Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประชาชนยังคงมีสิทธิและความชอบธรรมที่จะฆ่าเผด็จการทรราชย์

บรรณาธิการแถลง RED POWER ฉบับที่ 36 เดือนพฤษภาคม 2556
 
 
 
การล้อมปราบประชาชน เมษา-พฤษภา 53 มีคนตายนับร้อย มีเจ้าหน้าที่รัฐตายจำนวนหนึ่ง โดยยังสรุปไม่ได้ว่าใครฆ่าเจ้าหน้าที่ ข้อสรุปของอภิสิทธิ์-สุเทพ คือชายชุดดำเป็นคนฆ่าและชายชุดดำคือพวกเดียวกับผู้ชุมนุม ข้อกล่าวหานี้จะจริงหรือไม่ ไม่สำคัญ ที่สำคัญกว่าคือ ประชาชนมีสิทธิและความชอบธรรมที่จะฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐได้เช่นเดียวกับที่ทำกับประชาชน เหตุผลง่ายๆ พื้นๆ ก็คือ ถ้าใครแบกปืนขนอาวุธสงครามมาไล่ฆ่าประชาชนกลางเมือง ถ้าประชาชนจะป้องกันชีวิตตัวเองก็ไม่แปลกอะไร แปลไทยเป็นไทยคือ “ถ้าพวกมึงไม่ฆ่าประชาชนก่อน ใครเขาจะไปทำอะไรพวกมึง” ที่กล่าวมานี้มิได้หมายความว่าจะยอมรับว่าชายชุดดำเป็นคนฆ่าเจ้าหน้าที่และไม่ยอมรับด้วยว่าชายชุดดำคือพวกเดียวกับผู้ชุมนุม เพียงแต่จะบอกว่าในสถานการณ์ที่ประชาชนถูกไล่ฆ่า ถ้าพวกเขาจะเอาตัวรอดด้วยการก่อการจราจลหรือป้องกันตัวจนทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บล้มตายก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เข้าใจได้ และสมควรทำอย่างยิ่ง

ตลอดเจ็ดปีมานี้ประชาชนเลือกใช้สันติวิธีเป็นส่วนใหญ่เพื่อมิให้เกิดความสูญเสียแก่ทั้งสองฝ่าย ทั้งที่จริงๆแล้วประชาชนมีสิทธิและความชอบธรรมตั้งแต่ต้นที่จะใช้กำลังความรุนแรง(รวมถึงการฆ่า)เข้าจัดการกับเผด็จการทรราชย์ทั้งหลายที่ปล้นชิงอำนาจสูงสุดของประชาชน และปัจจุบัน ณ เวลานี้ ประชาชนยังคงมีสิทธิและความชอบธรรมที่จะใช้ความรุนแรงจัดการกับเผด็จการทรราชย์ที่ยึดอำนาจเมื่อปี 49 โดยสมบูรณ์ทุกประการ เพราะอำนาจส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในมือเผด็จการปี 49 ยังไม่คืนกลับมาสู่ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจตัวจริง ถ้าวันใดมีการใช้กำลังความรุนแรงเข้าจัดการประชาชนอีก ประชาชนก็สามารถใช้สิทธิตอบโต้ด้วยความรุนแรงได้ทันที หรือถ้าเผด็จการยังดื้อด้านไม่ยอมลงจากอำนาจและยังบ่อนทำลายอำนาจประชาชน ยังบ่อนทำลายสถาบันหรือบุคคลที่ประชาชนมอบหมายให้ใช้อำนาจแทนโดยไม่ยอมหยุด ถ้าประชาชนทนไม่ไหวขึ้นมาก็ย่อมสามารถใช้สิทธิตอบโต้ด้วยความรุนแรงเช่นเดียวกัน


อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมานี้มิได้ต้องการให้ประชาชนใช้ความรุนแรงทุกกรณีอยู่ร่ำไป เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคงมีคนล้มตายอีกมากมายทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น สิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดคือประชาชนต้องยืนหยัดในแนวทางสันติต่อไป เพียงแต่ต้องยืนยันว่าสิทธิและความชอบธรรมที่จะใช้กำลังความรุนแรงจัดการหรือฆ่าเผด็จการทรราชย์นั้นเป็นของประชาชนเสมอโดยสมบูรณ์ ส่วนประชาชนจะใช้หรือไม่ย่อมเป็นเรื่องของประชาชนแต่ละคนแต่ละกลุ่มต้องตัดสินใจเอาเอง ต้องแบกรับความเสี่ยงเอาเอง

สิทธิและความชอบธรรมนี้คือการยืนยันว่าไม่มีใครสามารถจะเข่นฆ่าประชาชนได้ตามอำเภอใจเหมือนที่ผ่านมาได้อีกต่อไป แม้แต่รัฐก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ และจงจำไว้ว่ารัฐไม่ใช่ผู้ที่ผูกขาดการใช้กำลังความรุนแรงฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป ประชาชนต่างหากที่ผูกขาดสิทธิและความชอบธรรมในการจัดการกับเผด็จการทราชย์ได้ทุกวิถีทางทั้งด้วยสันติวิธีและความรุนแรง

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ทหาร รัฐบาล เอกภาพ เสถียรภาพ เผชิญแรงป่วน

ที่มา:มติชนรายวัน 29 พ.ค.2556



หากการปล่อยข่าว หึ่ง ! ปลด ผบ.ทบ.เป็นเรื่องครึกโครมอย่างมาก การพบระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ ผบ.เหล่าทัพ

ก็เป็นเรื่อง "ใหญ่"

เป็น ผบ.เหล่าทัพที่เรียงตั้งแต่ ผบ.ทหารบก ผบ.ทหารเรือ ผบ.ทหารอากาศ ครบถ้วนและคึกคักอย่างยิ่ง

ที่สำคัญ ยังมีคำยืนยันจาก พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา

"บรรยากาศดี คุยกันสนุกสนาน มีการหยอกเย้ากันบ้าง ทาง ผบ.ทบ.ก็รับปากในที่ประชุมว่าจะไม่มีการทำรัฐประหารเพราะทหารทำตามหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว ท่านนายกฯได้ยินแบบนี้ก็ชื่นใจ"

แม้ ณ วันนี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา จะอยู่ในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แต่ก่อนหน้านี้คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ก่อนเกษียณจากราชการก็เป็น "ปลัดกระทรวงกลาโหม"

จึงไม่เพียงแต่การปล่อยข่าวในลักษณะ หึ่ง ! ปลด ผบ.ทบ.จะสะท้อนอุณหภูมิจากบางด้านของสังคมไทย หากแต่การพบและหารือนอกรอบระหว่างนายกรัฐมนตรีกับ ผบ.เหล่าทัพก็สำคัญ

สำคัญต่อการเมือง "ไทย"

ไม่สงสัยกันบ้างหรือต่อการเคลื่อนขบวนของ "ม็อบ" แนวร่วมคนไทยหัวใจรักชาติ รักษาแผ่นดินในนามกลุ่ม "ธรรมาธิปไตย"

ม็อบนี้ย้ายจากลำตะคองมายัง กทม.

คล้ายกับเป้าหมายจะอยู่ที่สนามไชยใกล้กับวังสราญรมย์ แต่พอถึงวันที่ 7 พฤษภาคม ก็เข้ายึดท้องสนามหลวง

ไม่สนใจต่อคำสั่งของ กทม.

