Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

“บิ๊กตู่” ผบ.ทบ. วีนแตก ทหารกล้าเก่งแต่ปาก ไม่กล้าขึ้น “ฮ.”

บิ๊กตู่ผบ.ทบ. วีนแตก ทหารกล้าเก่งแต่ปาก ไม่กล้าขึ้น ฮ.
บทความจากทางบ้าน โดย ทอ.ทหาร..อดนม หัวใจแดง
นำเสนอโดย ทีมข่าว Dr. Sunai Fan Club

       กลายเป็น โศกนาฏกรรม ที่สร้างความสลดหดหู่ใจ และ ช็อก คนไทยทั้งประเทศอยู่ในขณะนี้ กับเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์กองทัพบกรุ่น ฮิวอี้ แบล็กฮอว์ก และเบลล์ 212 ประสบอุบัติเหตุ ตก ติดต่อกัน 3 ครั้งซ้อน!!! ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี จนทำให้เจ้าหน้าที่และนักบินเสียชีวิตรวม 17 นาย บาดเจ็บ 1 นาย ซึ่งนับเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์กองทัพบกไทย!!!(ในภาวะปกติ)

      ทั้งนี้ อุบัติเหตุทั้ง 3 ครั้ง แม้จะมาจากภารกิจที่ต่างกัน แต่ก็เกี่ยวเนื่องกัน เริ่มจากเฮลิคอปเตอร์ ฮิวอี้เป็นภารกิจสนับสนุนของกองพลทหารราบที่ 9 (พล ร.9 กองกำลังสุรสีห์ ค่ายทัพพระยาเสือ) ร่วมกับกรมทรัพยากรป่าไม้ ในการดูแลรักษาป่า ซึ่งในวันเกิดเหตุได้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ผลักดันชนกลุ่มน้อยที่บุกรุกป่า จนประสบอุบัติเหตุ ตก ในที่สุด ส่วน แบล็กฮอว์ก เป็นภารกิจสนับสนุนผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 ในภารกิจรับศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ ฮิวอี้ ตก และ เบลล์ เป็นภารกิจรับศพจากแก่งกระจานไป จ.กาญจนบุรี โดยเฮลิคอปเตอร์ทั้ง 3 ลำ และทั้ง 3 เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาไล่เลี่ยกันเพียง 8 วัน

       อย่างไรก็ตาม ภายในความโศกเศร้าของผู้คนทั้งประเทศ ก็ระคนไปกับความสงสัยที่ว่า อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิด โศกนาฏกรรม เฮลิคอปเตอร์ตกซ้ำซากติดต่อกันถึง 3 ครั้งซ้อนขนาดนี้ เพราะถึงแม้จะเป็น เหตุสุดวิสัย และไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ขณะเดียวกันมันก็เกินกว่าที่จะยอมรับได้ว่าเป็น อุบัติเหตุ ปกติธรรมดา แล้วก็ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปกับสายลมและเมฆหมอกแห่งความแปรปรวน เฮลิคอปเตอร์ตก 3 ครั้งซ้อนในเวลาไล่เลี่ยกัน เรื่องอย่างนี้มันน่าจะมีที่มาที่ไป และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หลายคนจะตั้งคำถามถึงเบื้องลึกและเบื้องหลัง และตั้งข้อสังเกตเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ ฮ. ตก!!!

และนั่นเป็นที่มาของอาการ วีนแตก ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ออกมาแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ปรี๊ด.. แตก ชนิดออกอาการแตกสาวใส่สื่อมวลชนและนักวิชาการที่ตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องการซ่อมบำรุงรักษาอากาศยานของกองทัพว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหน การตั้งข้อสังเกตในเรื่องการทุจริตในการจัดซื้ออะไหล่ และรวมถึงการเดินทางไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพนายทหารกล้า ที่เปลี่ยนยานพาหนะจาก ฮ. มาเป็นใช้รถยนต์แทน (แบบว่าปอดหรือเปล่าท่าน)



 
**สาเหตุสำคัญที่(อาจ)ทำให้ ฮ. ตก !?



แม้ พล.อ.ประยุทธ์พยายามอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเชิงวิทยาศาสตร์ว่า ครั้งแรกเป็นอุบัติเหตุ ครั้งที่สองเป็นเหตุสุดวิสัย และครั้งที่สามเป็นเรื่องเครื่องยนต์ขัดข้อง แต่ความผิดปกติดังกล่าวทำให้สังคมอดตั้งข้อสงสัยถึงความโปร่งใสในการใช้งบประมาณจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ การจัดซื้อจัดหาอะไหล่ และการซ่อมบำรุง

       โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่อง แบล็กฮอว์ก ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ทรงประสิทธิภาพ ทันสมัยที่สุดของกองทัพ แต่ทำไมกลับต้องมาประสบชะตากรรมอย่างนี้ ซ้ำร้ายยังมาเกิดเหตุกับ เบลล์ 212” ที่ว่ากันว่าเป็น ฮ. ระบบขนส่งที่ดีสุดของกองทัพ ซึ่งตอนที่เครื่องตก (ในบริเวณไม่ห่างจากค่ายฝึกการรบพิเศษแก่งกระจานเพียง 5 กม.) มีรายงานยืนยันว่าสภาพอากาศเปิด ไม่มีเมฆฝน อีกทั้งนักบินที่เกิดอุบัติเหตุทั้ง 3 ลำ มีความสามารถ มีความชำนาญ มีชั่วโมงบินมาก และมีประสบการณ์สูงทุกคน ดังนั้น สาเหตุจึงหนีไม่พ้นเรื่องของ เครื่องยนต์

       ทั้งนี้ อุบัติเหตุทั้ง 3 ครั้งถือเป็น โศกนาฏกรรม ที่นำมาซึ่งความสูญเสียอันใหญ่หลวง และนำมาซึ่งความเศร้าสลดแก่คนไทยทั้งประเทศ เพราะได้สูญเสียนายทหารที่มีความรู้ความสามารถไปเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญยังได้สูญเสียนายทหารระดับผู้บัญชาการกองพลเลยทีเดียว จึงน่าจะถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการตรวจสอบกองทัพอย่างเอาจริงเอาจังเสียที !!!

        เมื่อไม่นานมานี้ กองทัพไทย เพิ่งได้รับการจัดอันดับความเข้มแข็งทางการทหารจากเว็บไซต์ Globalfirepower.com ว่ามีความเข้มแข็งในอันดับ 19 ของโลก สูงขึ้นจากปี 53 ที่อยู่อันดับ 28 ของโลก สอดคล้องกับ งบประมาณ ที่รัฐจัดสรรให้กองทัพในแต่ละปี โดยเฉพาะในส่วนของการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกสังคมตั้งคำถามมาโดยตลอดว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านความมั่นคง หรือเพื่อสร้างโอกาสหาค่าน้ำร้อนน้ำชาของคนในระดับสั่งการกันแน่

        นอกจากเว็บไซต์ Globalfirepower.com แล้วยังมีการอ้างตัวเลขจากห้องสมุดรัฐสภาสหรัฐ และสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ ว่าในปี 2554 ไทยได้จัดงบประมาณให้กระทรวงกลาโหมเป็นจำนวน 5,200 ล้านดอลลาร์ แปลงเป็นเงินไทย 156,000 ล้านบาท รัฐบาลจัดงบประมาณให้กับกองทัพมากมายขนาดนี้ คนไทยจึงคาดหวังว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ต้องมีคุณภาพ สร้างความปลอดภัย และใช้งานได้อย่างคุ้มค่า

        แต่อนิจจา ในอดีตที่ผ่านมามีประจักษ์พยานหลักฐานตำตาว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ผ่านการจัดซื้อจัดหามาในราคาแพงลิบลิ่วของกองทัพไทย เมื่อนำมาใช้งานจริงมีสภาพไม่ต่างกับ เศษเหล็ก หรือเป็นของเก่าล้าสมัยจนโลกลืมไปแล้ว ไม่ต้องย้อนไปไกล แค่กรณี ไม้ล้างป่าช้าบรรลือโลก เครื่องจีที 200 หรือ บอลลูนเหี่ยวมะเขือเผา เรือเหาะตรวจการณ์มูลค่าหลายร้อยล้านบาท ที่ถูกแฉว่าไร้ประสิทธิภาพ และไม่สามารถใช้งานได้จริง ที่จนวันนี้ก็ยังไม่มีคำอธิบายที่ฟังได้ออกมาจากกองทัพเลย

เช่นเดียวกับงบในการซ่อมบำรุงอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และพาหนะสำคัญทั้งหลาย ที่หมดไปโดยที่ยากต่อการตรวจสอบว่า ใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่

ทั้งนี้ ว่ากันเฉพาะกรณีการจัดซื้ออะไหล่และซ่อมบำรุงเฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 จากการตรวจสอบของศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนของสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยระบุว่า ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมาจนถึงสิ้นเดือน กุมภาพันธ์ 2554 กองทัพบกโดยกรมการขนส่งทหารบกใช้งบประมาณไปแล้วจำนวน 918.5 ล้านบาท ผ่านทางสามบริษัท ได้แก่ บริษัทเบลล์ เฮลิคอปเตอร์ เอเซีย (พีทีอี) จำกัด จากประเทศสิงคโปร์ จำนวน 24 ครั้ง วงเงิน 715.4ล้านบาท บริษัทที่สอง บริษัทโรยัลสกายจำกัด 1 ครั้ง วงเงิน 26.2 ล้านบาท และ 3. บริษัทริชมอนด์ จำกัด จำนวน 2 ครั้ง วงเงิน 160.2 ล้านบาท โดยหนึ่งในสามบริษัทดังกล่าวมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับอดีตนายทหารระดับสูงยศพลเอกนายหนึ่ง

แม้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะไม่สามารถบ่งชี้ถึงเรื่องข้อสงสัยเกี่ยวกับการทุจริตก็ตาม แต่มันก็ทำให้เห็นถึงจำนวนงบประมาณในการจัดซื้ออะไหล่ในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา โดบริษัทเหล่านั้นมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอดีตนายทหารใหญ่ มันก็ส่อให้เห็นนัยบางอย่างได้บ้างพอสมควร และที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้ออาวุธ หรือแม้แต่การซื้ออะไหล่ซ่อมบำรุงหลายครั้งล้วนออกมาอย่างไร้ประสิทธิภาพ ไม่คุ้มค่างบประมาณที่สูญเสียไป

คำถามก็คือ กองทัพบก โดยกรมการขนส่งทหารบก ใช้งบประมาณในการจัดซื้อจัดหาอะไหล่ ซ่อมบำรุงเฮลิคอปเตอร์ เบลล์ 212 ไปแล้ว 918.5 ล้านบาท ซึ่งงบในการจัดซื้ออะไหล่และซ่อมบำรุงน่าจะทำให้เครื่องมีความสมบูรณ์ในการขึ้นบินปฏิบัติหน้าที่ แต่ทำไม??? เบลล์ 212” จึงมาประสบชะตากรรม ตก โดยมีสาเหตุมาจาก เครื่องยนต์ขัดข้องในขณะที่สภาพอากาศเปิดอย่างนี้

อย่างไรก็ตาม หากตั้งคำถามต่อไปว่า ถ้าสาเหตุการตก(น่าจะ)เกิดจากอุปกรณ์ภายใน "เครื่องยนต์" มากกว่าจะเป็นที่ตัวนักบิน หรือสภาพอากาศ สิ่งที่ต้องค้นหาคำตอบกันต่อไปก็คือ หากจุดบกพร่องอยู่ที่ เครื่องยนต์ จริง ปัจจัยที่ทำให้เครื่องยนต์บกพร่องเกิดจาก "เหตุสุดวิสัย" หรือเกิดจากปัจจัยอื่น เช่น "การซ่อมบำรุง" หรือ "การจัดหาอะไหล่" ที่อาจจะสนับสนุนภารกิจได้ไม่เพียงพอ !?

