเสียจากคนบ้าเท่านั้นที่จะยืนขวางเส้นทางจราจรในสัญญาณไฟเขียวที่ทุกคนขับรถวิ่งตามกฎจราจรด้วยความเร็ว
บทสรุป
ท่ามกลางสายตาของชาวโลกและกลุ่มประเทศที่เจริญแล้ว เฝ้ามองเมืองไทยถึงขนาดนายบัน คี มูน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ ได้กล่าวเตือนประเทศไทยให้เคารพเจตนาของประชาชนและเอกอัครราชทูตของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ได้เปิดโอกาสให้คุณปู ยิ่งลักษณ์ เข้าพบและสนทนาความเมืองกันโดยไม่เปิดเผยรายละเอียด และยืนยันด้วยมติมหาชนเสียงข้างมากให้แก่พรรคเพื่อไทยเกินครึ่งสภาเช่นนี้ น่าจะเป็นสัญญาณเตือนใจให้บุคคลผู้กุมอำนาจรัฐตัวจริงได้สติและยอมรับความเป็นจริงแห่งโลกสมัยใหม่ว่าประชาธิปไตย คือศาสนาแห่งศตวรรษที่ 21 ที่ทุกคนต้องให้ความศรัทธาและเชื่อมั่น ดังนั้นหากแกนนำอำนาจนอกระบบยังไม่เข้าใจต่อสัจธรรมแห่งพุทธศาสนาและสัจธรรมแห่งศาสนาประชาธิปไตย บาปเคราะห์ทั้งหลายจะประสบกับผู้ไม่ปล่อยวางทางอำนาจ และสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ ความเดือดร้อนจะเกิดขึ้นแก่ประชาชนและลูกหลานอย่างไม่ควรจะเป็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น