ไม่สนใจต่องานพระราชพิธีแรกนาขวัญจรดพระนังคัล ไม่สนใจต่อการจัดนิทรรศการเนื่องในวันวิสาขบูชา

กำลังหลักของม็อบสวมหมวก "ดาวแดง"

เมื่อแรกที่เคลื่อนจากหาดวังมัจฉา ลำตะคอง ก็เดินทางไปโบกธงบริเวณทำเนียบองคมนตรีแล้วจึงเข้าไปยังสนามไชย

แล้วปักหลัก "ท้องสนามหลวง"

จากวันที่ 7 พฤษภาคม เรื่อยมาจนถึงปลายเดือนและมีแนวโน้มว่าจะต่อยาวไปถึงเดือนมิถุนายน โดยที่ กทม.ไม่สามารถดำเนินการได้ตามคำสั่งอันเคยขึงขังในกาลอดีต ถามว่ากำลังหลักที่หนุนเสริมม็อบเหล่านี้มาอย่างไร

กำลังใจและกำลัง "เงิน"

การดำรงอยู่ของม็อบท้องสนามหลวงคล้ายกับจะรอคอยผลการวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในเดือนตุลาคม

เป็นเช่นนั้นจริงหรือ

นี่เหมือนกับเป็นการย้อนกลับไปยังการชุมนุมในลักษณะเดียวกันในห้วงเดือนตุลาคมของปี 2548

เพียงแต่ข้อเรียกร้องตอนนั้นคือ "ถวายคืนพระราชอำนาจ"

หลังจากชุมนุมแล้วจุดไม่ติดแกนนำการชุมนุมส่วนหนึ่งเดินทางไปสนทนาธรรมกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์

นั่นเป็นสถานการณ์หลังการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์

การหวนคืนท้องสนามหลวงอีกครั้งภายใต้นามแนวร่วมคนไทยหัวใจรักชาติ รักษาแผ่นดินประสานเข้ากับกลุ่มธรรมาธิปไตย สวมหมวก "ดาวแดง" จึงดำเนินไปในลักษณะของการรอคอยสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง

สถานการณ์การปล่อยข่าว หึ่ง ! ปลด ผบ.ทบ.

สถานการณ์การขับเคลื่อนต่อต้านทุกเรื่อง ขวางทุกเม็ด ทุกประเด็น มิให้รัฐบาลสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ตามปกติ

หวังปาฏิหาริย์เหมือนปี 2549 และปี 2551

การนัดหารือนอกรอบระหว่างนายกรัฐมนตรีกับ ผบ.เหล่าทัพจึงเป็นความจำเป็นและเหมาะสม

1 เพื่อสยบข่าวลือในลักษณะ "เสี้ยม" 1 เพื่อร่วมกันติดตามกับการสร้างสถานการณ์ในแบบขว้างระเบิด โยนลูกเปตองเข้าใส่ "ไทยรัฐ"

เสริมแกน "ความมั่นคง"

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แฉ! จอมวางแผน ใครเผา?

ข้อมูลจาก ข่าวสดออนไลน์ เรื่อง จอมวางแผน โดย วงค์ ตาวัน
 
 
 
 
การ ตั้งเงินรางวัล 10 ล้านหามือเผาห้างตัวจริง น่าจะมีเป้าหมายสำคัญเพื่อพิสูจน์ว่า การเผาเพียงเพื่อจะป้ายสีฝ่ายผู้ชุมนุม ทำให้มีเหตุผลในการใช้กระสุนจริงปราบ และยังเอามากลบเกลื่อนการฆ่าคนอีกด้วย
 
กระบวน การสร้างสถานการณ์เพื่อสร้างความ ชอบธรรมให้กับการปราบปรามการชุมนุมประท้วงทางการเมือง โดยฝีมือของฝ่ายผู้กุมอำนาจ ซึ่งกอดไว้ไม่ยอมปล่อยนั้น
 
ใช้เสมอในหมู่เผด็จการทั่วโลก
 
ในไทยเรา เหตุการณ์นองเลือดปี 2553 นั้นทำแน่นอน
 
ที่เห็นชัดเจนคือ การปล่อยผังล้มเจ้า ออกมา ป้ายสีเป็นสูตรเดียวกับที่ใช้สมัยเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
 
ผังล้มเจ้านั่นคือฝีมือศอฉ.แน่นอน ทำให้ มีคำถามต่อเหตุการณ์เผาห้างว่าฝีมือใคร กันแน่!?
 
ที่สำคัญสอดรับกับการสร้างวาทกรรมเผาบ้านเผาเมือง ที่โหมเพื่อกลบเกลื่อนการฆ่า 99 ศพ
 
ทั้งที่ฆ่าก่อนจะมีการเผา กลับเอาเรื่องเผามาขยายเพื่อกลบการฆ่าได้
 
ในจำนวนผู้นำ ศอฉ.นอกจาก 2 คู่หูที่โดนคดีในขณะนี้แล้ว
 
ยังมีนักการเมืองจอมวางแผนอีกราย ที่ครอบงำผู้นำรัฐบาลขณะนั้นได้อย่างเบ็ดเสร็จ
 
เพราะการได้มาซึ่งอำนาจตอนนั้น นอกจากหัวหน้าคณะปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ซึ่งพยายามเฉไฉว่า เป็นแค่การแทรกแซงการเมืองแล้ว
 
นักการเมืองจอมวางแผนรายนี้ เป็นอีกคนที่ต้อง "ไหว้ขอบคุณพี่เขาเสียสิ"
 
ดังนั้นจึงมีอิทธิผลอยู่เหนือ 2 ผู้มีอำนาจ
 
ในหลายเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายฉกรรจ์ออกมาปะทะกับเสื้อแดงช่วงการชุมนุมปี53
 
มีผู้พบเห็นนักการเมืองรายนี้ ป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณนั้นเสมอๆ
 
ไม่แปลกที่ชายชุดน้ำเงิน จากเหตุการณ์พัทยา
 
 
อาจจะแปรเป็นชายชุดดำในเหตุการณ์ราชดำเนินและราชประสงค์!?
 
แม้แต่มือเผาห้าง ตามกันให้ดี อาจมีร่องรอยมาจากที่แถวอีสานใต้
 
ความคิดพิสดารแบบนี้ มีได้ไม่กี่คน
 
เผาเพื่อให้คำประกาศของแกนนำเสื้อแดง เป็นความผิดสำเร็จ แล้วยังเอา 99 ศพที่ฆ่ามาตลอดตั้งแต่ 10 เมษายนโยนใส่กองเพลิงนั้น
 
กลบเกลื่อนทำลายไปพร้อมๆ กัน!

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ฟ้าผ่า สาเหตุไฟดับทั้งภาคใต้จริงหรือ ?

ที่มา: จับตานิวเคลียร์ http://nuclearwatch.blogspot.com
จับตานิวเคลียร์ชี้ ไฟดับภาคใต้อาจไม่ใช่เพียงแค่เหตุสุดวิสัยหรือภัยธรรมชาติ



เหตุการณ์ไฟดับทั้งภาคใต้ 14 จังหวัดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถูกอธิบายว่าสาเหตุมาจากฟ้าผ่า สายส่งไฟฟ้าแรงสูงของ กฟผ. แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปะติดปะต่อข้อมูลที่สื่อมวลชนได้นำเสนอในช่วง 3-4 วันมานี้ ดูเหมือนว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟดับ “ทั้งภาคใต้” ครั้งนี้ จะโทษว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจากภัยธรรมชาติคงจะไม่ได้เสียทีเดียว



ฟ้าผ่า ไฟไม่ได้ดับในทันที

ตามข้อเท็จจริงที่ กฟผ.ชี้แจง เหตุการณ์ฟ้าผ่าสายส่งเกิดขึ้นในเวลา 17.26 น. แต่ไฟดับเกิดขึ้นในเวลา 18.52 น. คือหลังจากฟ้าผ่าแล้ว 1 ชั่วโมง 26 นาที คำถามก็คือ ช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนที่ไฟจะดับ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินนี้อย่างไร และโอกาสที่ภาคใต้จะไม่เกิด blackout หรือไฟดับทั้งภาคนั้น เป็นไปได้หรือไม่ คำตอบคือ เป็นไปได้


ทำไมโรงไฟฟ้าในภาคใต้ถึงดับหมด

ประชาชนในภาคใต้ที่อยู่ใกล้โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เช่นโรงไฟฟ้าจะนะ (สงขลา) หรือโรงไฟฟ้าขนอม (นครศรีธรรมราช) มีข้อสงสัยว่าเมื่อเกิดเหตุขัดข้องที่สายส่งไฟฟ้าจากภาคกลางแล้วทำไมโรงไฟฟ้าเหล่านี้จึงจ่ายไฟไม่ได้ ทั้งๆ ที่โรงไฟฟ้าไม่ได้เสียหาย เรื่องนี้เป็นธรรมชาติของระบบไฟฟ้า กล่าวคือในการผลิตไฟฟ้านั้น “กำลังการผลิต” จะต้องสมดุลกับ “กำลังไฟฟ้าที่ใช้งาน” หรือโหลดในขณะนั้น หากปริมาณโหลดสูงกว่ากำลังผลิต ระบบผลิตไฟฟ้าทั้งหมดก็จะล่มได้เพราะโรงไฟฟ้าทั้งหลายเชื่อมโยงกันเป็นระบบเดียว

