Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

26 กรกฏาคม เอวิต้า เธอผู้ไม่แพ้

26 กรกฏาคม เอวิต้า เธอผู้ไม่แพ้

โดย. ทีมงานข่าว Dr.sunai Fan Club



          มาเรีย เอวา ดูอาร์เต้ เกิดที่ชานกรุงบัวโนส ไอเรส เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ.1919
ในครอบครัวที่ยากจน และสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อบิดาเสียชีวิตขณะที่เอวามีอายุได้
เพียง 7 ขวบ ทิ้งภรรยาและลูก ๆ อีก 5 คน ให้เผชิญโลกตามลำพัง การดิ้นรนในสังคมที่มีความแตกต่างกันอย่างมากทางชนชั้น ความอยุติธรรม และการเอารัดเอาเปรียบต่าง ๆ ทำให้เอวามีแนวคิดทางสังคมมาตั้งแต่เล็ก ๆ ในชั้นแรกเธอคิดเหมือนกับคนจนทั่วไปว่าเป็นเรื่องปกติที่คนจนจะเป็นได้แค่ต้นหญ้า และคนรวยจะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ตลอดไป แต่เมื่อเริ่มโตขึ้น เธอเริ่มพินิจว่า การที่คนจำนวนมากยากจนนั้นเป็นเพราะคนรวยแสวงหาความร่ำรวยจนเกินไปโดยไม่รู้จักความพอเพียง
          เอวาสนใจในการแสดงเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ในปี 1934 เธอเดินทางเข้ามาศึกษาวิชาการแสดงและการกล่าวสุนทรพจน์ที่บัวโนส ไอเรส และเริ่มชีวิตนักแสดงละครเวที แต่ยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก หลังจากนั้นจึงหันไปเป็นนางแบบปกนิตยสาร นางแบบโฆษณา ควบคู่ไปกับการแสดงภาพยนต์ และจัดรายการวิทยุ ซึ่งทำให้เธอเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แต่ชีวิตของศิลปินในเวลานั้นเป็นไปด้วยความขมขื่นและยากลำบาก
          วันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1943 เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญในอาร์เจนตินา เมื่อคณะทหารทำการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครอง ต่อมาในเดือนตุลาคมปีนั้น คณะปฏิวัติ ได้แต่งตั้งพันโทฆวน โดมิงโก้ เปรอน มาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมแรงงาน เพื่อดูแลรับผิดชอบปัญหาแรงงาน ก่อนที่กรมนั้นจะได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นสำนักงานเลขาธิการแรงงานและสวัสดิการสังคม มีฐานะเทียบเท่ากระทรวง ในเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนต่อมา
          กลางเดือนมกราคม ค.ศ.1944 เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในจังหวัดซันฆวน
เหล่าศิลปินได้รวมตัวกันจัดงานหาเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย ประธานาธิบดีเปรโด รามิเรซ และ
พันโทเปรอน ได้มาร่วมงานด้วย เอวามีโอกาสพบกับเปรอนเป็นครั้งแรก และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตั้งแต่นั้น ทั้งคู่มีทัศนะทางสังคมและการเมืองที่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยสันติวิธี
          เอวาช่วยเหลือพันโทเปรอนด้านงานแรงงานและสวัสดิการสังคมอย่างเต็มที่ จนกลายเป็นอุปสรรคต่องานแสดงภาพยนต์ของเธอเอง อย่างไรก็ตาม เอวาได้ก่อตั้งสมาพันธ์ขึ้นเป็นผลสำเร็จ และดำรงตำแหน่งประธานคนแรกของสมาพันธ์ฯ
           นโยยายด้านแรงงานและสวัสดิการสังคมของพันโทเปรอนส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้ใช้แรงงานและคนยากจน ทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง จนประธานาธิบดีต้องแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี และรัฐมนตรีกลาโหม ควบคู่กับตำแหน่งเลขาธิการแรงงานและสวัสดิการสังคม ท่มกลางความไม่พอใจแก่นายทหารบางกลุ่ม
          วันที่ 13 ตุลาคม 1945 พันโทเปรอนถูกจับกุมและคุมขังอยู่ในเรือนจำบนเกาะกลางแม่น้ำปลาต้า เอวิต้าขอเข้าไปอยู่ในเรือนจำกับเปรอนด้วย แต่ได้รับการปฏิเสธ เธอและเพื่อน ๆ
จึงเดินทางไปตามโรงงานและสหพันธ์แรงงานต่าง ๆ เพื่อปลุกระดมคนงานให้ปกป้องและ
ปลดปล่อยเปรอน
          รุ่งอรุณของวันที่ 17 ตุลาคม คนงานทั่วกรุงบัวโนส ไอเรส พากันหยุดงานและชุมนุมกัน
เป็นจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่การชุมนุมเป็นไปด้วยความสงบ ปราศจากความรุนแรงใด ๆ ชนิดที่กระจกร้านค้าสักบานเดียวก็ไม่มีแตก กลุ่มผู้ประท้วงได้รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นที่จตุรัสมาโยสร้างแรงกดดันจนรัฐบาลต้องยินยอมปล่อยตัวเปรอนเป็นอิสระ