เหมือนอย่างที่ อดีตนักบิน ฮ.รายหนึ่ง ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว โดยวิเคราะห์ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นเพื่อค้นหาสมมติฐานของอุบัติเหตุครั้งนี้ว่า

หากมองถึงเรื่องการซ่อมบำรุง โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า ด้วยมาตรฐานของช่างเครื่อง ทบ. และขั้นตอนปฏิบัติที่ต้องยึดตามคู่มืออย่างเคร่งครัดมีมาตรฐานที่ดีเพียงพออยู่แล้ว โดยขั้นตอนการซ่อมบำรุงอากาศยานมีอยู่ 3 ระดับ คือ 1.การซ่อมขั้นหน่วย ซึ่งจะเริ่มต้นเมื่อ ฮ.ขึ้นบินครบ 25 ชั่วโมง 2.การซ่อมขั้นสนาม ซึ่งจะเริ่มต้นเมื่อ ฮ.ขึ้นบินครบ 100 ชั่วโมง และ 3.การซ่อมขั้นคลัง ซึ่งจะทำเมื่อ ฮ.ขึ้นบิน 500 หรือ 1,000 ชั่วโมงขึ้นไป

คำถามก็คือ เมื่อมีขั้นตอนปฏิบัติอยู่ ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนนั้นหรือไม่ อดีตนักบิน ฮ. เชื่อว่าช่างเครื่อง ทบ. มีคุณภาพ ที่สำคัญคือ หากทดสอบแล้วเครื่องไม่พร้อมบิน ก็ไม่คิดว่าจะมีนักบินคนไหนยอมขึ้นบิน ฉะนั้น จึงน่าจะตัดเรื่องการซ่อมบำรุงไปได้

ส่วนปัจจัยข้อต่อไป คือ การส่งกำลังบำรุง หรือการจัดหา อะไหล่ มาสนับสนุนการบิน อดีตนักบิน ฮ. มองว่า ปัจจัยข้อนี้น่าจะมีส่วนมากกว่า เพราะปัญหาของหน่วยบินทุกยุคที่ผ่านมา คือ 1.ได้รับการจัดสรรงบซ่อมบำรุงน้อย 2.มีงบน้อยอยู่แล้ว แต่ไปซื้อของแพงเข้ามาอีก ยกตัวอย่าง ฮ.รุ่นเบลล์ 212 ซึ่งเป็นของบริษัทเบลล์เฮลิคอปเตอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่บริษัทเบลล์ได้มอบให้ "เบลล์เอเซีย" ที่สิงคโปร์เป็นตัวแทนจำหน่ายอะไหล่ และเท่าที่ผ่านมาพบว่า มีการจัดซื้ออะไหล่ที่มีราคาแพงกว่าความเป็นจริงมาก

"หากอยากรู้ว่า ราคากลางของชิ้นส่วนอะไหล่ ฮ. อยู่ที่เท่าใด สามารถค้นหาได้จากในอินเทอร์เน็ต และลองนำเอามาเทียบกับราคาที่กองทัพจัดซื้อ ซึ่งหากกองทัพยอมเปิดเผยข้อมูลก็จะได้รู้กันว่า ราคามีความแตกต่างกันแค่ไหน" อดีตนักบิน ฮ. เพื่อนร่วมอาชีพ ให้ข้อมูล

ทั้งนี้ อดีตนักบิน ฮ. บอกว่า ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลมากคือ หน่วยงานที่จัดหาอะไหล่ไม่ใช่ศูนย์การบินทหารบก แต่เป็นกรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) ซึ่งบางครั้งมีการตัดลด "อะไหล่จำเป็น" บางตัวออกไป แล้วเอา "อะไหล่ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน" ใส่เข้าไปแทน เพื่อให้พอดีกับจำนวนงบที่ได้รับจัดสรรมา นั่นคือสาเหตุที่ทำให้อะไหล่ไม่เพียงพอจนต้องมีการซ่อมแบบ "กินตัว" นั่นก็คือจอดเครื่องไว้ เพื่อถอดมาเป็นอะไหล่ ซึ่งในกรณีของเบลล์ 212 ที่มีอยู่ 40 กว่าเครื่อง แต่สามารถบินได้เพียง 20 กว่าเครื่องเท่านั้น
ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เฮลิคอปเตอร์ตกจนกลายเป็น โศกนาฏกรรม สร้างความสลดหดหู่ให้กับผู้คนทั้งประเทศ แต่อย่างน้อยที่สุด สังคมก็ได้พิจารณาข้อมูลและความคิดเห็นหลายๆ ด้าน ในขณะที่ ความจริง ยังคลุมเครือเหมือนเมฆหมอกเหนือผืนป่าแก่งกระจานอยู่ในขณะนี้



 

**สำนึกในการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์
และกรรม วิธีพิเศษของกองทัพ



นอกจากนี้ ยังมีคำถามนานัปการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก เมกะโปรเจ็กต์ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังช่วงการปฏิวัติรัฐประหาร เดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีหลายโครงการที่กำลังเข้าคิวในการเข้าประจำการ เพราะได้มีการทยอยอนุมัติงบประมาณอย่างต่อเนื่อง อย่างล่าสุด มีรายงานว่า ที่เข้าประจำการ ได้แก่ เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงขนาดกลาง MI-17 V5 จำนวน 3 เครื่อง วงเงิน 995 ล้านบาทได้เข้ามาประจำการที่กองทัพบก เพื่อใช้ทดแทน ฮ. ชีนุก ที่มีปัญหาเรื่องซ่อมบำรุงและอะไหล่ทดแทน

นอกจากนี้ กองทัพบกยังได้ดำเนินการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ UH-60 - M / Black Hawk เพื่อใช้ในภารกิจด้านยุทธการ และยุทธวิธี เพิ่มเติมอีก 3 เครื่อง วงเงินกว่า 3 พันล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวบรรจุอยู่ในแผนงบประมาณปี 2554 ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการอนุมัติของสภาคองเกรสสหรัฐฯ ทั้งนี้ กองทัพบกมีเฮลิคอปเตอร์ UH-60 - L /Black Hawk ประจำการแล้ว 7 เครื่อง เมื่อครั้งที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก และได้รับการอนุมัติจัดหาเพิ่มเติมไปแล้วเมื่อปีงบประมาณ 2553 ซึ่งเป็นรุ่น L อีก 3 เครื่อง วงเงินประมาณ 2.5 พันล้านบาท ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการผลิตเพื่อส่งมอบให้กองทัพบกไทยในปีหน้า โดยกองทัพบก มีแผนในการจัดหาเฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าว เข้าประจำการให้ครบ 33 ลำ

ทั้งนี้ กองทัพสหรัฐฯ จะส่งมอบ ฮ.โจมตีคอบบร้า มือ 2 จำนวน 4 ลำ ที่สหรัฐฯ ปลดประจำการและยกให้กองทัพบกไทยโดยไม่คิดมูลค่า แต่ให้รัฐบาลไทยอนุมัติงบประมาณจากที่กองทัพบกเสนอ เพื่อทำการปรับสภาพเพื่อนำ ฮ. รุ่นนี้ ใช้งานในภารกิจโจมตีได้ โดยคาดว่าจะส่งมอบให้ไทยได้ในปลายปีนี้เช่นกัน

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น มีรายงานว่า กองทัพบกกำลังจัดหารถถัง Oplot จากประเทศยูเครน จำนวน 200 คัน เพื่อทดแทนรถถัง M-41 ที่กำลังจะปลดประจำการในหลายหน่วย ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านขั้นตอนการคัดเลือกแบบและบรรจุอยู่ในแผนงบประมาณปี 54 ที่ผ่านสภาไปแล้ว ทั้งนี้ ได้ดำเนินการจัดหาในระยะแรกเข้าประจำการ 1-2 กองพัน (คันละ 120 ล้านบาท) ประจำการที่ ม.พัน 2 รอ. หรือ ม.พัน 8 เพื่อใช้ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยรถถังที่ไทยสั่งผลิตจะติดปืนใหญ่ขนาด 125 มม. คาดว่าจะส่งมอบได้ปลายปีนี้หรือปีหน้า

นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า กองทัพบกยังรอการส่งมอบรถหุ้มเกราะล้อยาง BRT 3E1 จากยูเครน ที่กองทัพบกจัดหาในระยะแรก 101 คัน และระยะที่ 2 จำนวน 121 คัน ขณะนี้มีการส่งมอบในระยะแรกแล้ว 14 คัน คาดว่าจะดำเนินการส่งมอบให้ครบตามจำนวนได้ในปี 2555

และยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะยังมีรายงานเกี่ยวกับอาวุธที่ได้มีการอนุมัติจัดซื้อก่อนหน้านี้ในนามของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ซึ่งเป็นการจัดซื้อ วิธีพิเศษ เน้นที่ภารกิจในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ

ทั้งนี้ ภารกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดูเหมือนว่าการจัดหาเครื่องมือตรวจการณ์เพิ่มเติม เช่น โครงการเรือเหาะเพื่อความมั่นคง ที่กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วทั้งเมืองเหมือนกับกรณีเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด จีที -200 หรือ ไม้ล้างป่าช้าบรรลือโลก อันอื้อฉาว ที่กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงขั้นตอนและระเบียบวิธีการในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ที่ถูกพ่อค้าหลอกขาย โดยใช้ ความเชื่อ เป็นเครื่องมือ