กรณีที่เกิดขึ้น กฟผ.ระบุว่า โรงไฟฟ้าในภาคใต้เดินเครื่องอยู่ที่กำลังผลิต 1,692 เมกะวัตต์ และรับจากภาคกลางอีก 430 เมกะวัตต์ ในขณะที่มีโหลด 2,242 เมกะวัตต์ เมื่อเกิดเหตุฟ้าผ่าสายส่ง กำลังไฟฟ้าจากภาคกลางไม่ได้หายไปในทันใด เพราะสายส่งมีทั้งสิ้น 4 เส้น แม้จะอยู่ระหว่างซ่อมบำรุง 1 เส้น และถูกฟ้าผ่าไปอีก 1 เส้น (ทั้งสองเส้นนี้มีขนาด 500 kV) ก็ยังเหลืออีก 2 เส้น (แต่เป็นสายขนาด 230 kV) ดังนั้นไฟจึงยังไม่ดับ

ในสถานการณ์ขณะนั้น ปัจจัยที่คาดได้ว่าจะเป็นปัญหาก็คือ พีคโหลดที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงประมาณ 1-2 ทุ่ม เนื่องจากผู้คนกำลังเลิกงานกลับบ้าน เปิดไฟ ดูโทรทัศน์ ฯลฯ ซึ่งทางการไฟฟ้าทั้งหลายต่างมีข้อมูล load profile อยู่ในมืออยู่แล้ว จึงน่าจะอยู่ในวิสัยที่จะประเมินได้ว่า สายส่ง 230 kV ที่เหลืออยู่มีขนาดไม่เพียงพอที่จะรับโหลดที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ นั่นหมายถึงวิกฤตกำลังรออยู่ในอีก 1-2 ชั่วโมงข้างหน้า

ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าดูจากข่าววิกฤตไฟฟ้าเมษายนที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า การไฟฟ้าทั้งสามต่างมีแผนหรือแนวปฏิบัติอยู่แล้ว นั่นก็คือ การตัดโหลดบางส่วนออกเพื่อรักษาสมดุลของแรงดันไฟฟ้า ซึ่งหมายถึงการตัดไฟในบางจุด (อย่างมากไม่เกิน 430 เมกะวัตต์ที่ต้องรับจากภาคกลาง) โดยในเรื่องนี้ กระทรวงพลังงานได้เปิดเผยกับเดลินิวส์เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า หากมีการตัดไฟบางจุด ก็จะมีพื้นที่ที่ไฟฟ้าดับเพียงประมาณ 25% ไม่ใช่ดับทั้งภาคใต้

หากใช้แนวทางดังกล่าว ความเสียหายก็จะไม่กินบริเวณกว้าง นอกจากนี้ การแก้ไขสถานการณ์ก็จะทำได้รวดเร็วกว่า ไม่ต้องใช้เวลามากถึง 3-4 ชั่วโมงดังที่เกิดขึ้น เพราะระบบผลิตไฟฟ้าภาคใต้ไม่ได้ล่มทั้งระบบ

เมื่อพิจารณาจากลำดับเวลาแล้ว กฟผ.มีเวลาชั่วโมงเศษซึ่งมากพอควรที่จะแก้ไขสถานการณ์ไม่ให้ไปสู่ความวิกฤต แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้โหลดในภาคใต้เพิ่มสูงขึ้นจนเกินกำลังสายส่ง 230 kV ทำให้กำลังผลิตจากภาคกลางหลุดออกไป และฉุดให้โรงไฟฟ้าทั้งภาคใต้ล่มตามไปด้วย


“โรงไฟฟ้าภาคใต้ไม่พอ” ไม่ใช่ประเด็น

ดังนั้น ที่มีการอธิบายว่ากำลังผลิตไฟฟ้าของภาคใต้ไม่เพียงพอ จำเป็นที่จะต้องมีโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มจึงไม่ใช่ประเด็นในสถานการณ์นี้ เพราะปัญหาใหญ่อยู่ที่ความผิดพลาดในการบริหารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างหาก ทั้งนี้ ที่ควรกล่าวไว้ด้วยในเรื่องกำลังผลิตก็คือ ในปีหน้า (2557) โรงไฟฟ้าจะนะโรงที่ 2 ขนาด 800 เมกะวัตต์ก็จะก่อสร้างเสร็จ และในปี 2559 โรงไฟฟ้าขนอมขนาด 700 เมกะวัตต์ที่หมดอายุก็จะถูกทดแทนด้วยโรงใหม่ขนาด 900 เมกะวัตต์ เท่ากับว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า กำลังผลิตในภาคใต้จะมีเพิ่มขึ้นอีก 1,000 เมกะวัตต์เป็นอย่างน้อย แม้จะไม่มีโรงไฟฟ้าถ่านหินเข้ามาเพิ่มก็ตาม

ขณะนี้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรคกูเลเตอร์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์ไฟดับเพื่อสอบสวนว่า กฟผ. ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือไม่ และจะต้องมีการชดเชยผู้เสียหายหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม กฟผ.ไม่ใช่หน่วยงานเดียวที่จะต้องรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะ กกพ.เองก็อาจอยู่ในข่ายมีส่วนเป็นต้นเหตุให้เกิดไฟดับครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน เมื่อทางด้าน กฟผ.และกระทรวงพลังงานได้ออกมาระบุว่า อำนาจในการสั่งดับไฟของศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าอยู่ที่ กกพ. ทำให้ กฟผ.ไม่กล้าดำเนินการเองเพราะจะเป็นการผิดกฎหมาย


จะสรุปบทเรียนอย่างไร

เหตุการณ์ไฟดับครั้งนี้ การสรุปบทเรียนให้ได้อย่างแท้จริงน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าการไล่เบี้ยหาผู้บกพร่องมารับผิดชอบจ่ายค่าชดเชย ซึ่งในแง่นี้ เหตุการณ์ไฟดับของเรามีบางอย่างที่สามารถเทียบเคียงได้กับอุบัติเหตุนิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ที่คนทั่วโลกต่างเข้าใจว่ามีสาเหตุมาจากภัยธรรมชาติทั้งแผ่นดินไหวและสึนามิ แต่การสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการอิสระแห่งชาติของญี่ปุ่น กลับมีข้อสรุปออกมาว่า

“…อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ แม้จะมีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติ หากแต่เป็นภัยพิบัติจากการกระทำของมนุษย์ (manmade disaster) ซึ่งสามารถและควรที่จะคาดการณ์และเตรียมการป้องกันได้ รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นก็สามารถบรรเทาให้น้อยลงได้ด้วยการตอบสนองของมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้…”

การสรุปบทเรียนของญี่ปุ่นได้ให้ข้อคิดกับเรา 3 ประการคือ

1. การคาดการณ์และเตรียมการป้องกันเหตุจากภัยธรรมชาตินั้น มนุษย์สามารถทำได้และควรกระทำ (ในกรณีของเรา การวางแผนความมั่นคงไฟฟ้า นอกจากจะคิดเรื่องกำลังผลิตที่เพียงพอแล้ว ในด้านความมั่นคงของสายส่ง ได้มีการวางแผนอย่างรอบคอบแล้วหรือไม่)

2. เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว ผลกระทบสามารถบรรเทาให้น้อยลงได้ หากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อเหตุการณ์มากกว่านี้ (แผนฉุกเฉินและอำนาจในการสั่งตัดไฟเฉพาะจุด ทำไมถึงเกิดปัญหา)

3. การสอบสวนที่ทำให้ได้ข้อสรุปเช่นนี้ มาจากการแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระโดยรัฐสภาญี่ปุ่น เพื่อให้มีอำนาจเป็นอิสระจากผู้มีส่วนรับผิดชอบในเหตุการณ์ คือรัฐบาลญี่ปุ่น หน่วยงานกำกับความปลอดภัยนิวเคลียร์ และเจ้าของโรงไฟฟ้า (แต่กรณีของเรา ผู้มีส่วนรับผิดชอบเหตุการณ์เป็นคนสอบสวนเอง)

มาถึงตรงนี้ มีคำถามว่า คณะกรรมการสอบสวนเหตุไฟดับภาคใต้ครั้งนี้ ควรมีที่มาอย่างไรดี ที่จะทำให้เราสามารถเรียนรู้เพื่อปรับปรุงข้อผิดพลาดครั้งนี้ได้อย่างแท้จริง


 

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ความเป็นทาสที่ยังคงอยู่

การเมืองฉบับชาวบ้าน RED POWER ฉบับที่ 36 เดือนพฤษภาคม 2556
ดอม   ด่านตระกูล

  