          พันโทฆวน เปรอน เข้าพิธีสมรสกับเอวาในวันที่ 22 ตุลาคม 1945 ที่บ้านเกิดของเธอในเขตฆูนิน ชานกรุงบัวโนส ไอเรส จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เปรอนกลายเป็นตัวเก็งในการสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไปโดยปริยาย ซึ่งผลการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 1946 ก็เป็นไปตามคาด และเอวา เปรอน ได้กลายเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของ
อาร์เจนตินา เมื่ออายุเพียง 26 ปี โดยเป็นขวัญใจของประชาชน ทั้งในด้านความงาม ความเยาว์วัย และความเฉลียวฉลาด เธอได้ตั้งสำนักงานของเธอขึ้นในกระทรวงแรงงานและความมั่นคงสังคม เพื่อทำงานเรื่องแรงงานและสังคมอย่างหามรุ่งหามค่ำ เอวาอุทิศตัวเพื่อการปฏิรูปสังคมอย่างสันติตามแนวคิดของเธอ รวมทั้งในเรื่องการศึกษาของเยาวชน สวัสดิการสังคม การรักษาพยาบาล และสิทธิสตรี โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
          ผลของการทำงานหนักเกินกำลังทำให้เอวาล้มป่วยลง แต่ประชาชนและสหพันธ์แรงงานก็เรียกร้องให้เธอเป็นรองประธานาธิบดีในการสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของเปรอน ท่ามกลางกระแสการต่อต้านจากฝ่ายทหารและข้าราชการ จนถึงขั้นมีความพยายามก่อการรัฐประหาร แต่ได้รับการต่อต้านจากประชาชนอย่างหนัก เอวาซึ่งป่วยหนักได้เดินทางมาพบประชาชนซึ่งชุมนุมกันอยู่ที่จตุรัสมาโย และเรียกร้องให้พวกเขาสนับสนุนเปรอนในการต่อสู้ตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย เอวาปรากฏตัวต่อประชาชนอีกครั้งในวันที่ 17 ตุลาคม 1951 ในสภาพที่อ่อนเปลี้ยไม่สามารถทรงตัวได้ โดยมีสามีคอยพยุงอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน เธอก็ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการผ่าตัดฉุกเฉิน โดยเป็นที่เปิดเผยในภายหลังว่าเธอป่วยเป็นโรคมะเร็งในระยะสุดท้าย
          การเลือกตั้งในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1951 เป็นครั้งแรกที่สตรีอาร์เจนตินามีสิทธิในการลงคะแนน ตามที่เอวาได้เรียกร้องต่อสู้ และมีสตรีได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง ขณะที่เอวาใช้สิทธิลงคะแนนบนเตียงคนป่วยในโรงพยาบาล
          วันที 24 มกราคม 1952 รัฐสภามีมติในวาระพิเศษให้ขนานนามเอวา เปรอนว่า เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของประชาชาติ
          เอวา เปรอน อยู่เคียงข้างสามีในวันที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง แต่
ชาวอาร์เจนตินาก็พากันตระหนักถึงสุขภาพอันปราะบางของเธอ ประชาชนและอารามต่าง ๆ
ทั่วประเทศพากันสวดขอพรให้กับเอวา ความหม่นหมองและเศร้าซึมเหมือนเมฆทึบที่ปกคลุมดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล และในเช้ามืดวันที่ 26 กรกฏาคม 1952 อาการของเธอก็เข้าขั้นโคม่า
          ในตอนสายวันเดียวกัน มีประกาศอย่างเป็นทางการว่า ผู้นำทางจิตวิญญาณของ
ประชาชาติ ได้จากไปชั่วนิรันดร์ ศพของอีวา เปรอน ถูกรักษาอย่างดีโดยนายแพทย์ผู้มีชื่อเสียง และถูกนำไปไว้ที่สหพันธ์แรงงานโดยได้รับการอารักขาอย่างเข้มแข็ง แต่เมื่อรัฐบาลของประธานาธิบดีเปรอนถูกปฏิวัติโดยคณะทหาร ศพของเธอก็ถูกเนรเทศไปอยู่ที่สุสานในเมือง
มิลาน ประเทศอิตาลีเป็นเวลานานเกือบ 20 ปี จนเกิดการปฎิวัติครั้งใหม่ และคณะปฏิวัติชุดนี้
จึงมอบศพของเธอคืนให้เปรอนซึ่งลี้ภัยอยู่ในประเทศสเปน
          เอวา ดูอาร์เต้ เด เปรอน เดินทางกลับบ้านเกิดในปี 1974 และพำนักอยู่ที่สุสาน La Corleta อย่างสงบ แต่ถึงแม้ว่าเธอจะจากโลกนี้ไปกว่า 50 ปีแล้ว แต่โลกก็ยังไม่ลืมเธอ ทุกวันนี้ยังมีคนจากทุกมุมโลกเดินทางมาเยี่ยมเยือนเธออยู่เสมอ และประตูเหล็กบานใหญ่ซึ่งปิดตายก็จะมีดอกกุหลาบแดงเสียบไว้ไม่เคยขาด
          สำหรับชาวอาร์เจนตินาเองแล้ว นี่อาจจะเป็นดังถ้อยคำในสุนทรพจน์ที่เธอกล่าว
กับประชาชนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1951 ว่า... ‘I will be with my people, dead or alive’

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น