ยังไม่นับรวมอาวุธประจำการ ประเภทปืน ทราโว ที่มีรายงานว่า มีการจัดหาเพื่อทยอยเข้าประจำการอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งเสื้อเกราะ ไปจนถึงการจัดหาเครื่องมือสำหรับการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือเครื่องมือควบคุมฝูงชน ตั้งแต่อุปกรณ์ รถฉีดน้ำ ที่ทั้งหมดนั้นเป็นการจัดหาแบบ วิธีพิเศษ เพื่อเลี่ยง ม.190 ของรัฐธรรมนูญ ในการทำสัญญาแบบรัฐต่อรัฐ แต่เหล่าทัพต่างๆ ย้ำว่า วิธีพิเศษ คือการต่อรองเพื่อให้ฝ่ายผู้ซื้อได้ประโยชน์สูงสุด

ซึ่งการจัดหาด้วย วิธีพิเศษ กลายเป็นประเด็นรร้อนที่ถูกวิจารณ์มากกว่าการซื้ออาวุธแบบ บิ๊กล็อต และมีความต่อเนื่องติดต่อกันทุกเหล่าทัพ พร้อมถูกโจมตีเมื่อเข้า ครม. โดยโหมประโคมข่าวเรื่องการอนุมัติ เพื่อเอาใจกองทัพ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการทำหน้าที่เป็น กระดูกสันหลัง และเป็น รั้ว ให้กับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์

ทั้งนี้ ปมประเด็น และปัญหาที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการที่เหล่าทัพจัดหาอาวุธที่เหมาะสมเข้าประจำการ หากแต่เป็น กรรมวิธี  ในการจัดซื้อ ทั้ง วิธีพิเศษ ที่แม้เหล่าทัพจะมีคณะกรรมการฯ ในการพิจารณาทุกระดับชั้น แต่ก็หนีข่าวฉาวเรื่อง นายหน้า ที่วิ่งเข้า-ออก ดิวงานจนคนในกองทัพรู้กันไปทั่ว หลายโครงการมี กลิ่น จนทำให้บางโครงการ ราคา กับ “ของ ไม่อยู่ในระดับที่สมดุล และรัฐต้องสูญเสียงบประมาณไปกับสิ่งเหล่านี้จำนวนมหาศาล ถึงแม้คนส่วนใหญ่ในสังคมจะเข้าใจในความจำเป็นต่อการพัฒนากองทัพ หากแต่ ยอมรับไม่ได้ ที่จะให้การจัดซื้อจัดหาหลายครั้งได้มาซึ่งอาวุธที่ ห่วยแตก ไม่คุ้มค่ากับงบประมาณที่สูญเสียไป ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นหลายโครงการ อีกทั้งมีบิ๊กทหาร หลายคนที่เกษียณร่ำรวย อู้ฟู่ เพราะมี โปรเจ็กต์ ทิ้งทวนเป็น โบนัส ทิ้งท้ายก่อนการปลดเกษียณ... (ผมคิดไปเองหรือเปล่าที่คำว่า “พิเศษ” หมายถึงพิเศษชามโตเหมือนก๋วยเตี๋ยวหรือเปล่าท่านประมาณว่า ธรรมดา 30 พิเศษ 50 )
เวรกรรม!!!  ชายชาติทหารอย่างผมขอบอก “เซ็งสลบผมรับไม่ได้”


**“บิ๊กตู่ปรี๊ดแตก 
แอ๊บแบ๊วอ้อน ปู” ซื้อ ฮ. ใหม่ 30 ลำ !!!


เมื่อมองตรงนี้ ก็จะพบกับความง่ายดายของการบริหารจัดการงบประมาณเข้ากระเป๋าตัวเองซึ่งอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพที่ด้อยประสิทธิภาพ อาจทำเงินมหาศาล สร้างความร่ำรวยให้กับคนในระดับ สั่งการ หากแต่ความ หายนะ มาบังเกิดกับระดับ ปฏิบัติการ ส่งผลไปถึงบรรดาทหารหาญต้องมาสังเวยชีวิตอย่างที่ไม่ควรจะเป็น แทนที่จะได้ทำหน้าที่เป็น รั้วของชาติ พลีชีพเพื่อปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน อย่างเต็มความภาคภูมิของชายชาติทหาร

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ก็ย่อมทำให้เกิดอาการ ช็อก กันเป็นธรรมดา แต่พอตั้งสติได้สังคมก็ย่อมมีคำถามอื่นๆ ตามมา อย่างเช่น มันเกิดสาเหตุอะไรกันแน่ มีปัญหาในเรื่องการ ซ่อมบำรุง หรือเปล่า หรือยังใช้เครื่องบินรุ่นเก่าที่หลายประเทศปลดประจำการไปแล้วหรือไม่ เพราะอย่างกรณี ฮิวอี้ เครื่องแรกที่ตกนั้น ถ้าลองค้นประวัติข้อมูลดูก็จะพบว่า มันได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของสงครามเวียดนามเมื่อ 50 ปีก่อนไปแล้ว และในอเมริกาก็ถูกปลดประจำการ และเข้าพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว หรือถ้ามีการบินก็มักจะเป็นการบินโชว์ในงานระดมทุนของทหารผ่านศึกเวียดนาม อะไรทำนองนั้น

แต่ที่มีการตั้งข้อสงสัยกันมากก็คือ มีการทุจริตในการ จัดซื้อ อะไหล่ และการซ่อมบำรุงรักษาอากาศยานของกองทัพบก หรือไม่ ทั้งนี้ เมื่อมีความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้น มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้คนคิดและตั้งคำถามไปต่างๆนานา ซึ่งนั่นเป็นที่มาของอาการ วีนแตก ของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ออกมาแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ปรี๊ด..แตก ใส่สื่อมวลชนและนักวิชาการที่ตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องการซ่อมบำรุงรักษาอากาศยานของกองทัพว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหน รวมไปถึงมีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องการทุจริตในการจัดซื้ออะไหล่ อีกด้วย ซึ่งประเด็นเหล่านี้แหละที่ไปเพิ่มอารมณ์ฉุนเฉียวให้กับ ผบ.ทบ.

ทั้งที่ตามหลักการ (ของคนที่มีวุฒิภาวะของความเป็นผู้นำ ที่แม้แต่หัวหน้าลูกเสือ ยุวกาชาด และเนตรนารี น้องๆ หนูๆ เขาก็ยังมีวุฒิภาวะของความเป็นผู้นำ) แล้ว พล.อ.ประยุทธ์เป็นถึงผู้บัญชาการทหารบก และเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงาน นอกจากควรจะแสดงวุฒิภาวะของความเป็นผู้นำที่มีความน่าเคารพและน่าเชื่อถือแล้ว ท่านควรจะรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย โดยประกาศสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยเร็วเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และที่สำคัญท่านต้อง ชี้แจง ให้กระจ่าง เพราะต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมามีหลายโครงการในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพที่เต็มไปด้วยข่าวคราวอื้อฉาว ไร้ประสิทธิภาพมากมาย มันช่วยไม่ได้ที่คนในสังคมประเทศชาติเขาจะเกิดข้อสงสัยขึ้นมา หรือท่านว่าไม่จริง...??? ชิมิ

ไม่ใช่เอะอะอะไรก็บอก กองทัพบกใครจะมาแตะต้องไม่ได้

แน่นอน การปกป้องรักษาชื่อเสียงเกียรติยศของกองทัพบก เป็นสิ่งที่ดีและควรทำ ไม่มีใครเขาว่า แต่ในฐานะผู้นำสูงสุดของกองทัพบก ก็อยากให้มีสติอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเหตุด้วยผลกว่านี้ ไม่ใช่พอเขาวิพากษ์วิจารณ์อะไรไม่ถูกใจตัวเองหน่อย ก็ออกมา ปรี๊ดๆๆ! โอ้..พระเจ้าจอร์จ..เสียชื่อยี่ห้อกองทัพไทยของผมหมด

ล่าสุด ก็ออกอาการหงุดหงิดที่สื่อพาดหัวข่าว อ้อนรัฐบาลซื้อเฮลิคอปเตอร์ 30 ลำ โดยบอกว่าเป็นการไม่ให้เกียรติทหาร แถมยังติงการพาดหัวข่าว รมว.กห.-ผบ.ทบ. ไม่กล้าขึ้น ฮ.ให้ลูกน้องไปแทนโดยขู่ว่าถ้าขืนขึ้นหัวข่าวแบบนี้เลิกให้สัมภาษณ์ แหม..ทำไปได้นะท่าน

วันก่อนผมเดินทางไปร่วมพิธีรดน้ำศพของผู้เสียชีวิตที่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเรามีแผนการเดินทางของผู้บังคับบัญชา จากฝ่ายอำนวยการเตรียมการทั้งเดินทางด้วยรถยนต์ หรือ ฮ. โดยปกติถ้าอากาศไม่ดีก็จะไม่บินขึ้น เว้นแต่สถานการณ์ไม่ปกติ คือ สถานการณ์ที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในการกู้ภัย แต่ไม่ใช่ว่าไปเขียนกันว่า รมว.กลาโหม และ ผบ.ทบ.ไม่กล้าขึ้น ฮ. แต่ให้ลูกน้องขึ้นแทน ซึ่งผมไม่ได้โกรธ แต่เป็นธรรมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

จากนั้นก็หันมาถามผู้สื่อข่าวว่า เป็นธรรมหรือไม่กับเรื่องอย่างนี้  ผมอยากถามว่าความคิดของสื่อกับการเขียนไปนั้นเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าเห็นด้วยก็จะให้เดินทางด้วย ฮ.ไปด้วยทุกครั้ง แต่เมื่อผู้สื่อข่าวแย้งว่า ข่าวที่นำเสนอ ผบ.ทบ. เดินทางด้วยรถยนต์แทนขึ้น ฮ. เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง พล.อ.ประยุทธ์ ก็บอกว่า ข่าวที่ออกมาไม่ใช่อย่างนั้น ฉะนั้นต้องจำไว้ว่าใครพาดหัวข่าว ถ้าอย่างนี้วันหลังก็ไม่ต้องมาสัมภาษณ์กันแล้ว

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินไปขึ้นลิฟต์ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่แล้วก็เดินกลับออกมาชี้หน้าผู้สื่อข่าว พร้อมกับย้ำอีกว่าถ้าไม่ตอบคำถามผมว่าใครพาดหัวข่าว ก็ไม่ต้องมาถามกันอีก ต่อไปนี้จะไม่ให้สัมภาษณ์

อย่างไรก็ตาม หากจะไล่เรียงให้เห็นไปทีละเรื่องเท่าที่พอเป็นประเด็นอื้อฉาวของกองทัพบกก่อนหน้านี้ ก็อย่างเช่น เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด จีที 200 ที่ต่อมาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่ต่างจาก ไม้ล้างป่าช้า หรือ เรือเหาะ ที่หวังจะนำมาตรวจสอบความเคลื่อนไหวของผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่าใช้งานไม่ได้ผลตามที่คาดหมายเอาไว้ รวมไปถึงกรณีการจัดซื้อรถลำเลียง หุ้มเกราะล้อยาง จากยูเครนอันอื้อฉาว รวมกันแล้วต้องใช้งบประมาณเกือบหมื่นล้านบาท