          ในยุคบรรพกาลคำว่า “ทาส” และคำว่า “ชนชั้น” ยังไม่ปรากฏเป็นที่รู้จัก ต่อเมื่อการเสื่อมสลายของชุมชนบุพกาลพร้อมกับการก่อเกิดขึ้นของระบบกรรมสิทธิ์ปัจเจกชน จากการผลิตเพียงเพื่อการดำรงชีพกลับขยายตัวกลายเป็นการผลิตเพื่อการค้าหรือเศรษฐกิจ ทุกๆการงานไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ การกสิกรรม การหัตถกรรม ฯลฯ ล้วนต้องการการผลิตเพิ่ม จึงจำเป็นต้องเสาะแสวงหาแรงงาน ซึ่งเมื่อนั้นเองจึงได้เกิดการแบ่งชนชั้นกันขึ้นมาระหว่างทาส กับนายทาส  ผู้ที่ด้อยกว่าทั้งในด้านอาวุธ ยุทโธปกรณ์  ทั้งทรัพย์สินจึงถูกล่ามตรวน ตีตราด้วยคำว่า “ทาส” ทั้งๆที่เป็นมนุษย์มี 1 สมอง 2 มือเหมือนกัน แต่กลับถูกกระทำเสมือนว่าเป็นดั่งสัตว์เลี้ยงไว้ใช้งาน ทั้งถูกเฆี่ยนตี ทารุณกรรม เพื่อสนองความต้องการของนายทาสในด้านการผลิตเพื่อให้ได้ปริมาณมากที่สุด
         
เมื่อ “ทาส” ถูกข่มเหงหนักเข้า ใครเล่าจะไปทานทนไหวด้วยแรงผลักแห่งความทุกข์ยากตรากตรำ ความเจ็บช้ำน้ำใจสารพัด ทาสจึงจำต้องลุกขึ้นสู้ การต่อสู้ทางชนชั้นจึงเริ่มอุบัติขึ้น จนเมื่อถึงยุคเครื่องจักร อุตสาหกรรมเข้ามาแทนที่การผลิตด้วยมือ การเปิดโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ และขยายการผลิตไปสู่เครื่องยังชีพชนิดต่างๆ การแข่งขันทางธุรกิจทำให้ต้องการแรงงานเพิ่มยิ่งขึ้นเพื่อนำมาเป็นคนงานในโรงงาน โดยแลกเปลี่ยนกับค่าจ้างแทนการเลี้ยงทาสไว้ในบ้าน  ประกอบกับมีการลุกฮือขึ้นสู้ของทาสหลายครั้ง ระบบนายทาสจึงถูกสั่นสะเทือนและพังทลายลงพร้อมๆกับระบบนายทุนได้เข้ามาแทนที่ หลังการปลดปล่อยทาสส่วนใหญ่ได้กลายมาเป็นคนงานในโรงงาน ถึงแม้การเรียกขานจะเปลี่ยนไป รายละเอียดจะไม่เหมือนเดิม นายทุนไม่อาจเฆี่ยนตีทารุณกรรมคนงานได้เหมือนเช่นนายทาสกระทำกับทาส แต่เนื้อหาการกดขี่ระหว่างชนชั้นนั้นไม่แตกต่างไม่ว่าจะเป็นยุคนายทุนกับคนงาน หรือยุคนายทาสกับทาส
 
          ในเมืองไทยเราการเป็นทาสเท่ากับตกเป็นทรัพย์สินของผู้เป็นนาย สามารถยกให้กันเป็นมรดกส่งต่อไปยังทายาทได้ ระบบข้าทาสมีมานานทั้งมาจากการสงครามกวาดต้อนเชลยศึกมาเป็นทาส หรือทาสที่เกิดจากความยากจนจึงนำภรรยา นำลูกมาเป็นทาสเพื่อแลกเงิน ซึ่งถ้ามีเงินครบเมื่อไรก็สามารถมาไถ่ตัวคืนได้  ส่วนทาสในเรือนเบี้ยคือลูกที่เกิดจากแม่ที่เป็นทาสอยู่ในเรือนนั้น เมื่อมีลูกต้องถือว่าเป็นสมบัติของผู้เป็นนายไปโดยปริยาย และไม่สามารถเปลี่ยนนายหรือไถ่ถอนตัวเองได้ นอกจากว่านายทาสจะยกให้คนอื่นไป  เมืองไทยในอดีต “ทาส” เป็นกำลังสำคัญในการเพาะปลูก และกำลังในการต่อสู้ยามศึกสงคราม ฉะนั้นทั้งกษัตริย์ และขุนนางจึงต้องมีข้าทาสบริวารไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในบางครั้งการขยายขอบเขตของเมืองทำได้โดยการเริ่มสร้างวัดขึ้นก่อนเพื่อให้เป็นศุนย์รวมใจของพลเมือง จากนั้นกษัตริย์จะให้ขุนนางจัดส่งข้าทาสบริวารที่เกณฑ์ได้ไปหักร้างถางพงเป็นกำลังในการสร้างเมือง และเพาะปลูก ซึ่งเมื่อเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตก็ต้องส่งให้พระมหากษัตริย์
 
          ส่วน “ไพร่” แม้ไม่ใช่ทาส แต่ก็ไม่สามารถเลือกใช้ชีวิตตามความพอใจอย่างอิสระได้ เพราะเมื่อถึงวัยประมาณ 18-20 ปี ต้องลงทะเบียนขึ้นสังกัดมูลนาย ด้วยการสักเป็นสัญลักษณ์ตามร่างกาย เรียกว่า “การสักเลก” ไพร่ชายจะถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก ส่วนไพร่หญิงให้ทำงานเบากว่า  ไพร่แต่ละคนจะต้องทำงานตามสังกัดมูลนายไปจนอายุ 60 ปี หรือมีลูกชายเข้าเป็นไพร่แล้ว 3 คน  วิธีการควบคุมไพร่อย่างเป็นระบบปรากฏชัดในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ โดยแบ่งไพร่เป็น 2 ประเภท คือไพร่หลวง กับไพร่สม ในหนังสือ Discovering Autthaya,2003 อธิบายไว้ดังนี้

           ไพร่หลวง คือ ไพร่ที่เป็นสมบัติของพระมหากษัตริย์ แต่ทรงมอบอำนาจอำนาจการควบคุมผ่านการบริหารราชการในแต่ละกรม เช่น กรมกลาโหม กรมมหาดไทย กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง กรมนา กรมสุรัสวดื กรมธรรมการ กรมฝีพาย กรมภูษามาลา เป็นต้น แต่ละกรมจะควบคุมไพร่เป็นลำดับชั้นตามการบังคับบัญชาจากเจ้ากรม ปลัดกรม สมุห์บัญชี  นายกอง นายหมวดลงมาจนถึงเจ้าหมู่ บุคคลเหล่านี้ต้องจัดทำบัญชีรายชื่อที่อยู่ของไพร่หลวง เรียกว่า “บัญชีหางว่าว” เป็น 3 ชุด เก็บไว้ที่กรมของตน ส่งให้กรมต้นสังกัด และส่งไปยังกรมสุรัสวดี ซึ่งเป็นกรมหน่วยกลางขึ้นตรงกับพระมหากษัตริย์

           ไพร่สม คือ ไพร่ส่วนตัวของมูลนาย พระมหากษัตริย์พระราชทานไพร่สมให้ตามศักดินาของมูลนายแต่ละคน เพื่อเป็นการจ่ายเบี้ยหวัดและปูนบำเหน็จ และเพื่อถ่วงดุลอำนาจระหว่างเจ้านาย การควบคุมไพร่สมจะทำผ่านกรมเจ้า ซึ่งเป็นกรมที่ทรงตั้งให้แก่เจ้านายเป็นกรมชั่วคราว เพียงเพื่อให้ควบคุมกำลังคนไว้ เรียกว่า เจ้านายทรงกลม ซึ่งเป็นการให้ตำแหน่งเกียรติยศและความมั่งคั่ง  ไพร่สม มีหน้าที่รับใช้มูลนายของตนตามคำสั่งนาย ไม่ต้องมาทำงานให้หลวง และถือเป็นสมบัติของมูลนาย เช่นเดียวกับทาสที่ให้เป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานได้


