Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

กระหน่ำตี "ภาษีคนโสด" ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด ความรู้ ไม่สำคัญเท่า ความรู้สึก?

ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 13-19 ก.ย.2556



ข่าวเก็บภาษีคนโสด เป็นข่าวครั้งแรกในสื่อใหม่ ออนไลน์แห่งหนึ่ง นำเสนอข่าว

"ซ้ำเติมคนโสด นักวิชาการหนุนเก็บภาษีเพิ่ม" ข่าวนี้ แอดมินเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2556 เวลา 20.11 น.

ข่าวนี้ กระหึ่มในสังคมโซเชียลมีเดีย มากกว่าในสื่อเก่า เพราะสื่อฉบับกระดาษตีพิมพ์ข่าวนี้ครั้งแรก ฉบับวันเสาร์ที่ 7 กันยายน 2556 หน้า 6 พาดหัวข่าวว่า "แนะรัฐจัดเก็บภาษีคนโสด ดันปั๊มลูกแก้ขาดแคลนแรงงาน"

ข่าวเก็บภาษีคนโสด เกิดขึ้นในห้วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลปรับภาษีสุรา ขยายเพดานครั้งใหญ่ และเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ม็อบสวนยางพารา 5 จังหวัด ปิดถนน ปิดทางรถไฟ ต้องการให้รัฐบาลรับซื้อยาง 120 บาทต่อกิโลกรัม

แต่ดูเหมือนว่า ในโลกโซเชียลมีเดีย ผู้คนในโลกเสมือนจริง สนใจจิกกัดข่าวเก็บภาษีคนโสด มากกว่าข่าวภาษีสุราและม็อบสวนยาง



ไม่น่าเชื่อว่า ข่าวซ้ำเติมคนโสด เก็บภาษีคนโสด กลายเป็นข่าวใหญ่ในโลกโซเชียลมีเดีย ที่เต็มไปด้วยความร้อนแรง เต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ระดับเดียวกับวิวาทะว่าด้วย "อีโง่" เพราะความเห็นและข้อความส่วนใหญ่ ปักใจเชื่อไปแล้วว่า เป็นนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะรัฐบาลชุดนี้ มักขายนโยบายใหม่ๆ

พวกที่เกลียด "ตระกูลชินวัตร" เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่รีรอที่จะรุมกินโต๊ะ นโยบายเก็บภาษีคนโสด อย่างเมามัน และโพสต์ข้อความ เยาะเย้ย ถากถาง โพสต์ข้อความส่งต่อแบบไม่ยั้งคิด

หลังจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถูกด่าฟรีมาหลายวัน นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จึงออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Teerat Ratanasevi ว่า กรณีนี้ไม่ใช่แนวคิดรัฐบาล เป็นเพียงแนวคิดของนักวิชาการคนหนึ่งที่เสนอออกมาสู่สังคมเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าคนไทยปัจจุบันแต่งงานมีลูกน้อยลง ซึ่งจะทำให้ประเทศมีปัญหาในอนาคต

"เป็นอีกวันที่รู้ว่าคนไทยอ่านข่าวเฉพาะ Headline เพราะเรื่องการเก็บภาษีคนโสด เป็นแนวคิดของนักวิชาการคนหนึ่ง รัฐบาลยังไม่มีนโยบายเรื่องภาษีอะไรแบบนั้นทั้งสิ้น" โฆษกรัฐบาล แสดงทัศนะผ่านเฟซบุ๊ก



ผู้รับผิดชอบโดยตรง อย่าง นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.การคลัง ยืนยันว่า ยังไม่มีแนวคิดเก็บภาษีคนโสดและคนไม่มีลูกตามที่นักวิชาการเสนอ เพราะจะต้องศึกษารายละเอียดอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะโครงสร้างประชากรในช่วง 10 ปีข้างหน้าว่ามีทิศทางเป็นอย่างไร หากเทียบกับโครงสร้างในปัจจุบัน และต้องดูถึงผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นด้วย ดังนั้น การเก็บภาษีจึงไม่เกี่ยวกับว่าใครโสดหรือไม่โสด