และนอกจากนี้ หากพูดความจริงกันตรงๆ แบบไม่ต้องเกรงใจ ในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก ได้เกิดเหตุการณ์ที่ส่อให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพ วินัยหย่อนยาน ในการบริหารงานและการบังคับบัญชาสั่งการ เห็นได้จากกรณีมีการขโมยอาวุธปืนของทางการจากคลังแสงลพบุรี ออกไปขาย ที่แม้ตอนนั้นยังเป็นรองผู้บัญชาการทหารบกก็ตาม แต่ถัดจากนั้นเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นที่ค่ายธนะรัชต์ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจนถึงบัดนี้ผลการสอบสวนก็ยังไม่มีการแถลงออกมาให้แน่ชัด รวมไปถึงการจับกุมคนร้ายได้มากน้อยแต่ไหน นี่ยังไม่นับกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาที่สรุปผลงานโดยรวมยังไม่น่าประทับใจอีกด้วย รวมถึงกรณีทหารเกณฑ์ลากปืนเอชเคไปกระหน่ำยิงแฟนสาวจนเสียชีวิตต่อหน้าต่อตามารดาของเธอ ถ้าไม่เรียกว่าเป็นความไร้ประสิทธิภาพ และ หย่อนยาน จนทำให้พลทหารเกณฑ์เอาอาวุธปืนประจำกาย ขณะเข้าเวรยาม ออกมาก่อเหตุกระหน่ำยิงผู้หญิงกลางเมืองได้ขนาดนี้ จะให้เรียกว่าอะไร

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อนต่อเนื่องล้วนเกิดขึ้นในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บัญชาการทหารบกแทบทั้งสิ้น หรือไม่ก็ต้องมีส่วนสำคัญในการร่วมรับผิดชอบ ซึ่งนั่นก็ย่อมหมายถึงเหตุการณ์อุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกถึง 3 ครั้งซ้อนภายในช่วงระยะเวลาเพียง 8 วัน ไม่ใช่แสดงอาการโกรธเกรี้ยว เพราะในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงาน ท่านต้องชี้แจงให้เคลียร์ และตรงประเด็น แต่นี่กลายเป็นว่าคิดจะใช้จังหวะนี้ขอซื้อเฮลิคอปเตอร์ล็อตใหญ่จำนวน 30 ลำหน้าตาเฉย

ทั้งที่มันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ชาวบ้านเขาอยากรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวมันมาจากสาเหตุอะไรกันแน่ แต่แทนที่จะเร่งรัดให้สอบสวนหาข้อเท็จจริง แต่นี่กลับจะของบซื้อเครื่องใหม่ซะงั้น ประชาชนที่นอนข้างๆผม บอกได้เลยว่า “เซ็งเป็ด”

และกับกรณีที่เดินทางพร้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพนายทหารกล้าที่ประสบอุบัติเหตุดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่มีรายงานข่าวว่า ได้เปลี่ยนยานพาหนะจาก ฮ. มาเป็นใช้รถยนต์แทน พร้อมทั้งสั่งให้งดบินชั่วคราว ถ้าในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มั่นใจก็ต้องสร้าง ภาวะผู้นำ-ขึ้นบินโชว์ เพื่อเรียกขวัญกำลังใจของกำลังพลกลับมา แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าในใจตัวเองก็หวั่นไหวเหมือนกัน และเมื่อหวั่นไหวมากๆ มันก็ ปรี๊ดแตกเป็นธรรมดา...

ว่าไปก็นึกถึงผู้นำของประเทศคนที่ชื่อ “ทักษิณ” ที่กินไก่โชว์ทั้งครอบครัวในช่วงที่ไข้หวัดนกระบาด เพื่อเรียกความมั่นใจให้ประชาชนกินไก่ นี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง” !!! ชิมิท่าน


                                          **************************************

สมรรถนะ ฮ.ทบ.
7 รุ่น 300 ลำ
โปรดอย่าถามวันนี้ยังดีอยู่มั้ย




          ผมหวังว่าบทความและข้อมูลที่ได้นำเสนอนี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องร่วมชาติของผม  ผมไม่อยากเป็น “กองทับประชาชน” ทับซะจนลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชาและประชาชนหายใจไม่ออก ผมขอบอกท่านว่าผมคือหนึ่งใน “กองทัพของประชาชน” ครับผม!!!
จากกรณีโศกนาฏกรรมเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกตกถึง 3 ครั้งจนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 17 คนในการปฏิบัติภารกิจที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรีนั้น ทำให้สังคมอดตั้งคำถามถึง สภาพความจริง ของมวลหมู่เฮลิคอปเตอร์กองทัพบก ภายใต้การบัญชาการของศูนย์การบินทหารบกในปัจจุบันว่า เป็นเช่นไร

มีปัญหาที่ตรงไหน และมีความจำเป็นที่จะต้องยกเครื่องครั้งใหญ่เพื่อมิให้เกิดโศกนาฏกรรมกับทรัพยากรบุคคลอันทรงคุณค่าหรือไม่

ในปัจจุบัน ศูนย์การบินทหารบกมีเฮลิคอปเตอร์ประจำการทั้งสิ้น 7 รุ่นด้วยกันประกอบด้วย

หนึ่ง-เฮลิคอปเตอร์อเนกประสงค์ ฮ.ท.60(UH-60L Black Hawk) มีทั้งหมด 7 ลำ ตกที่แก่งกระจาน 1 ลำ เหลือใช้งาน 6 ลำ

สอง-เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ 1(UH-1H Huey) หรือ ฮิวอี้ มีประมาณ 92 ลำ แต่สามารถใช้งานได้ประมาณ 50% เนื่องจากไม่มีงบประมาณที่เพียงพอในการซ่อมบำรุง ทำให้ส่วนหนึ่งต้องจอดไว้และนำอะไหล่ไปซ่อมบำรุงเครื่องที่สามารถใช้งานได้ หรือที่ศัพท์ทางการบินใช้คำว่า ถอดปรน หรือ กินตัว
สาม-เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ 212(UH-1N หรือBell 212) มีทั้งหมด 60 ลำ

สี่-เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ 206(Bell 206 Jet Ranger) มีทั้งหมด 10 เครื่อง

ห้า-เฮลิคอปเตอร์ฝึกแบบ 300 (TH-300C) มีทั้งหมด 48 ลำ

หก-เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงแบบ 47(CH-47D Chinook) มี 6 ลำ ไม่สามารถบินได้ครบเนื่องจากขาดงบประมาณ

และเจ็ด-เฮลิคอปเตอร์โจมตีแบบ 1(AH-1F Cobra) หรือคอบบรา มีทั้งหมด 4 ลำ ตกไป 1 ลำและกำลังได้รับเพิ่มอีก 7 ลำ

สำหรับเฮลิคอปเตอร์ 3 รุ่นที่ตกในภารกิจป่าแก่งกระจานประกอบด้วยเฮลิคอปเตอร์อเนกประสงค์ ฮ.ท.60(UH-60L Black Hawk) เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ 1(UH-1H Huey) หรือฮิวอี้ และเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ 212(UH-1N หรือBell 212) นั้น Siam Intelligence Unit(SIU) ได้อธิบายรายละเอียดของแต่ละรุ่นเอาไว้อย่างน่าสนใจ

เฮลิคอปเตอร์ รุ่นฮิวอี้ ผลิตโดยบริษัท เบลล์ เฮลิคอปเตอร์ จำกัด ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยของไทยเป็นรุ่น UH-1H ฮ.ฮิวอี้นี้เข้าประจำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 ตามโครงการช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐอเมริกาในยุคสงครามเวียดนามกำลังระอุซึ่งเวลานั้นต้องการอากาศยานในการรับส่งกำลังทหารที่อ่อนตัวมีความยืดหยุ่นสูง

ทั้งนี้ ฮิวอี้เป็นเฮลิคอปเตอร์เครื่องยนต์เดี่ยว ของประเทศไทยใช้เครื่อง Lycoming T-53 ให้กำลัง 1,400 แรงม้า สามารทำความเร็วสูงสุดที่ 223 กม./ชม. หรือ 124 น็อต สามรารถบรรทุกคนได้สูงสุด 11 คนพร้อมสัมภาระ หรือ ติดตั้งเปลพยาบาลได้ 6 เปล บินได้นาน 2 ชั่วโมง 20 นาทีถูกผลิตออกมามากกว่า 16,000 ลำทั่วโลกและประจำการใน 70 ประเทศ

เฮลิคอปเตอร์แบบฮิวอี้มีความคล่องตัวสูงสามารถบินเลาะตามภูมิประเทศได้คล่อง ซ่อมบำรุงง่ายหาอะไหล่ทดแท่นได้ง่ายค่าใช้จ่ายในการดูแลค่อนข้างต่ำ ด้วยกำลังเครื่องแม้เพียงเครื่องเดียว แต่ก็สามารถปฏิบัติได้หลากหลายภารกิจทั้งภารกิจทางทหารเช่นการส่งกำลังบำรุง ส่งกลับสายการแพทย์ สนับสนุนการรบ รวมถึงงานทางพลเรือนเช่นการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ เป็นต้น

สำหรับในประเทศไทย ฮิวอี้เป็นม้างานหลักของทุกเหล่าทัพ โดยเฉพาะกองทัพบกซึ่งมีภารกิจค่อนข้างมาก โดยของกองทัพบกถูกนำเข้าประการไว้ที่ ศูนย์การบินทหารบก ลพบุรี โดยฮ.ฮิวอี้ของไทยมีบทบาทมากในช่วงสงครามปราบปรามคอมมิวนิสต์ในหลายสมรภูมิ รวมทั้งการสนับสนุนภารกิจที่มิใช่ภารกิจการรบตามแบบ

ขณะที่ Bell 212 ของกองทัพไทยถูกจัดอยู่ในภารกิจค้นหาและกู้ภัย (Search and Rescue : SAR) มีอุปกรณ์เสริมเข้ามาคือเครื่องกว้านซึ่งติดอยู่บนลำตัวเครื่องสามารถกว้านเพื่อดึงคนที่ได้รับบาดเจ็บหรือการถอนตัวออกจากพื้นที่ได้ โดยกองทัพบกประจำการอยู่ประมาณ 40 ลำกระจายไปตามหน่วยงานการบินของกองพลและศูนย์การบินทหารบกตามแต่ละพื้นที่