จะเห็นได้ว่า ไพร่กับทาสก็ล้วนถูกบังคับไม่แตกต่างอะไรกันมากนัก ทั้ง ไพร่หลวง ที่ต้องเข้าเวรทำงานรับใช้ทางการก็ไม่ได้ค่าตอบแทนใดๆ ทั้งยังต้องเสียค่าเดินทางมาเอง ถือว่ารัฐขูดรีดกินแรงงานของประชากรไปเปล่าๆโดยไม่มีอะไรตอบแทนทั้งสิ้น



          ระบบไพร่ ทาส เป็นระบบที่รัฐไทยในอดีตใช้เพื่อการควบคุมกำลังคน เกณฑ์แรงงาน และถ่วงดุลอำนาจ เป็นฐานกำลังทางการผลิตและทางการทหาร การจัดระบบลงทะเบียนไพร่ ทาสก็เพื่อควบคุมกำลังคนไว้ให้มีประสิทธิภาพ และกระจายผู้คนมิให้กระจุกอยู่ในที่แห่งเดียวกันมากไป เพราะอาจนำอันตรายมาสู่ชนชั้นปกครองได้ ต่อเมื่อการเปลี่ยนแปลงในประเทศต่างๆ การปลดปล่อยทาสทั้งในยุโรปและอเมริกา มาจนถึงการปฏิวัติในรัสเซียพ.ศ.2448 หรือค.ศ.1905 ที่ประเทศรัสเซียตกอยู่ในสภาพแร้นแค้น ขาดแคลน และประชาชนไม่พอใจสภาพที่ถูกกดขี่ ฝ่ายกรรมกรต้องทำงานหนักโดยได้รับค่าตอบแทนน้อยมาก  ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดการเดินขบวนภายใต้การนำของหลวงพ่อกาปอง ที่เชื่อมั่นว่าทหารจะไม่ยิงพระ เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมือง เรียกร้องรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายลดชั่วโมงการทำงาน และแก้ไขความทุกข์ยากของราษฎร แต่ทหารกลับระดมยิงประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "วันอาทิตย์นองเลือด" (Bloody Sunday) ประชาชนจึงเริ่มเป็นปฏิปักษ์ต่อระบบซาร์ และทำให้การจลาจลแผ่ขยายขึ้น เป็นปีเดียวกันกับที่ในประเทศไทยก็มีการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงระบบไพร่ ทาส โดยในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการตราพระราชบัญญัติยกเลิกการมีทาส มีระบบการเกณฑ์ทหารแทนการลงทะเบียน ไพร่หลวง ไพร่สม ระบบไพร่และทาสจึงถูกยกเลิกไปโดยปริยาย


          ปัจจุบันในประเทศไทย (พ.ศ.2556) ถึงแม้โดยการรับรู้ทั่วไประบบไพร่ ทาสหมดสิ้นไปแล้วก็จริง แต่ก็เช่นเดียวกันกับในประเทศหลายๆประเทศทั่วโลกที่ยังมีการต่อสู้ทางชนชั้นกันอยู่เช่นเดียวกันกับ ระบบนายทาสและทาสในอดีต เพราะทั้งสองชนชั้นนี้มีผลประโยชน์ที่แตกต่างกันชัดเจนจึงไม่สามารถปรองดองกันได้ ฝ่ายหนึ่งต้องการกดขี่ อีกฝ่ายที่ถูกกดขี่ก็ย่อมต้องต่อสู้เป็นธรรมดา แต่การกดขี่นั้นอาจไม่ใช่การทารุณ ข่มเหง เฆี่ยนตีกันอย่างโจ่งแจ้งเช่นในยุคทาส แต่มาในรูปแบบที่แนบเนียนยิ่งขึ้น เช่นในรูปของกฎหมาย ซึ่งผู้ออกกฎหมายก็คือชนชั้นปกครองที่ร่วมมือกับนายทุน อำนาจรัฐบวกกับอำนาจเงินออกกฎหมายเพื่อควบคุมพลเมืองให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ชนชั้นปกครองอ้างว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ”  และออกกฎหมายเพื่อเอื้อต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชนชั้นนายทุน ส่วนชนชั้นกรรมกร แรงงานนั้นต้องต่อสู้แทบเลือดตากระเด็นกว่าจะได้กฎหมายคุ้มครองสวัสดิภาพแรงงาน หรือแค่การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้เพียงพอแก่การยังชีพ ทั้งยังต้องถูกบังคับให้คิดในสิ่งเหมือนๆกัน ใครคิดต่าง ถึงแม้ยังไม่ได้มีการลงมือก่อการร้าย ใช้อาวุธกระทำการใดๆ แต่แค่นั้นรัฐก็ถือว่า “เป็นภัย” ถึงยกเลิกระบบไพร่-ทาสไปตั้งแต่พ.ศ. 2448 แล้ว แต่ประชาชนคนไทยยังต้องถูกบังคับขืนใจเหมือนเช่นยุคทาส


          สิ่งหนึ่งที่นักต่อสู้ทุกคนต้องเรียนรู้คือ รูปแบบการต่อสู้ทางชนชั้นขั้นมูลฐานที่จะทำให้ได้มาซึ่งสิทธิ เสรีภาพที่เท่าเทียมของฝ่ายที่ถูกกดขี่คือ ต้องต่อสู้ให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองเพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของประชาชนขึ้นก่อน จึงจะสามารถปลดปล่อยประชาชนให้พ้นจากการถูกกดขี่ และยกเลิกกฎหมายทาสได้  ตราบใดที่อำนาจทางการเมืองยังไม่เป็นของประชาชนฝ่ายที่ถูกกดขี่อย่างสมบูรณ์แบบ ตราบนั้นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรย่อมทำได้ยากเย็น การต่อสู้อาจยืดเยื้อเยื้อยาวนาน หรืออาจรวดเร็วฉับพลันเราไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตการต่อสู้จะเป็นในรูปแบบใด แต่เชื่อแน่ว่าระบบไพร่-ทาสที่ยังคงแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ในสังคมไทย ต้องหมดไปสักวันด้วยจิตใจและพลังการต่อสู้ของมวลชนที่รวมเป็นหนึ่ง และนับวันจะยิ่งก้าวหน้าและแข็งแกร่ง

 

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตามไปดู ...รถไฟความเร็วสูงของอังกฤษ

โดย สมเกียรติ พงษ์กันทา วิศวกรอิสระ มติชน 24 พ.ค. 2556


มีข่าวหนังสือพิมพ์ (Yorkshire Post, May 9, 2013) เมื่อต้นเดือนนี้ว่า รัฐบาลอังกฤษตกลงให้สร้างรถไฟความเร็วสูงสายที่สอง (HS2) จากกรุงลอนดอน ไปทางทิศเหนือสู่แคว้นยอร์กไชร์ และให้เดินหน้าเสนอกฎหมายสำหรับรถไฟสายนี้สองฉบับ ฉบับแรกเรียกว่ากฎหมายไฮบริด (Hybrid Bill) สำหรับการก่อสร้างระยะแรก ตามด้วยฉบับที่สองเรียกว่ากฎหมายเพบวิ่ง (Paving Bill) สำหรับดำเนินงานต่อเนื่องในระยะที่สอง

กฎหมายฉบับแรก ให้อำนาจรัฐบาลลงมือในงานระยะแรกของโครงการจากลอนดอนถึงเวสต์มิดแลนด์ (West Midlands) ทางไปเบอร์มิงแฮม ระยะทาง 190 กิโลเมตร รวมถึงการจัดตั้งองค์กร บริหารปฏิบัติการเดินรถ ฉบับที่สอง ให้อำนาจปฏิบัติการสำหรับส่วนที่เหลือของโครงการทั้งหมด

คาดกันว่ากฎหมายฉบับแรกนี้คงจะต้องใช้เวลาพิจารณาในสภา (Parliament) นานพอดู คล้ายกันกับกฎหมายฉบับก่อนของรถไฟความเร็วสูงสายแรก (HS1) ที่วิ่งให้บริการจากสถานีเซ็นต์แพนคราส (St.Pancras) ไปฝรั่งเศสผ่านช่องแคบอังกฤษ (Channel Tunnel Link) ที่อนุมัติใน ค.ศ.1996 ใช้เวลาพิจารณาในสภานานกว่าสองปี เพราะมีการประท้วง คัดค้าน จากผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยอ้างว่ามีผลทางลบต่อสิ่งแวดล้อม ผลจากเสียง การสั่นสะเทือน ทำให้เศรษฐกิจเสีย ชุมชนเสื่อมโทรม (นอกจากว่าจะมีสถานีที่นั่น) และประชาชนบังคับให้รัฐบาลระบุแผนนโยบายการดำเนินงาน ปฏิบัติการ การเดินรถ ปริมาณผู้โดยสาร รายได้ รายจ่าย ผลดี ผลเสีย ผลกระทบ ข้อมูลทางเทคนิค และวิชาการ อย่างละเอียด

