ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 13-19 ก.ย.2556
ตลอดเวลา 2 ปีเศษของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร
ต้องเผชิญแรงเสียดทานจาก 3 ประสาน คือ พรรคฝ่ายค้าน กับ
ส.ว.จำนวนหนึ่ง มวลชนนอกสภา
และองค์กรอิสระ
จนไม่สามารถเดินหน้าได้สะดวกราบรื่น
ไม่ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กฎหมายนิรโทษกรรม จำนำข้าว โครงการ 2
ล้านล้าน
ตลอดจนโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน
ทั้งที่ประเทศไทยเพิ่งประสบมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี
2554
ท่ามกลางสมรภูมิต่อสู้ทางการเมือง
การหักล้างกันด้วยประเด็นข้อกฎหมายยังเป็นอาวุธแหลมคม
และสร้างอันตรายให้ฝ่ายรัฐบาลทุกฝีก้าว
ดังคำปาฐกถาของ นายวสันต์
สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ
ที่"ฟันธง"ว่าตอนนี้รัฐบาลทำขัดรัฐธรรมนูญแล้ว หลายเรื่อง
คือ
การไม่แถลงผลงานรัฐบาลปีละ 1 ครั้ง ต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา
75
โครงการรับจำนำข้าว ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 (5)
ซึ่งบัญญัติให้นโยบายที่รัฐกำหนดต้องให้มีการแข่งขันเสรีและเป็นธรรม
"โครงการรับจำนำข้าวถือว่ารัฐผูกขาดตัดตอนเสียเอง
ขัดหลักการรับจำนำ การจำนำคือเอาทรัพย์ไปประกันหนี้กับเจ้าหนี้
เมื่อถึงเวลาหนึ่งต้องไถ่ถอนหรือมีการต่อรอง แต่นี่กลับตั้งโต๊ะรับซื้อทั้งหมด
ถือเป็นการโกหกตั้งแต่ต้น"
นายวสันต์
ยังแสดงอาการหงุดหงิดต่อโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท
ที่ล่าช้าจนเลยกำหนดการกู้เงินตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน
ที่ผ่านมา
พร้อมกันนั้น ยังท้วงติงร่างกฎหมายนิรโทษกรรม
ว่าขัดต่อหลักความเสมอภาคทางกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 30
เนื่องจากการนิรโทษกรรมจะยกเว้นใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้
ต้องนิรโทษกรรมทั้งยวง
ภายหลังการ"โยนระเบิด"ใส่รัฐบาล
ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อรัฐบาลที่กำลังรับศึกหลายด้านทั้งในและนอกสภา
ว่ากำลังถูกกระชับพื้นที่จากองค์กรอิสระตามแผน
3 ประสานหรือไม่
การฟันธงของนายวสันต์
ไม่ต่างจากการ"ชี้โพรง"ให้ฝ่ายค้านและเครือข่ายต้านรัฐบาล
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
หากคำพูดของอดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ
จะถูกหยิบยกไปขยายผลโจมตีรัฐบาล
นายชัยวัฒน์ บรมานันท์
นักวิชาการคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ แสดงความเห็นว่า
บทบาทของนายวสันต์
เมื่อครั้งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ชัดเจนว่ามีลักษณะมองรัฐบาลในแง่ลบ
เมื่อลาออกจากตำแหน่งแต่ยังแสดงความคิดเห็นในลักษณะเดิม
ทำให้สังคมเชื่อว่าเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล
การออกมาพูดในลักษณะโยนระเบิดใส่รัฐบาล
กระทำได้ แต่ควรแน่ใจแล้วว่ารัฐบาลมีความผิดตามข้อกล่าวหา
ด้วยการนำหลักฐานเอกสารมายืนยัน
ทั้งนี้
ต้องไม่ลืมว่านายวสันต์เคยเป็นถึงประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นบุคคคลน่าเชื่อถือ
นายวสันต์พูดเมื่อไหร่ ทุกคนต้องเงี่ยหูฟังเมื่อนั้น
ซึ่งกรณีนี้
นอกจากจะ"เข้าทาง"ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ยังถือเป็นการชี้นำ
สร้างแรงกดดันให้ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำลังวินิจฉัยตีความเรื่องต่างๆ
ของรัฐบาล
ในทางกลับกัน
ถึงจะอ้างว่าเป็นการแสดงความเห็นในฐานะประชาชนคนธรรมดา
แต่นายวสันต์ต้องถูกฝ่ายหนุนรัฐบาลตั้งข้อสงสัยว่า
เมื่อครั้งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ
ได้ทำหน้าที่อย่างเป็นกลางจริงหรือไม่