Bell-212 เป็นเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลาง 2 ใบพัด 2 เครื่องยนต์บรรทุกผู้โดยสารจำนวน 15 ที่นั่ง โดย ฮ.Bell-212 อยู่ในรุ่น UH-1 N ของบริษัท เบลล์ เฮลิคอปเตอร์ของสหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัท BELL HELICOPTER และบริษัท Pratt & Whitney ของแคนาดา ในช่วงหลังสงครามเวียดนามช่วงปี 70 ศักยภาพของเฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 ถูกพัฒนามาจากเฮลิคอปเตอร์รุ่น 204 และ 205 ที่เป็นเครื่องยนต์เดี่ยว ใบพัดคู่

เฮลิคอปเตอร์รุ่นนี้ถูกนำมาใช้ค้นหาและกู้ภัยค่อนข้างกว้างขวางด้วยกำลังเครื่องยนต์ที่เชื่อถือได้ สมรรถนะของอากาศยานที่ดีและในราคาที่ไม่แพงมากเกินไปเมื่อเทียบกับแบล็กฮอว์กซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าและค่าใช้จ่ายในการดูแลใช้งานสูงกว่า

ซึ่ง Bell-212 ถือว่าเป็นม้างานหนึ่งของกองทัพบก ซึ่งลำที่ประสบเหตุนั้นเข้าประจำการมาตั้งแต่ปี 2535 ที่ได้รับการปรับปรุงก่อนเข้าประจำการ ซึ่ง ฮ.Bell-212 ที่ตกนั้นทางกองทัพบกได้รายงานว่าอาจเกิดจากโรเตอร์ท้ายหรือใบพัดหางไม่ทำงานทำให้เครื่องหมุนและตกลงมา ซึ่งทางกองทัพบกได้ประกาศห้ามบินของ Bell-212 ทุกลำจนกว่าจะหาสาเหตุพบ

Bell-212 เป็นเฮลิคอปเตอร์รุ่น Huey ที่ถูกพัฒนาเพิ่มเติมในเรื่องสมรรถนะเครื่องยนต์ให้มีความเชื่อได้มาก โดยแต่เดิมฮิวอี้จะมีเพียงเครื่องยนต์เดี่ยว ได้พัฒนาและติดตั้งให้มีสองเครื่องยนต์เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้นโดยพัฒนาร่วมกับบริษัทของแคนาดาและบริษัทผลิตเครื่องยนต์อย่าง Pratt & Withney โดยสามารถทำการบินได้ไกลถึง 420 กม.ความเร็วสูงสุด 220 กม./ชม. สามารถบรรทุกทหารไปได้ 14 นาย

ในส่วนของ แบล็กฮอว์ก (UH-60L Blackhawk) เป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ทันสมัยที่สุดแบบหนึ่งของกองทัพไทยเข้าประจำการมาตั้งแต่ 2545 จำนวน 7 ลำในกองบินปีกหมุนที่ 9 (ผสม) กองพันบิน ศูนย์การบินทหารบก จ.ลพบุรี

แบล็กฮอว์กผลิตโดยบริษัท Sikorsky Aircraft Corporation ประเทศสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางที่ดีที่สุดแบบหนึ่งของโลก มีความสามารถในการบินในระดับสูงด้วยระบบอำนวยการบินที่ทันสมัย ห้องนักบินเป็นระบบ Glass Cockpit ซึ่งช่วยลดภาระนักบินและทำให้การบินง่ายมากขึ้น ผลิตออกมากว่า 2,600 ลำ ตั้งแต่ 1974 เป็นต้นมา ประจำการอยู่ใน 24 ประเทศทั่วโลก โดยแบล็กฮอว์กถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการทางทหารหลายปฏิบัติการ ได้แก่ สงครามอ่าวเปอร์เซียทุกครั้ง สงครามก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน รวมทั้ง การักษาสันติภาพในโซมาเลียที่เกิดเหตุการณ์ ฮ.ตกถึง 2 ลำกลางเมืองโมกาดิชู จนกลายเป็นหนังเรื่อง Blackhawk Down ที่โด่งดัง

แบล็กฮอว์กมีเครื่องยนต์ถึง 2 เครื่องยนต์General Electric T700 - GE - 701C turboshaft, มีกำลังเครื่องยนต์ละ 1890 แรงม้า (1410 กิโลวัตต์) สามารถบรรทุกทหารได้ 14 คนพร้อมสัมภาระ หรือมากถึง 20 คนเมื่อถอดที่นั่งออกหมด สามารถบรรทุกอุปกรณ์นอกเครื่องได้สูงถึง 9,000 ปอนด์ (UH - 60L) ทำความเร็วได้สูงสุด 159 น็อต (183 mph, 295 กม. / ชม. ) รัศมีทำการ 592 กม.ระยะบินเดินทาง : 1,380 ไมล์ (1,200 nmi, 2,220 กม. ) เมื่อติด ESSS stub wings และ external tanks สามารติดอาวุธได้หลากหลายทั้ง ปืน GAU - 19 Gatling II  .50 นิ้ว (12.7 มิลลิเมตร) หรือ จรวดนำวิถีด้วยเลเซอร์ AGM-114 Hellfire โดยในห้องนักบินถูกติดตั้งด้วยระบบนำร่องที่ทันสมัย
แต่ปัญหาใหญ่ของอากาศยานประเภทปีกหมุนของกองทัพบกก็คือ อากาศยานที่มีทั้งหมดราว 300 ลำนั้น สามารถบินได้จริงเพียงแค่ 100 กว่าลำเท่านั้น

จากใจของชายชาติทหาร..ที่รักชาติยิ่งชีพ
ทอ.ทหาร..อดนม หัวใจแดง

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การไม่รับรองจตุพร ศาลและ กกต.ต้องตอบคำถามนี้

การไม่รับรองจตุพร ศาลและ กกต.ต้องตอบคำถามนี้

จาก Facebook SunaiFanClub


กรณีกกต.ไม่รับรองตู่ จตุพร ด้วยเหตุไม่ไปลงคะแนน ผมขอให้ใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินนี้พิจารณาให้ลึกซึ้งอย่าใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งเพราะเป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการกระทบกันทางโครงสร้างอำนาจระหว่างอำนาจตุลาการ(ที่ไม่ได้มาจากประชาชน)กับอำนาจนิติบัญญัติ(ที่มาจากประชาชน)/ศาลต้องให้เหตุผลว่าทำไมจึงไม่ให้ตู่ประกันตัวเพียง 3 ชม.เพื่อไปลงคะแนนซึ่งเป็นสิทธฺิพื้นฐานชองประชาชนจนกลายเป็นชนวนตัดสิทธิที่ประชาชนเลือกเขา.....ขอให้เพื่อนๆนำประเด็นนี้ถามให้ทั่วสังคมเพราะเป็นปัญหาหลักการที่มาแห่งปัญหาของประเทศจากสิ่งที่เรียกว่า ตุลาการภิวัติ ที่คณะรัฐประหารสร้างไว้

กรณี‘จตุพร พรหมพันธุ์’

กรณี‘จตุพร พรหมพันธุ์’

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 12 ฉบับที่ 3108 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 29 กรกฏาคม 2011
โดย อัคนี คคนัมพร



เมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ และกำหนดบทลงโทษไว้ด้วยว่าผู้ใดไม่ไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจะถูกตัดสิทธิหลายๆประการ เช่น ตัดสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งระดับต่างๆ เป็นต้น
คนไทยผู้รักในความเป็นประชาธิปไตยก็พากันไปลงคะแนนเสียงมากกว่าครั้งก่อนๆที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติบังคับไว้
บางครั้งคนบางคนไม่ชอบพรรคการเมืองใดเลยสักพรรคเดียว บางครั้งคนบางคนไม่ชอบผู้สมัครรับเลือกตั้งเลยแม้แต่คนเดียว คนเหล่านั้นไม่ต้องการลงคะแนนให้ใคร รัฐธรรมนูญก็ยังบัญญัติเปิดโอกาสให้เขา “กาบัตร” ในช่องไม่เลือกบุคคลใด ซึ่งนั่นก็เท่ากับเป็นการใช้สิทธิอย่างหนึ่ง
การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่แล้ว คือการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม มีคนกลุ่มหนึ่งรณรงค์ให้กาโหวตโน ซึ่งก็หมายถึงการไปใช้สิทธิ แต่ไม่เลือกพรรคการเมืองใด และไม่เลือกบุคคลใด ผลปรากฏว่ามีประชาชนไปใช้สิทธิกาโหวตโนน้อยกว่าพวกที่กาโหวตโนในปี 2550 ซึ่งไม่มีการณรรงค์
นับเป็นเรื่องแปลกเรื่องหนึ่ง
สำหรับการบังคับให้คนไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยบัญญัติให้เป็นหน้าที่นั้น กฎหมายก็ไม่ได้ขึงตึงเปรี๊ยะเสียทีเดียว ยังมีการยกเว้นให้กับบุคคลที่มีเหตุจำเป็นไม่สามารถไปลงคะแนนได้ เพียงแต่ขอให้เจ้าตัวแจ้งเหตุแห่งความจำเป็นนั้นต่อ กกต. ภายในกำหนดเวลา
การบัญญัติกฎหมายเช่นนี้ก็เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะคนเราอาจมีเหตุบังเอิญ หรือเหตุอันเกิดขึ้นกะทันหันจนไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้เสมอ
กรณีแจ้งเหตุขัดข้องต่อ กกต. ภายในเวลาที่กำหนดนี้ บุคคลนั้นๆก็ไม่ต้องรับโทษว่าด้วยการตัดสิทธิต่างๆ
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนสำคัญของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมนั้นเป็นกรณีที่น่าศึกษา
ข่าวปรากฏชัดว่านายจตุพรถูกคุมขังอยู่โดยหมายศาลในคดีความคดีหนึ่ง ซึ่งนายจตุพรเป็นผู้ถูกกล่าวหา หรือเป็นจำเลย โดยที่ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษา
นับตั้งแต่ถูกควบคุมตัว นายจตุพรได้ยื่นขอประกันตัว หรือยื่นคำร้องขอให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดีตามสิทธิที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญตลอดเวลา
แต่นายจตุพรไม่ได้รับสิทธินั้น
จนกระทั่งถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง และวันลงคะแนนเลือกตั้ง นายจตุพรก็พยายามยื่นคำร้องขอประกันตัวไปสมัคร-หาเสียง และไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
แต่ศาลก็ไม่อนุญาตเช่นเคย
ปัญหาเกิดขึ้นในวันนี้คือ นายจตุพรได้รับเลือกตั้ง แต่ กกต. ยังไม่ออกใบรับรองการเป็น ส.ส. เพราะ กกต. อ้างว่านายจตุพรไม่ได้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในวันที่ 3 ก.ค. ซึ่งสงสัยว่าน่าจะเสียสิทธิในการเป็น ส.ส.