กฎหมายทั้งสองฉบับจะให้อำนาจรัฐบาลในการกู้ยืม หาเงิน เบิกจ่าย ค่าก่อสร้าง จัดซื้อ จัดหา จัดจ้าง รวมทั้งจ่ายค่าเวนคืนที่ดิน แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อโครงการทั้งสองระยะ


รถไฟความเร็วสูงสายที่สองนี้ จะเชื่อมภาคกลาง เริ่มจากสถานียูสตั้น (Euston) ที่กรุงลอนดอน กับภูมิภาคด้านเหนือของอังกฤษ จะแยกออกเป็นสองสายที่เมืองเบอร์มิงแฮม (Birmingham) ไปแมนเชสเตอร์ (Manchester) ทางตะวันตก และไปเมืองลีดส์ (Leeds) ทางตะวันออก

แอนดรูว์ แมกนอตัน วิศวกรใหญ่ (Prof. Andrew mcNaughton, Tech. Director) ของโครงการ (HS2 Ltd) ให้สัมภาษณ์ว่า โครงการนี้จะคุ้มทุน คุ้มค่า ได้ผล (capacity) สูงมาก ใช้งบ 33.1 พันล้านปอนด์ มีระยะทาง 528 กิโลเมตร (route-km) แบ่งงานก่อสร้างออกเป็นสองระยะ (2 phases) กำหนดแล้วเสร็จใน ค.ศ.2033 เมื่อแล้วเสร็จ จะใช้รถ 18 ขบวนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สำหรับโครงการนี้ แอนดรูว์ วิศวกรใหญ่อธิบายว่า ได้แบบอย่างมาจากรถไฟความเร็วสูงชินกันเซน (Shinkansen) ของญี่ปุ่น ที่ให้บริการในเส้นทางที่ต่อเนื่องเป็นแนวเส้นตรง (linear network) ซึ่งต่างจากยุโรป เช่น ฝรั่งเศส หรือสเปน ที่เป็นการเริ่มจากจุดศูนย์กลางกระจายออกไปรอบข้าง สำหรับแนวดิ่งของอังกฤษนั้น ในอนาคตอาจจะขยายออกไปถึงกลาสโกว์ (Glasgow) และ เอดินเบิร์ก (Edinburgh) จากการสนับสนุนของรัฐบาลสกอตแลนด์ (Scottish Government)

ความเหมือนกันที่เป็นระเบียบของระบบ (commonality and uniformity) ของญี่ปุ่นทำให้ผู้รับบริการจำได้ ทำให้ สะดวก รวดเร็ว ได้รับประโยชน์สูงสุด เช่น ที่นั่งหมายเลข 62 ในตู้โดยสายบีจะต้องมีตำแหน่งอยู่ที่แห่งเดียวกันในทุกขบวน ทุกสถานี ไม่ว่าจะเป็นรถยี่ห้อใด ชนิดไหน และรถไฟทุกขบวนจะต้องมีคุณลักษณะการทำงาน (performance) เหมือนกัน เมื่อถูกถามว่าจะซื้อรถยี่ห้อไหน ของบริษัทใด วิศวกรใหญ่ตอบว่า เราจะไม่ซื้อแต่เพียงรถ แต่เราจะซื้อทั้งระบบ ซึ่งมีบางชิ้นส่วนเคลื่อนที่และบางส่วนอยู่กับที่

แอนดรูว์อธิบายต่อไปว่า วิสัยทัศน์ของโครงการนี้อยู่ที่ระบบอัตโนมัติ ที่จะต้องเป็นโครงสร้างที่กะทัดรัด ไม่เทอะทะ (lean infrastructure) มีปริมาณพอเหมาะกับบริการที่ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีเส้นทางผ่านชุมชนอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาสูง มีสิ่งแวดล้อมที่ละเอียดอ่อน เราต้องสร้างระบบให้ดีที่สุด ไม่มาก ไม่น้อย คุมราคาโครงสร้างให้น้อยที่สุด มีระบบปฏิบัติที่แม่นยำ มีคุณภาพ จะทำให้เกิดการพัฒนารอบสถานีในอนาคต ใช้ระบบการควบคุมรถระดับสอง (ETCS Level 2 train control) เราจะประยุกต์ใช้ระบบการควบคุมอัตโนมัติใช้แบบอย่างของรถรุ่นใหม่ เอ็น 700 เอ (N700A) ของญี่ปุ่น ที่มีปุ่มสีเขียวอยู่ในหัวรถจักร เป็นสวิตช์ ที่เพิ่มระบบการควบคุมอัตโนมัติ ให้บูรณาการกับสภาพของรางทางวิ่งแต่ละระยะตลอดเส้นทาง การใช้ระบบการควบคุมรถอัตโนมัติ (ATO-Automatic Train Operation) นี้ จะสามารถเพิ่มคุณภาพ ความรวดเร็ว และความปลอดภัย สำหรับการเดินรถ โดยเฉพาะที่สถานีระหว่างทางซึ่งจะมีสี่แห่ง รถจะสามารถวิ่งผ่านหัวประแจสับหลีกด้วยความเร็ว 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

และระบบนี้ จะสามารถเคลื่อนรถออกจากชานชาลาได้ตามกำหนดเวลา นำเข้าสู่ระบบที่บางครั้งอาจจะแทรกเข้าช่อง (slot) ต่อท้าย ตามหลังขบวนที่วิ่งผ่านสถานีนั้นได้พอดี ดังตัวอย่างรถโนโซมิ (Nozomi trains) ที่วิ่งแซงชินกันเซนบางขบวนของสายโทไคโด ตลอดระยะทาง 515 กิโลเมตร ระหว่างโตเกียวและโอซาก้า ในญี่ปุ่น


แอนดรูว์ให้ความเห็นต่อไปว่า บางขบวนอาจจะช้าไป 30 วินาที โดยเฉลี่ยพอรับได้ แต่ถ้าถึง 3 นาที ระบบอัตโนมัติจะปรับแต่งโปรแกรมให้เพิ่มความเร็วจาก 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปรับเวลาให้ทันกับที่กำหนดไว้ บางครั้งอาจจะต้องวิ่งเร็วกว่ากำหนดถึงหนึ่งนาที และ หรือ อาจลดความเร็วลงถึง 90 วินาที เพื่อปรับความเร็วของรถให้เข้าสู่ระบบที่กำหนดไว้ในโปรแกรม ระบบนี้จะสามารถแก้ปัญหาให้รถแต่ละขบวนวิ่งไปจนถึงปลายทางได้

ที่สถานียูสตั้น (Euston) ซึ่งเป็นต้นทางในลอนดอน จะมี 11 ชานชาลา แต่จะใช้ปล่อยรถออกจากสถานีเพียง 9 ราง จะใช้เวลาในการปรับขบวน กลับทิศทางรถที่สถานีประมาณ 20 นาที ทุกแห่งมีปัญหาการเคลื่อนตัวรื่นไหล (passenger throughput) ของผู้โดยสาร แอนดรูว์ให้ความเห็นว่า ควรดูตัวอย่างจากภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีปริมาณสูงกว่าในยุโรป แม้กระทั่งในฝรั่งเศส

การบริหารจัดการเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้โดยสารรถไฟความเร็วสูงเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ จากการสังเกต ที่ญี่ปุ่น ประตูที่ผ่านเข้าไปเพื่อขึ้นรถไฟความเร็วสูงจะปิด หากตั๋วโดยสารไม่ถูกต้อง ต่างกับของอังกฤษที่ถูกกำหนดโดยกระทรวงการขนส่ง (Department for Transport) บังคับให้มีประตูเพื่อป้องกันคนที่ไม่จ่ายค่าโดยสารเท่านั้น ประตูนี้เป็นอุปสรรคที่ชะลอการเคลื่อนตัวของของผู้โดยสาร