คำถามประเภทนี้
เมื่อดังขึ้นมาก็จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรโดยรวมอย่างไม่อาจเลี่ยง
ในแง่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ยังถูกโต้แย้งจาก นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นายพนัส มองว่าการไม่แถลงผลงาน 1 ปี หรือแถลงล่าช้า
ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง
การไม่แถลงผลงานไม่ใช่การบริหารงานล้มเหลวที่จะนำไปสู่การล้มรัฐบาลได้
ที่ผ่านมา
หน่วยงานรัฐหรือองค์กรอิสระบางแห่งไม่ได้รายงานผลการปฏิบัติงานตามเวลาที่กำหนดไว้
บางองค์กร 3-4 ปี ไม่ได้แถลง
แต่ก็ไม่เป็นปัญหา
สำหรับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม
นายพนัสยืนยันว่าสามารถยกเว้นตัวบุคคลได้
หากใช้ตรรกะเหมือนที่นายวสันต์ตีความ
กฎหมายอาญาของไทยทั้งฉบับที่กำหนดบทลงโทษแตกต่างกันหลายระดับ ก็จะใช้ไม่ได้
เพราะขัดหลักความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญมาตรา
30"
มีการตั้งข้อสังเกตว่า
การที่นายวสันต์ออกมาแสดงความเห็นเชิงลบต่อรัฐบาล
จะด้วยบังเอิญหรือจงใจ
เหมือนเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจให้พรรคประชาธิปัตย์ในความพยายามโค่นล้มรัฐบาล
ว่าโอกาสไม่ถึงกับสิ้นหวังเสียทีเดียว
หลังไม่ประสบความสำเร็จนักในการทดลอง"เป่านกหวีด"
เดินนำม็อบใต้ทางด่วนอุรุพงษ์มายังรัฐสภา
เพื่อคัดค้านการพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม เมื่อวันที่ 7
สิงหาคม
หรือความพยายามขัดขวางที่ประชุมร่วมรัฐสภา ไม่ให้ผ่านวาระ 2
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของ ส.ว. ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
ไปได้ง่ายๆ
แต่แล้วภาพการก่อกวนตีรวนตั้งแต่ต้นจนจบตลอดช่วงเวลากว่า 10 วัน
ทำให้ภาพลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ติดลบชนิดกู่ไม่กลับ
ทั้งยังสร้างความเบื่อหน่ายให้ประชาชนแสนสาหัส
ขณะที่แกนนำพันธมิตรฯ
ก็ประกาศแยกเดินทางใครทางมัน
ไม่ขอกอดเกี่ยวร่วมหัวจมท้ายกับพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป
ม็อบสวนยางภาคใต้ก็ถูกสังคมจับตาว่ามีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องตรงไหน
อย่างไร
ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่กล้าลงไปคลุกเต็มตัวมากนัก
นอกจากเตรียมยื่นตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และกฎหมายนิรโทษกรรมต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ตามที่นายวสันต์ชี้ช่องให้บนเวทีปาฐกถา
รวมถึงการยื่นวินิจฉัยร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2557 ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ กรณีรัฐบาลหั่นงบฯ
องค์กรอิสระออกถึงร้อยละ 40 ซึ่ง ส.ส.ฝ่ายค้าน และ ส.ว.รวม 114 คน
ดำเนินการไปแล้ว
ความหวังยังฝากไว้ตรงการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าว
ในมือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ
ป.ป.ช.
เหมือนกรณีศาลปกครองเคยมีคำสั่ง"ติดเบรก"โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5
แสนล้านบาท
เหมือนกรณี กกต. มีมติให้ดำเนินคดีอาญา นายศิริโชค โสภา
กรณีโพสต์ภาพเผาบ้านเผาเมืองช่วงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
แต่กลับไม่สั่งให้จัดการเลือกตั้งใหม่
เหล่านี้
สะท้อนถึงการพลิกเหลี่ยมมุมข้อกฎหมายคลี่คลายวงล้อมให้ฝ่ายค้าน
ขณะเดียวกันก็ใช้เหลี่ยมมุมข้อกฎหมายตีโอบกระชับพื้นที่
ไล่ต้อนรัฐบาลเข้าสู่กับระเบิด
แต่หากมองในมุมกลับ
กรณี นายวสันต์
เปรียบเสมือนเป็นสัญญาณเตือนภัยให้รัฐบาลรีบคิดค้นเกมรับมือ
หาทางออกจาก"กับดัก"เหล่านี้เสียแต่เนิ่นๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น