กกต. เพียงแต่สงสัย จึงไม่กล้าตัดสิน
ต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความข้อกฎหมายให้ชัดเจนเสียก่อน
ปัญหาดังกล่าวนี้ผู้เขียนเห็นว่าไม่ได้มีความสลับซับซ้อนจนคนอย่าง 5 เสือ กกต. จะตีความไม่ออกเลย
รัฐธรรมนูญบัญญัติหลักใหญ่ไว้แล้วว่า ผู้ถูกกล่าวหายังไม่ใช่ผู้กระทำความผิดจนกว่าศาลจะพิจารณาถึงที่สุดว่ากระทำผิด ก่อนหน้าศาลจะพิพากษาเช่นนั้นจะปฏิบัติต่อเขาอย่างผู้กระทำผิดมิได้
นายจตุพรถูกคุมขังอยู่ระหว่างคดี และได้พยายามทุกวิถีทาง (ยกเว้นแหกคุก) ที่จะออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ศาลไม่อนุญาต นายจตุพรจึงมีเหตุจำเป็นทำให้ไม่สามารถลงคะแนนเสียงได้
เมื่อนายจตุพรแจ้งเหตุจำเป็นดังกล่าวแก่ กกต. แล้ว นายจตุพรก็ไม่ควรต้องรับโทษตัดสิทธิทางการเมืองใดๆอีก
จะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เสียเวลาทำไม

Red Power วิเคราะห์ ส.ส.สุนัย มองเห็น อนาคตการจะเป็น ส.ส. ของ จตุพร

Red Power วิเคราะห์ ส.ส.สุนัย มองเห็น อนาคตการจะเป็น ส.ส. ของ จตุพร


โดย. ทีมข่าว Dr.sunai Fan Club
จากการนำเสนอบทความ อำมาตย์จัดหนักไม่ ให้ จตุพร เป็น ส.ส. จาก RED POWER เล่มที่ 16 วันที่ 15 กรกฎาคม ของทีมงานข่าวฯ และพยามติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดเรื่องการรับรองการเป็น ส.ส.ของ ก.ก.ต. ก็ทำให้ประหลาดใจว่าข่าวเจาะลึกของ RED POWER ดังกล่าวข้างต้นวิเคราะห์ได้ตรงกับเหตุกาลที่เกิดขึ้นในขณะนี้จริงๆ ประกอบกับทีมงานได้ฟังคลิปการวิเคราะห์ของ ส.ส.สุนัย ในงานเสวนา ณ. อนุสรณ์สถาน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมาท่านก็ได้วิเคราะห์เรื่อง ก.ก.ต. ให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่าขบวนการอำมาตยาธิปไตยจะไม่ยอมให้ จตุพร ได้เป็น ส.ส. โดยง่ายแน่ และแล้วกระแสสายน้ำของความคิดเห็นของทั้งสองก็มาบรรจบ เชิญท่านดูคลิป ของ ส.ส.สุนัย และบทวิเคราะห์ จาก RED POWER เพื่อชี้ให้เห็นภาพอนาคตได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น


ส.ส.สุนัย 1 เสวนา 112 อนุสรณ์สถาน สี่แยกคอกวัว 23 07 54



ส.ส.สุนัย2 เสวนา 112 อนุสรณ์สถาน สี่แยกคอกวัว 23 07 54



ข่าวเจาะลึก จาก RED POWER เล่มที่ 16 วันที่ 15 กรกฎาคม 2554

อารมณ์อำมาตย์คือคำพิพากษาตัวจริง นางสดศรี สัตยธรรม แถลงแล้วว่าเมื่อจตุพร พรหมพันธุ์ ออกจากคุกไปลงคะแนนเลือกตั้งไม่ได้(ทั้งๆที่ศาลสั่งไม่ให้ประกันออกไป)ก็ต้องถูกตัดสิทธิไม่ให้เป็น ส.ส. , Red Power ฟันธงว่าหากทำเช่นนั้นประชาชนจะเห็นกำพืดของ ก.ก.ต.ว่าคลอดออกจากท้องเผด็จการของ ค.ม.ช. ที่ยึดอำนาจทักษิณจริง ๆๆๆ แต่สุดท้ายจะเกิดเรื่องร้ายในกระบวนยุติความเป็นธรรมน่ากลัวอย่างยิ่งเพราะอำมาตย์จะสะกัดทุกวิถีทางไม่ให้จตุพรเหยียบบันไดสภาอย่างแน่นอนจะทำได้อย่างไร โปรดติดตาม
ด่านที่ 1 เมื่อศาลไม่ให้จตุพรออกไปลงคะแนน ก.ก.ต.ก็จัดหนักไม่ประกาศชื่อ จตุพร เป็น ส.ส. แล้วให้ จตุพรทำเรื่องฟ้องศาลปกครองซึ่งจะกินเวลายาวนาน แล้วระหว่างนั้นศาลยุติธรรมก็เร่งดำเนินคดีต่างๆตัดสินจำคุกไม่รอลงอาญา แต่ถ้าหาก ก.ก.ต.ยังหน้าบางไม่กล้าทำตามคำสั่งก็จะพบกับด่านต่อไป
ด่านที่ 2 แหล่งข่าวภายในวงการกระบวนการยุติความเป็นธรรมยืนยันว่าเป็นไปได้สูงเพราะเห็นว่าถ้าจะตัดหัวจตุพรเสียตั้งแต่ต้นไม่ให้เป็นส.ส.เลยจะถูกประณามว่าตัดสินด้วยอารมณ์บูด แต่จะรอฟัดวันหลังเพราะขณะนี้มีการส่งสัญญาณเป็นนัยๆแล้วว่า จตุพร จะต้องเปลี่ยนนามสกุลจากพรหมพันธุ์เป็น ตอปิโดอย่างแน่นอนตามบุคคลต้นสกุลในราชทัณฑ์ คือนักโทษหญิง ดา ตอปิโดที่จะถูกขังจนลืม ทำอย่างไรก็ไม่ได้ออก (นอกจากประชาชนจะจัดการขั้นเด็ดขาดเปิดคุกให้เอง)เพราะวันนี้นักโทษการเมืองที่อำมาตย์หญิงเหม็นขี้หน้าล้วนแล้วแต่ถูกบีบบังคับให้ใช้นามสกุล ตอปิโด ทั้งสิ้นแม้จะไม่สมัครใจก็ตาม โดยเฉพาะผู้ต้องหาที่ชอบเสนอหน้าเดินเฉียดรั้วบ้านใหญ่มีเสา 112 ต้น (ม.112) อยู่เสมอ อย่างเช่น สุรชัย แซ่ด่าน และสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งแหล่งข่าวเจาะลึกแจ้งยืนยันแล้วว่า คุณเธอสั่งการแล้วให้เปลี่ยนนามสกุล ดังนั้นยื่นคำร้องขอประกันตัวคนละหลายครั้งศาลก็สั่งง่ายๆไม่มีเหตุผลเปลี่ยนคำสั่งให้ยกคำร้อง ความหมายคือจงติดคุกต่อไปไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน
ด่านที่ 2 นี้จะใช้แนวทางอดีต ก.ก.ต.วาสนา เพิ่มลาภ และคณะที่ศาลสถิตยุติความเป็นธรรมได้เคยแสดงฤทธิ์เดชมาแล้ว คงจำกันได้ที่มีศาลบางคนออกมาตัดสินในที่สาธารณะต่อหน้าสื่อมวลชนก่อนที่ผู้ต้องหาจะก้าวขึ้นบันไดศาลเป็นจำเลยว่า ให้ลาออกจาก ก.ก.ต. ทันทีถ้าไม่ลาออกจะต้องติดคุกแล้วหลังจากนั้นก็ติดคุกจริงๆ โดยไม่รอลงอาญา แม้จำเลยยื่นคำร้องขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ ศาลก็ไม่ให้ประกันตัว จึงต้องเข้าไปนอนในคุกตามความประสงค์ของคนบางคนจนได้ และเมื่อติดคุกเพียงวันเดียวก็หมดสมาชิกภาพของ ก.ก.ต. ตามกฎหมาย
แหล่งข่าวเจาะลึกภายในวงการหลังกำแพงคุกจับเข่านั่งวิเคราะห์แล้วว่า จตุพร พรหมพันธุ์ ได้ถูกบีบให้เข้ากรอบโรคแม็พของ ก.ก.ต. ในอดีตอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าเป็นไปตามแผนนี้นับแต่นี้คดีของจตุพรจะถูกพิจารณาโดยเร่งด่วนตามประสิทธิภาพของศาลไทยที่พิจารณาคดีไม่ล่าช้า (บางคดี) และเมื่อผลเลือกตั้งออกมา แน่นอนที่สุด จตุพร จะเป็น ส.ส.พิเศษประเภทนอนมามีพระนำ เพราะเมื่อประกาศผลเลือกตั้งแล้ว จตุพร จะเดินมาทั้งตรวนเพื่อรายงานตัวที่สภาในตอนเช้า แล้วตอนบ่ายก็กลับไปนอนคุก และเป็นที่รู้กันว่าเมื่อสภาเปิดสมัยประชุมใครก็คุมตัวจตุพรไว้ในคุกไม่ได้ เพราะเป็นทั้งกฎหมายและประเพณีปฏิบัติมานาน แล้วว่าจะกลั่นแกล้งโดยคุมขังผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมไม่ได้ แต่เพื่อให้สมประสงค์อารมณ์คุณป้าวัยทองอำมาตย์ใหญ่ฝ่ายหญิง จ.จ. คู่ปรับจตุพรที่ไม่ต้องชะตาหน้าตาและอากัปกิริยาของจตุพร แหล่งข่าวรายงานว่าช่วงเวลาขณะรอสภาเปิดสมัยประชุมจะต้องใช้เวลาสักระยะระหว่างนั้นโปรดจับตาดูให้ดี กระบวนการยุติความเป็นธรรมจะเร่งเครื่อง และมีคำพิพากษาออกมาโดยเร็วซึ่งพอคาดเดาได้ คงไม่ต่างอะไรกับ ก.ก.ต.วาสนา เพิ่มลาภ เคยประสบแล้วเมื่อจตุพรต้องนอนคุกตามคำพิพากษาโดยไม่ให้ประกันตัว ตำแหน่งส.ส.ที่คุ้มครองสิทธิ์ก็จะต้องอันตรธานหายวับไปในพริบตา
แฟนคลับทั้งหลายติดตามดูกันต่อไปว่า จตุพร จะถูกบีบให้เปลี่ยนนามสกุลเป็น ตอปิโด สำเร็จไหม?
ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในกระบวนการยุติความเป็นธรรมของไทยเถิด ว่ามีฝีมือจัดสินค้าตามสั่งได้จริงๆ