ปัญหาของการเดินทางที่มีพฤติกรรมต่างกันอีกอย่างคือ สัมภาระ ผู้โดยสารญี่ปุ่นยินดีที่จะให้แยกการขนกระเป๋า แต่ชาวอังกฤษมักจะต้องการเดินทางไปพร้อมกับกระเป๋าและสัมภาระของตน รถไฟความเร็วสูงจะต้องคำนึงถึงบริการเรื่องนี้ด้วย และจะต้องคำนึงถึงเวลาและระยะทางของการเดินบนชานชาลา เพื่อไปขึ้นรถด้วย ควรใช้เวลาในการขึ้นรถให้น้อยที่สุด การขึ้นรถจากพื้นชานชาลาในระนาบเดียวกันกับพื้นของรถ (level boarding) จะช่วยลดเวลาลงได้ ดังตัวอย่างของผู้โดยสารรถไฟใต้ดินในระยะกีฬาโอลิมปิกที่ผ่านมา สังเกตว่า รถไฟใต้ดินขนคนจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็วได้ เพราะการขึ้นรถจากชานชาลาที่อยู่ในระนาบเดียวกัน มีผู้ช่วยในการเคลื่อนขนผู้โดยสาร (helpers) ซึ่งช่วยได้ดีกว่าการที่มีแต่เพียงป้ายแนะนำทาง ผู้ช่วยในการเดินทางเหล่านั้นสามารถช่วยให้ผู้โดยสารเคลื่อนที่เข้าไปอยู่ในที่ของตนในเวลาที่จำกัดได้

ตู้โดยสารจะต้องถูกออกแบบให้คำนึงถึงความต้องการพื้นที่สำหรับการบริการด้านอาหาร (catering service) ด้วย การออกแบบโดยนักออกแบบ สถาปนิก และวิศวกร ที่จัดให้มีครัว พร้อมอุปกรณ์เครื่องครัวตายตัวในตู้โดยสารอาจเป็นปัญหาที่แก้ไขยากในอนาคต แอนดรูว์นึกถึงบริการของการรถไฟ ใน ค.ศ.1976 ระหว่างกรุงลอนดอนและเมืองบริสตอล ว่าทั้งขบวนมี 8 ตู้ หนึ่งในนั้นเป็นรถเสบียงแบบนั่งโต๊ะคล้ายภัตตาคาร อีกตู้หนึ่งเป็นตู้สำหรับอาหารที่ให้บริการแบบช่วยตัวเอง หรือบุฟเฟต์ เขาเปรียบเทียบกับรถไฟความเร็วสูงของอิตาลี (NTV) ที่ให้บริการแก่ผู้โดยสาร 3 ระดับชั้น สำหรับชั้นสโมสร (Club) และชั้นพรีม่า (Prima) เสิร์ฟอาหารถึงที่นั่งคล้ายกับบริการในเครื่องบิน ในขณะที่ชั้นธรรมดา (Smart) จัดให้มีบริการซื้ออาหารด้วยตนเองจากเครื่องขายอาหาร (Vending Machine)

รวมไปถึงการซื้อกาแฟเอสเปรสโซ่ตามวัฒนธรรมของชาวอิตาเลียน จากเครื่องขายกาแฟด้วยเช่นกัน


น่าสังเกตว่า ในปัจจุบันตามสถานีรถไฟของอังกฤษ จะมีปริมาณร้านค้าขายอาหารเพิ่มมากขึ้น เป็นผลจากความต้องการของผู้โดยสารที่เดินทางไกลจะซื้อตุนไว้เพื่อบริโภคระหว่างเดินทาง
ในระยะที่โครงการกำลังออกแบบเป็นรายละเอียดมากขึ้นนี้ ทำให้ผู้ออกแบบมองเห็นปัญหา อุปสรรค เกิดเป็น คำถาม คำตอบ เป็นมูลค่าทางวิศวกรรม (Value Engineering) ทำให้การออกแบบทั้งหมด ต้องเปลี่ยนไป ปรับมาอยู่ตลอด จนกว่าจะลงตัว ในเวลาเดียวกันนี้ กระทรวงการคลัง (UK Treasury) เพิ่มปัญหาเข้ามาอีก ด้วยการกำหนดให้มีความยืดหยุ่นในการออกแบบ (Optimism Bias) ของโครงการ บังคับให้อยู่ในเกณฑ์ ร้อยละ 60 (ของการประมาณราคา) ข้อบังคับนี้มีข้อดี ช่วยให้ลดความเสี่ยง (Risk Mitigation) ลงได้บ้าง เพราะมีหลายอย่างที่ยังต้องค้นหาคำตอบต่อเนื่อง ปัจจุบันการออกแบบของระยะแรก (Phase 1) อยู่ประมาณร้อยละ 34 คาดว่า คงจะเสร็จสมบูรณ์ พร้อมกันกับระยะที่กฎหมายฉบับแรก (Hybrid Bill) ผ่านสภาพอดี

สำหรับการออกแบบระยะที่สอง (Phase 2) นั้นมีความยืดหยุ่น อยู่ในระยะสองในสามของระยะสุดท้าย คงเชื่อได้ว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงสายที่สองนี้ คงจะเดินหน้าต่อไปได้ด้วยดี

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บันทึกลับปลายรัชกาล (6) : ตอน ข่าวคดี “พญาระกา”


กองบรรณาธิการ RED POWER ฉบับที่ 36 เดือนพฤษภาคม 2556
จากพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 (ต่อจากฉบับที่แล้ว)

 


          เรื่องราวของลครที่ชื่อ พญาระกาได้กลายเป็นปัญหาลุกลามในราชสำนักที่คนไทยในปัจจุบันคงจะนึกภาพไม่ออกว่าแค่การแต่งลครเสียดสีกันทำไมกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ทั้งๆที่สามัญชนทุกคนมีจินตภาพเกี่ยวกับราชสำนักว่าเป็นสถานที่อยู่ของบุคคลชั้นสูงที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม แต่ทำไมจึงมีเรื่องกันดูประหนึ่งว่าไม่มีแก่นสาร ดังนั้นบทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 เกี่ยวกับบทลคร พญาระกา ที่กรมหมื่นนราธิปดัดแปลงมาจากบทลครของฝรั่งเรื่อง ชองตะแคลร์ เพื่อจะเสียดสีว่ากล่าวกรมราชบุรีหรือกรมหลวงราชบุรีซึ่งเป็นครูนักกฎหมายในขณะนั้นว่าเป็นคนโอ้อวดตัวเองเหมือนพญาระกานี้จึงเป็นคำตอบอยู่ในตัวนั้นเอง ซึ่งการที่ล้นเกล้าฯได้ทรงพระนิพนธ์ไว้อย่างละเอียด ก็ด้วยทรงเห็นว่ามีความสำคัญ บรรณาธิการ Red Power จึงขอนำพระราชนิพนธ์นี้เสนอให้ผู้อ่านได้ศึกษาติดตามโดยละเอียด ดังนี้.-

ข่าวคดี พญาระกา

          ในวันที่ ๓ มิถุนายนนั้น เมื่อฉันออกจากที่เฝ้าแล้วกรมหลวงดำรงได้รับสั่งบอกข่าวว่า การไต่สวนคดี พญาระกา นั้นเสร็จแล้ว,กรรมการกำลังร่างพิพากษาเพื่อจะได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย กรมหลวงดำรงตรัสเล่าว่ากรมหมื่นนราธิปแก้คดีว่า เรื่อง พญาระกานั้นตั้งพระทัยแต่งตามเค้าเรื่องลคอนพูดคำกลอนของมองสิเออร์เอ็ด ม็องด์ รสตองด์ (Edmond Restand) , ชื่อเรื่อง ชองตะแคลร”  (“Chantecler”) ; แต่กรรมการเห็นว่าเรื่อง พญาระกาไม่เหมือนเรื่อง ชองตะแคลร์หรือจะมีที่คล้ายบ้างก็เปนแต่เล็กน้อยบางแห่งเท่านั้น .