เมื่อย้อนกลับไปดูต้นตอของข่าวนี้ จริงๆ พบว่า เป็นการพูดบนเวทีวิชาการ ของ นายเทอดศักดิ์ ชมโต๊ะสุวรรณ เลขานุการคณะเศรษฐศาสตร์ และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่กล่าวอภิปรายหัวข้อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและนโยบายการรองรับในสองทศวรรษหน้า

ประเด็นภาษีคนโสด มาจากความเห็นของนายเทอดศักดิ์ ที่เสนอว่า แนวทางแก้ไขภาครัฐควรออกนโยบายสนับสนุนให้คนไทยมีลูกเพิ่มขึ้น เช่น โครงการลูกคนแรก โดยรัฐช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย การเลี้ยงดูให้กับครอบครัวที่มีลูกคนแรก รวมถึงให้เงินอุดหนุน หรือลดภาษีสำหรับครอบครัวที่มีลูกคนที่ 2 และ 3 นอกจากนี้ ควรเรียกเก็บภาษีคนโสด ภาษีคนไม่มีลูก กระตุ้นให้มีครอบครัว เพื่อลดภาระงบประมาณการใช้สวัสดิการดูแลของภาครัฐในอนาคต

นอกจากนี้ นายอนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและวิชาการ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นข้อเสนอของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นเพียงการแสดงความเห็นหรือข้อเสนอของนักวิชาการในห้องสัมมนาเท่านั้น



กลายเป็นว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถูกรุมด่าฟรีเกือบหนึ่งสัปดาห์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เสียงวิจารณ์ที่สะท้อนกลับที่ว่า ในโลกเสมือนจริงหรือโซเชียลมีเดียแล้ว อ่านแค่พาดหัวข่าวโดยไม่ต้องอ่านเนื้อข่าวก็วิจารณ์คนอื่นได้แล้ว หรือบางเรื่อง ถ้าเกลียดชังใคร ไม่ต้องเอาข้อเท็จจริงเป็นตัวตั้งก็ได้ ด่าไปก่อน (พ่อสอนไว้)

ข้อความที่โพสต์ขึ้นในวันถัดมา หลังความจริงกระจ่างแจ้งคือ พลเมืองในโลกออนไลน์ส่วนหนึ่ง เป็นพวกฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด

หลังจากสังคมในโลกออนไลน์ ใช้เวลาหมดเปลืองไปกับการวิจารณ์หัวข่าวแต่ไม่อ่านเนื้อข่าวเสียหลายวัน เมื่อรู้ว่าผิดคนและผิดเป้า จึงค่อยกลับมาหาสาระ และเริ่มหาความรู้เรื่องภาษีคนโสด แล้วใครบางคนเมื่อรู้ว่าไม่ใช่นโยบายของยิ่งลักษณ์ จริงๆ ก็ออกมาหนุนภาษีคนโสด

หนึ่งในนั้นคือ ด๊อกเตอร์ดังที่เป็นฝ่ายคนรู้ทันทักษิณ ให้สัมภาษณ์ "ไทยรัฐออนไลน์" ว่า เหตุที่แนวคิดของนายเทอดศักดิ์ ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม อาจมีสาเหตุมาจากประชาชนขาดความไว้วางใจรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยเกรงว่าจะนำเงินภาษีคนโสดไปใช้ในทางที่ผิดรูปแบบและวัตถุประสงค์

"แนวทางของนายเทอดศักดิ์ ใช้วิธีลงโทษคนที่ไม่อยากมีลูก แต่สังคมไทยยอมรับในอีกรูปแบบหนึ่งคือ หากเป็นการเก็บภาษีเพื่อนำเงินไปสนับสนุนให้คนที่พร้อมอยากมีคู่ จะได้รับการสนับสนุนมากขึ้น"

สำหรับสังคมไทย ชั่วโมงนี้ ความรู้ อาจไม่สำคัญเท่า ความรู้สึก!!!






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น