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การไม่รับรองจตุพร ศาลและ กกต.ต้องตอบคำถามนี้

การไม่รับรองจตุพร ศาลและ กกต.ต้องตอบคำถามนี้

ส.ส.สุนัย จุลพงศธร


กรณีกกต.ไม่รับรองตู่ จตุพร ด้วยเหตุไม่ไปลงคะแนน ผมขอให้ใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินนี้พิจารณาให้ลึกซึ้งอย่าใช้ อารมณ์เป็นที่ตั้งเพราะเป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการกระทบกันทางโครงสร้าง อำนาจระหว่างอำนาจตุลาการ(ที่ไม่ได้มาจากประชาชน)กับอำนาจนิติบัญญัติ(ที่มา จากประชาชน)/ศาลต้องให้เหตุผลว่าทำไมจึงไม่ให้ตู่ประกันตัวเพียง 3 ชม.เพื่อไปลงคะแนนซึ่งเป็นสิทธฺิพื้นฐานชองประชาชนจนกลายเป็นชนวนตัดสิทธิ ที่ประชาชนเลือกเขา.....ขอให้เพื่อนๆนำประเด็นนี้ถามให้ทั่วสังคมเพราะเป็น ปัญหาหลักการที่มาแห่งปัญหาของประเทศจากสิ่งที่เรียกว่า ตุลาการภิวัติ ที่คณะรัฐประหารสร้างไว้

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

26 กรกฏาคม เอวิต้า เธอผู้ไม่แพ้

26 กรกฏาคม เอวิต้า เธอผู้ไม่แพ้

โดย. ทีมงานข่าว Dr.sunai Fan Club



          มาเรีย เอวา ดูอาร์เต้ เกิดที่ชานกรุงบัวโนส ไอเรส เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ.1919
ในครอบครัวที่ยากจน และสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อบิดาเสียชีวิตขณะที่เอวามีอายุได้
เพียง 7 ขวบ ทิ้งภรรยาและลูก ๆ อีก 5 คน ให้เผชิญโลกตามลำพัง การดิ้นรนในสังคมที่มีความแตกต่างกันอย่างมากทางชนชั้น ความอยุติธรรม และการเอารัดเอาเปรียบต่าง ๆ ทำให้เอวามีแนวคิดทางสังคมมาตั้งแต่เล็ก ๆ ในชั้นแรกเธอคิดเหมือนกับคนจนทั่วไปว่าเป็นเรื่องปกติที่คนจนจะเป็นได้แค่ต้นหญ้า และคนรวยจะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ตลอดไป แต่เมื่อเริ่มโตขึ้น เธอเริ่มพินิจว่า การที่คนจำนวนมากยากจนนั้นเป็นเพราะคนรวยแสวงหาความร่ำรวยจนเกินไปโดยไม่รู้จักความพอเพียง
          เอวาสนใจในการแสดงเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ในปี 1934 เธอเดินทางเข้ามาศึกษาวิชาการแสดงและการกล่าวสุนทรพจน์ที่บัวโนส ไอเรส และเริ่มชีวิตนักแสดงละครเวที แต่ยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก หลังจากนั้นจึงหันไปเป็นนางแบบปกนิตยสาร นางแบบโฆษณา ควบคู่ไปกับการแสดงภาพยนต์ และจัดรายการวิทยุ ซึ่งทำให้เธอเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แต่ชีวิตของศิลปินในเวลานั้นเป็นไปด้วยความขมขื่นและยากลำบาก
          วันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1943 เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญในอาร์เจนตินา เมื่อคณะทหารทำการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครอง ต่อมาในเดือนตุลาคมปีนั้น คณะปฏิวัติ ได้แต่งตั้งพันโทฆวน โดมิงโก้ เปรอน มาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมแรงงาน เพื่อดูแลรับผิดชอบปัญหาแรงงาน ก่อนที่กรมนั้นจะได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นสำนักงานเลขาธิการแรงงานและสวัสดิการสังคม มีฐานะเทียบเท่ากระทรวง ในเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนต่อมา
          กลางเดือนมกราคม ค.ศ.1944 เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในจังหวัดซันฆวน
เหล่าศิลปินได้รวมตัวกันจัดงานหาเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย ประธานาธิบดีเปรโด รามิเรซ และ
พันโทเปรอน ได้มาร่วมงานด้วย เอวามีโอกาสพบกับเปรอนเป็นครั้งแรก และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตั้งแต่นั้น ทั้งคู่มีทัศนะทางสังคมและการเมืองที่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยสันติวิธี
          เอวาช่วยเหลือพันโทเปรอนด้านงานแรงงานและสวัสดิการสังคมอย่างเต็มที่ จนกลายเป็นอุปสรรคต่องานแสดงภาพยนต์ของเธอเอง อย่างไรก็ตาม เอวาได้ก่อตั้งสมาพันธ์ขึ้นเป็นผลสำเร็จ และดำรงตำแหน่งประธานคนแรกของสมาพันธ์ฯ
           นโยยายด้านแรงงานและสวัสดิการสังคมของพันโทเปรอนส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้ใช้แรงงานและคนยากจน ทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง จนประธานาธิบดีต้องแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี และรัฐมนตรีกลาโหม ควบคู่กับตำแหน่งเลขาธิการแรงงานและสวัสดิการสังคม ท่มกลางความไม่พอใจแก่นายทหารบางกลุ่ม
          วันที่ 13 ตุลาคม 1945 พันโทเปรอนถูกจับกุมและคุมขังอยู่ในเรือนจำบนเกาะกลางแม่น้ำปลาต้า เอวิต้าขอเข้าไปอยู่ในเรือนจำกับเปรอนด้วย แต่ได้รับการปฏิเสธ เธอและเพื่อน ๆ
จึงเดินทางไปตามโรงงานและสหพันธ์แรงงานต่าง ๆ เพื่อปลุกระดมคนงานให้ปกป้องและ
ปลดปล่อยเปรอน
          รุ่งอรุณของวันที่ 17 ตุลาคม คนงานทั่วกรุงบัวโนส ไอเรส พากันหยุดงานและชุมนุมกัน
เป็นจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่การชุมนุมเป็นไปด้วยความสงบ ปราศจากความรุนแรงใด ๆ ชนิดที่กระจกร้านค้าสักบานเดียวก็ไม่มีแตก กลุ่มผู้ประท้วงได้รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นที่จตุรัสมาโยสร้างแรงกดดันจนรัฐบาลต้องยินยอมปล่อยตัวเปรอนเป็นอิสระ
          พันโทฆวน เปรอน เข้าพิธีสมรสกับเอวาในวันที่ 22 ตุลาคม 1945 ที่บ้านเกิดของเธอในเขตฆูนิน ชานกรุงบัวโนส ไอเรส จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เปรอนกลายเป็นตัวเก็งในการสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไปโดยปริยาย ซึ่งผลการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 1946 ก็เป็นไปตามคาด และเอวา เปรอน ได้กลายเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของ
อาร์เจนตินา เมื่ออายุเพียง 26 ปี โดยเป็นขวัญใจของประชาชน ทั้งในด้านความงาม ความเยาว์วัย และความเฉลียวฉลาด เธอได้ตั้งสำนักงานของเธอขึ้นในกระทรวงแรงงานและความมั่นคงสังคม เพื่อทำงานเรื่องแรงงานและสังคมอย่างหามรุ่งหามค่ำ เอวาอุทิศตัวเพื่อการปฏิรูปสังคมอย่างสันติตามแนวคิดของเธอ รวมทั้งในเรื่องการศึกษาของเยาวชน สวัสดิการสังคม การรักษาพยาบาล และสิทธิสตรี โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
          ผลของการทำงานหนักเกินกำลังทำให้เอวาล้มป่วยลง แต่ประชาชนและสหพันธ์แรงงานก็เรียกร้องให้เธอเป็นรองประธานาธิบดีในการสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของเปรอน ท่ามกลางกระแสการต่อต้านจากฝ่ายทหารและข้าราชการ จนถึงขั้นมีความพยายามก่อการรัฐประหาร แต่ได้รับการต่อต้านจากประชาชนอย่างหนัก เอวาซึ่งป่วยหนักได้เดินทางมาพบประชาชนซึ่งชุมนุมกันอยู่ที่จตุรัสมาโย และเรียกร้องให้พวกเขาสนับสนุนเปรอนในการต่อสู้ตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย เอวาปรากฏตัวต่อประชาชนอีกครั้งในวันที่ 17 ตุลาคม 1951 ในสภาพที่อ่อนเปลี้ยไม่สามารถทรงตัวได้ โดยมีสามีคอยพยุงอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน เธอก็ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการผ่าตัดฉุกเฉิน โดยเป็นที่เปิดเผยในภายหลังว่าเธอป่วยเป็นโรคมะเร็งในระยะสุดท้าย
          การเลือกตั้งในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1951 เป็นครั้งแรกที่สตรีอาร์เจนตินามีสิทธิในการลงคะแนน ตามที่เอวาได้เรียกร้องต่อสู้ และมีสตรีได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง ขณะที่เอวาใช้สิทธิลงคะแนนบนเตียงคนป่วยในโรงพยาบาล
          วันที 24 มกราคม 1952 รัฐสภามีมติในวาระพิเศษให้ขนานนามเอวา เปรอนว่า เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของประชาชาติ
          เอวา เปรอน อยู่เคียงข้างสามีในวันที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง แต่
ชาวอาร์เจนตินาก็พากันตระหนักถึงสุขภาพอันปราะบางของเธอ ประชาชนและอารามต่าง ๆ
ทั่วประเทศพากันสวดขอพรให้กับเอวา ความหม่นหมองและเศร้าซึมเหมือนเมฆทึบที่ปกคลุมดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล และในเช้ามืดวันที่ 26 กรกฏาคม 1952 อาการของเธอก็เข้าขั้นโคม่า
          ในตอนสายวันเดียวกัน มีประกาศอย่างเป็นทางการว่า ผู้นำทางจิตวิญญาณของ
ประชาชาติ ได้จากไปชั่วนิรันดร์ ศพของอีวา เปรอน ถูกรักษาอย่างดีโดยนายแพทย์ผู้มีชื่อเสียง และถูกนำไปไว้ที่สหพันธ์แรงงานโดยได้รับการอารักขาอย่างเข้มแข็ง แต่เมื่อรัฐบาลของประธานาธิบดีเปรอนถูกปฏิวัติโดยคณะทหาร ศพของเธอก็ถูกเนรเทศไปอยู่ที่สุสานในเมือง
มิลาน ประเทศอิตาลีเป็นเวลานานเกือบ 20 ปี จนเกิดการปฎิวัติครั้งใหม่ และคณะปฏิวัติชุดนี้
จึงมอบศพของเธอคืนให้เปรอนซึ่งลี้ภัยอยู่ในประเทศสเปน
          เอวา ดูอาร์เต้ เด เปรอน เดินทางกลับบ้านเกิดในปี 1974 และพำนักอยู่ที่สุสาน La Corleta อย่างสงบ แต่ถึงแม้ว่าเธอจะจากโลกนี้ไปกว่า 50 ปีแล้ว แต่โลกก็ยังไม่ลืมเธอ ทุกวันนี้ยังมีคนจากทุกมุมโลกเดินทางมาเยี่ยมเยือนเธออยู่เสมอ และประตูเหล็กบานใหญ่ซึ่งปิดตายก็จะมีดอกกุหลาบแดงเสียบไว้ไม่เคยขาด
          สำหรับชาวอาร์เจนตินาเองแล้ว นี่อาจจะเป็นดังถ้อยคำในสุนทรพจน์ที่เธอกล่าว
กับประชาชนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1951 ว่า... ‘I will be with my people, dead or alive’

