Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

จับตาแก้ รธน.ที่มา ส.ว. วัดใจฝ่ายต้าน เผือกร้อนในมือ รบ.

ที่มา:มติชนรายวัน 27 กันยายน 2556




ดูท่าจะไม่ง่ายตามที่ฝ่ายยุทธศาสตร์ของรัฐบาลวางปฏิทินการเดินหน้างานด้านนิติบัญญัติ โดยเฉพาะ ประเด็นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในประเด็นที่มาของ ส.ว.ที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในวาระ 2 ไปเรียบร้อยแล้ว และรอให้ผ่านพ้น 15 วัน ตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ก็จะต้องดำเนินการลงมติในวาระ 3

ต้องยอมรับว่ากระบวนการเดินหน้าแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ในประเด็นที่มาของ ส.ว.นั้น ถูกฝ่ายค้านของพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่ม ส.ว.สายสรรหา งัดสารพัดช่องทางเพื่อสกัดกั้นไม่ให้การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเดินหน้าได้อย่างง่ายดาย ตามที่คณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยและแกนนำรัฐบาลได้วางปฏิทินเอาไว้

ยิ่งล่าสุดฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์งัดคลิปเด็ด อย่าง ?การกดบัตรแทนกัน? โดยมีการอ้างว่าเป็นกลุ่ม ส.ส.ของฝั่งรัฐบาล ในช่วงที่มีการลงมติ ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาของ ส.ว. ในวาระ 2 จึงเข้าทางของฝ่ายค้าน นำไปยื่นหลักฐานเพิ่มน้ำหนักการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่าสมาชิกรัฐสภาทั้ง 310 คน กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ ไปก่อนหน้านั้นแล้ว

สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คลิปกดบัตรแทนกัน น่าจะไปช่วยเพิ่มน้ำหนักให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้ายากยิ่งขึ้นไปอีกขั้น อีกทั้งมีการดักคอด้วยว่าหากรัฐบาลยังดึงดัน เดินหน้าลงมติในวาระ 3 ของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่่มาของ ส.ว. อาจจะเสี่ยงเป็นผู้กระทำความผิดและถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งด้วย

ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลและทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยยังประเมินตรงกันและพร้อมเดินหน้า ลงมติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่่มาของ ส.ว. ในวาระ 3 ตามกำหนดการเดิมในวันที่ 28 กันยายน โดยยืนยันว่าเป็นอำนาจของสมาชิกรัฐสภาในฐานะที่มีหน้าที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยโดยระบบรัฐสภา จะทำให้รัฐสภาเกิดความศักดิ์สิทธิ์ในฐานะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ที่สามารถดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ซึ่งตามกรอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 90 ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ และร่าง พ.ร.บ.จะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้ก็โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา และเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย หรือถือเสมือนว่าได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อประกาศใช้บังคับต่อไป หากยึดตามกรอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว เมื่อสภาได้ให้ความเห็นชอบในวาระ 3 แล้ว จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงกระบวนการนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้รับความยินยอมขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธย

ฝ่ายต่อต้านจึงมีการประเมินกันว่า หากรัฐสภายังยืนยันที่จะลงมติในวาระ 3 อย่างที่ตั้งใจไว้ กระบวนการต่อไปคือ ก็จะเข้าสู่กระบวนการทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 150 แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว.เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ก็ตาม แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้มีบทบัญญัติว่าด้วยการให้นายกฯระงับกระบวนการการประกาศให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ไปก่อนในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

กระบวนการนับจากนี้หลังจากลงมติในวาระ 3 จึงเปรียบเสมือนเผือกร้อนที่จะกลับไปอยู่ในมือของนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องเป็นผู้นำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธย แม้รัฐธรรมนูญมาตรา 150 จะให้อำนาจนายกฯในการดำเนินการ แต่ฝ่ายคัดค้านก็ยังคงออกมาดักคอด้วยว่า หากยังดึงดันนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีปัญหาตามมาหรือไม่ คงจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการใช้ดุลพินิจของตัวเอง

กระบวนการเดินหน้าร่างแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาของ ส.ว.นับจากนี้ จึงน่าจับตายิ่งในการช่วงชิงจังหวะรุก-ถอย ทางการเมืองของทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน โดยมีศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้่ขาด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น