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

1 ตำบล 1 ครูฝรั่ง อาชีวะต้องก้าวสู่หลักสูตรอินเตอร์

1 ตำบล 1 ครูฝรั่ง
อาชีวะต้องก้าวสู่หลักสูตรอินเตอร์
ส.ส.สุนัย จุลพงศธร



          ก่อนและหลังการเลือกตั้งนโยบายหาเสียงของทุกพรรคการเมือง ถูกกลบด้วยนโยบายลดแลกแจกแถม ที่เรียกว่า นโยบายประชานิยม จนทำให้นโยบายการศึกษาซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของทุกพรรคการเมืองถูกบดบังไปหมด
          เมื่อวานนี้ (22 ก.ค.) เวลาประมาณ 10.00 น. นายแอนดริว มอริส  ตัวแทนองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติหรือที่รู้จักในนามยูนิเซฟและคณะได้เข้าเยี่ยมคารวะ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีที่พรรคเพื่อไทย โดยแสดงความเป็นห่วงในเรื่องการศึกษาของเด็กไทย ผมจึงขอถือโอกาสนี้บอกเล่ามายังประชาชนในนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและในนามสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพื่อให้พี่น้องประชาชนทราบถึงความห่วงใยและแนวคิดของพรรคบางด้านเกี่ยวกับการศึกษา
          แต่ต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่าที่กระผมนำเสนอนี้มิใช่เพื่อเสนอตัวแข่งขันที่จะเป็นรัฐมนตรีศึกษากับเขา ในเทศกาลจัดตั้งคณะรัฐมนตรีในขณะนี้ซึ่งถือเป็นปกติหลังเลือกตั้งที่ประชาชนค่อนข้างจะรู้สึกเบื่อหน่ายต่อข่าวแย่งกันเป็นรัฐมนตรี  แต่กระผมขอเสนอในฐานะที่เคยนั่งบริหารอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการทั้งตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรี และเลขานุการรัฐมนตรี รวมทั้งนั่งอยู่ในกรรมาธิการการศึกษาของสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย ดังนี้
          หากจะดูแผนการปฏิรูปการศึกษาตาม พ.ร.บ.การศึกษาปี 2542 จนมาถึงวันนี้ถือว่ามีจุดอ่อนอย่างยิ่งในประเด็นสำคัญ และแม้รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ได้ผ่านแผนการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ ในโอกาสครบ 1 ทศวรรษนับแต่ปี 2542 จุดอ่อนประเด็นสำคัญนี้ก็ยังไม่มีการพูดถึง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปประเทศเพื่อให้ก้าวทันโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ และจะนำมาซึ่งความขัดแย้งทางสังคมในลักษณะชนชั้นที่เป็นช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่ขยายตัวกว้างขวางมากขึ้น ปัญหาสำคัญที่จะขอกล่าวในที่นี้มี2 ประเด็นที่รัฐบาล คุณยิ่งลักษณ์ จะต้องให้ความสนใจ โดยไม่ว่ากระทรวงศึกษาจะเป็นโควต้าของพรรคชาติไทยพัฒนาก็ตามคือ
          1.ปัญหาระบบการบริหารการศึกษาที่ไม่ยอมกระจายอำนาจถ่ายโอนไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
          2.ปัญหาความล้มเหลวของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ที่เราใช้จ่ายงบประมาณไปอย่างมากในแต่ละปีแต่ไม่บังเกิดผล ด้วยกรอบวิธีคิดของความเชื่อโบราณว่า ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาพ่อแม่ของเรา และที่เราพูดและใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้เป็นความภาคภูมิใจของเราเพราะประเทศไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง
          วาทะกรรมข้างต้นนี้ได้กลายเป็นอุปสรรคทางวัฒนธรรมการเรียนรู้ของครูส่วนข้างมากและนักเรียนส่วนข้างมาก และเกิดผลกระทบต่อการเรียนวิชาชีพในระดับ ปวช. และ ปวส. อย่างน่าเสียดายโอกาสยิ่ง ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วในวันนี้ยุคนี้ภาษาอังกฤษมิใช่ภาษาต่างประเทศ หากแต่เป็นภาษากลางภาษาหนึ่งของมนุษยชาติที่ใครๆก็ต้องเรียนรู้และใครๆก็ต้องใช้
          ปัญหาประเด็นที่ 1 เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างอำนาจและผลประโยชน์ที่กระทรวงศึกษาขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่เมื่อรัฐธรรมนูญถูกฉีกและรัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่มีกำหนดไว้ก็ยิ่งกลายเป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวทางการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยือนมาก ซึ่งหากมีการถ่ายโอนก็จะช่วยให้เกิดการปรับตัวได้ง่ายขึ้น
          ปัญหาประเด็นที่ 2 เป็นปัญหาทางวัฒนธรรมที่ยาวนาน เชื่อหรือไม่ว่านโยบายเรียนฟรีของรัฐบาลในโรงเรียนของรัฐยังไม่สอนภาษาอังกฤษให้เด็กในระดับ ป.1 ป.4 และเมื่อขึ้นประถม 5 จึงจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษที่เป็นไวยากรณ์อังกฤษเป็นหลักและเรียนไม่กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็นผลให้เด็กไทยส่วนใหญ่ถูกปิดกั้นทางโอกาสที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่เป็นจริง ปัญหาเหล่านี้พ่อแม่ผู้มีฐานะรู้ดีและแก้ด้วยวิธีส่งลูกเข้าโรงเรียนหลักสูตรอินเตอร์ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษเกือบทุกวิชา ด้วยค่าเล่าเรียนที่แพงสูงลิ่ว
          กระแสความต้องการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของประชาชน กลายเป็นกระแสที่เป็นจริงแต่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ไม่สนใจ
          วันนี้ครูโรงเรียนรัฐบาลก็รับรู้ปัญหานี้หลายโรงเรียนของรัฐได้เปิดหลักสูตรพิเศษเช่นเดียวกับโรงเรียนอินเตอร์ และก็เก็บค่าเล่าเรียนเป็นพิเศษที่ลูกคนจนเรียนไม่ได้
          แน่นอนที่สุดอีก 10 ปี ต่อไปในอนาคต เด็กที่รู้ 2 ภาษา ทั้งเขียนได้,พูดได้,ใช้ได้ ย่อมได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าเด็กที่รู้ภาษาไทยภาษาเดียว ดังนั้นลูกคนรวยจึงยิ่งรวยขึ้นในขณะเดียวกันลูกคนจนยิ่งจนลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในอนาคตอีก 10 ปี ช่องว่างทางสังคมจะยิ่งกว้างขึ้นความยากจนจะกลายเป็นวิกฤติความขับข้องใจ หรือ วิกฤติแห่งการก้าวไม่ทันทางวัฒนธรรม ที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมอย่างรุนแรงและยากที่จะแก้ไข ซึ่งส่วนหนึ่งมีปรากฏการณ์อยู่ใน 3 จังหวัดภาคใต้ของไทยในขณะนี้
          ที่น่าสังเกตที่สุดก็คือ การตื่นตัวเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างเป็นไปเองโดยรัฐไม่ได้ให้ความสนใจเกิดขึ้นเฉพาะในส่วนของโรงเรียนสายสามัญ แต่ไม่เกิดขึ้นในโรงเรียนอาชีวะหรือวิทยาลัยอาชีวะ เลย ดังจะเห็นได้จากหาโรงเรียนอาชีวะอินเตอร์ยากมากทั้งภาคเอกชนโดยเฉพาะภาครัฐ
          เด็กอาชีวะส่วนใหญ่เป็นลูกคนยากคนจนที่มาเรียน ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยคนจนเป็นฝ่ายข้างมากเมื่อเปรียบเทียบกับสายสามัญ ดังนั้นความเป็นจริงที่คนรวยส่วนน้อยจะยิ่งรวยขึ้น และคนจนส่วนใหญ่จะยิ่งจนลง โดยสืบต่อความยากจนถึงชั้นลูกชั้นหลาน จากความล้มเหลวของระบบการศึกษานี้
          จากบทความนี้ยังคงไม่สามารถจะนำเสนอการแก้ไขทั้งระบบได้ คงต้องหารือจากนักการศึกษาหลายฝ่าย แต่เฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาจุดอ่อนเรื่องการศึกษาในประเด็นนี้ ผมขอนำเสนอนโยบายเร่งด่วนก้าวกระโดด 2 โครงการใหญ่คือ
          1.โครงการ 1 ตำบล 1 ครูฝรั่ง ซึ่งจะใช้ครูฝรั่งอาสาสมัครจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ประมาณ 7,000 คน เท่านั้น ด้วยต้นทุนต่ำสุดด้วยการประสานงานกับหน่วยงานทางสากลที่ผมได้เคยทาบทามไว้แล้วในครั้งเมื่อทำงานด้านนโยบายในกระทรวงศึกษา
          2.ปรับหลักสูตรการเรียนรู้ของอาชีวะศึกษาทั้งหมดทันทีเป็น 2 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ เพื่อเร่งรัดยกระดับประสิทธิภาพของแรงงานไทยเพื่อก้าวสู่แรงงานทางสากลที่จะได้รับผลตอบแทนสูง ทั้งแรงงานในประเทศและที่จะส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทางเศรษฐกิจโดยตรง
          ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ทันทีโดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย เพียงแต่ใช้การบริหารเชิงนโยบายเท่านั้น และจะต้องเร่งให้เรื่องการศึกษางอกขึ้นให้พ้นจากการปกคลุมด้วยนโยบายประชานิยม ปาก ท้อง โดยเร่งด่วน