เรื่อง ชองตะแคลร์

          ในน่า ๓๑๔ แห่งสมุดเล่มนี้ ฉันได้สรุปใจความแห่งเรื่อง พญาระกาของกรมนราธิปไว้แล้ว, ในที่นี้จึ่งขอสรุปใจความแห่งเรื่อง ชองตะแคลร์ของเอ็ด ม็องต์ รสตองด์ ไว้บ้าง, สำหรับจะได้อ่านเทียบกัน

          เริ่มต้นมีนกเอี้ยงและสัตว์อื่นๆ ที่ในลานบ้านนากับสุนัขตัว ๑, พูดกันถึงไก่ตัวผู้ที่มีนามว่า ชองตาแคลร์ (แปลว่า ร้องเสียงใส) สัตว์นั้นๆมีความอิจฉาบ้าง, นิยมบ้าง, แต่อย่างไรๆก็ดี คงเปนอันเชื่อด้วยกันหมดว่า ชองตะแคลร์นั้นขันเรียกตวันได้,  และเชื่อด้วยว่าถ้าไก่ตัวนั้นไม่ขันตวันก็ไม่ขึ้น. แล้วชองตะแคลร์ออกมา, พร้อมด้วยเมียและบริวาร, กล่าวคำอวดฤทธาศักดานุภาพของตน ขณนั้นนางไก่ฟ้าทองตัว ๑ ถูกสุนัขของพรานไล่, จึ่งหนีเข้ามาอาศัยในรั้วบ้านของชาวนาอันเปนที่อยู่ของชองตะแคลร์. ฝ่ายชองตะแคลร์มีความรักใคร่นางไก่ฟ้า, เข้าไปพูดจาเกี้ยวพานแพละโลม, นางไก่ฟ้าก็หายินยอมพร้อมใจไม่. ชองตะแคลร์อวดว่าตนเปนสัตว์สำคัญ, มีอำนาจเรียกตวันให้ส่องแสงได้ตามประสงค์. นางไก่ฟ้ายังติดใจสงสัยอยู่, ชองตะแคลร์จึ่งบอกว่าแล้วจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้ปรากฏ. กล่าวถึงนกเค้าแมวและนกอื่นๆ ที่หากินในเวลากลางคืน ได้นัดพร้อมกันไปประชุมที่ชายป่า, เพื่อปรึกษากันว่าจะควรทำอย่างไรดีจึ่งจะกำจัดชองตะแคลร์ได้, เพราะนกนั้นๆ พากันเชื่ออยู่แน่นอนว่าตวันขึ้นเพราะไก่ตัวนั้นขัน, ฉนั้นถ้ากำจัดไก่ตัวนั้นเสียได้แล้ว ตวันก็จะไม่ขึ้น และนกเค้าแมวและพวกพ้องจะได้หากินได้สดวก ปรึกษากันยังมิทันจะถึงความตกลงอย่างใดก็พอชองตะแคลร์พานางไก่ฟ้าทองมาถึง. และพะเอินเปนเวลาจวนรุ่งอยู่แล้ว, พอชองตะแคลร์ขันตวันก็ขึ้น พวกนกเค้าแมวทนแสงสว่างไม่ได้ก็พากันหนีไป. ฝ่ายนางไก่ฟ้าทองเชื่อแล้วว่าชองตะแคลร์มีฤทธิ์มากจริงสมปากอวด, ก็ยอมเปนเมีย กล่าวถึงนางไก่ต๊อกเปนผู้ชอบการสมาคม, จึ่งเชิญพวกนกต่างไปสโมสรสันนิบาตและเลี้ยงกัน, มีนกต่างๆไปมาก, รวมทั้งนกยูงด้วย ชองตะแคลร์พานางไก่ฟ้าทองและนางไก่ลูกไก่ไปในสมาคมนั้นด้วย มีผู้กล่าวขึ้นว่า น่าเสียดายนางไก่ฟ้าทองที่มีรูปโฉมงามไปสมสู่กับไก่ตัวผู้สามัญเช่นชองตะแคลร์, และว่าถ้าได้กับนกยูงจะสมคู่กันดีกว่า. ชองตะแคลร์โกรธและพูดว่า นกยูงนั้นก็ดีแต่รูปงามเท่านั้น, แต่หาฤทธาศักดานุภาพมิได้. ขณนั้นไก่ชนตัว ๑ จึ่งพูดขัดคอว่าชองตะแคลร์เองก็เก่งแต่ปากเท่านั้น. ไก่ทั้ง ๒ จึ่งเกิดชนกันขึ้น และโดยเหตุที่ไก่ชนนั้นได้ชนกับไก่ตัวอื่นในสังเวียนบอบช้ำมาก่อนแล้วจึ่งแพ้. ฝ่ายชองตะแคลร์นั้น, แม้ได้เปนผู้ชนะก็จริง แต่ต้องบาดเจ็บมาก, สัตวที่อยู่ในที่สมาคมนั้นจึ่งเกิดมีความเห็นกันขึ้นบ้าง ว่าชรอยชองตะแคลร์จะมีฤทธาศักดานุภาพมากเท่าที่โอ้อวด. พะเอินขณนั้นเกิดมีพายุฝน, พวกนกทั้งปวงพากันตื่นตกใจวุ่นไป ชองตะแคลร์จึ่งเรียกครอบครัวและบริวารของตนมาไว้ในร่มปีก, แล้วและขันขึ้นด้วยเสียงอันดัง จำเพาะสพเหมาะเวลานั้นพายุผ่านพ้นไป, ตวันจึ่งส่องแสงออกมาในขณะที่ชองตะแคลร์ขัน, ทำให้นกทั้งปวงเชื่อมั่นในบุญญาภินิหารของชองตะแคลร์, และชองตะแคลร์เองก็ยิ่งอิ่มเอิบกำเริบฤทธิ์ แต่นางไก่ฟ้าทองยังมีความติดใจสงสัยอยู่, จึ่งหาโอกาสล่อชองตะแคลร์ไปเที่ยวในป่า, และอุตส่าห์บำเรอให้ไก่ตัวผู้นั้นชล่าใจจนนอนหลับไป, แล้วนางไก่ฟ้าก็คอยนั่งปรนเปรอเล่าล่อให้นอนอีกเรื่อยจนกระทั่งถึงเวลารุ่ง นางไก่ฟ้าเห็นตวันขึ้นเองโดยชองตะแคลร์มิได้ต้องขันเรียก. นางไก่ฟ้าปลุกชองตะแคลร์ขึ้น, ต่อว่าว่าโอ้อวดเกินความจริง, จะอยู่ด้วยอีกไม่ได้, จึ่งลาจากไป, เพราะปรารถนาเสรีภาพและอยากเปนอิศระแก่ตน. แต่ไม่ช้านางไก่ฟ้าทองก็ไปติดแร้วของพราน, และพรานนำไปขายให้แก่ชาวนา, จึ่งเปนอันต้องกลับมาอยู่ร่วมถิ่นกับชองตะแคลร์อีก.

อธิบายปกรณัม

          เรื่อง ชองตะแคลร์ นี้ ผู้แต่งเขาตั้งใจให้เปนปกรณัมคือเรื่องเปรียบเทียบโดยทั่วๆ ไปไม่ใช่ว่าเปรียบเทียบบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดโดยจำเพาะ. ไก่ตัวผู้เปรียบด้วยบุคคลที่เปนใหญ่และมีเสียงเพราะช่างพูดลวงคนโง่ๆ ให้หลงเชื่อว่ามีความสามารถ, และความที่หลอกผู้อื่นเสียเคยตัวจนสุดท้ายตัวเองก็เชื่อความสามารถของตนเองเสียด้วย, ทั้งพะเอินเปนผู้ที่มีโชคดี ทำอะไรมักจะพบแก่กาละ, จึ่งไม่มีผู้ใดรู้เท่า, จนในที่สุดเมื่อหลงผู้หญิงจนเผลอตัว จึ่งเสียกลและถูกผู้หญิงรู้ไส้. นางไก่ฟ้าทองเปรียบด้วยหญิงที่ชอบเปนอิศระแก่ตน, แต่เมื่อมีภัยเบียดเบียฬก็จำใจหนีไปพึ่งผู้มีบุญ แต่ถึงได้ไปพึ่งเขาแล้วก็ยังไม่เต็มใจที่จะสละอิศระภาพของตน, จนได้เห็นอภินิหารของผู้มีบุญนั้นจึ่งอดนิยมมิได้. เพราะโดยธรรมชาติย่อมนิยมชายที่เก่ง เพราะเหตุที่มีนิสัยเปน คนอวดดีและมีความอิจฉาติดสันดาน. หญิงนั้นจึ่งพยายามกระทำกลอุบายล่อลวงจนได้รู้ไส้ชายผู้ที่เลี้ยงตน, แล้วก็จากนั้นเพื่อพรากไป. จนไปประสพภยันตรายเข้าอีก จึ่งต้องกลับมาอยู่กับชายนั้นตามเดิม. นกเค้าแมวเปรียบด้วยผู้ที่อิจฉาผู้มีบุญ, และคิดประทุษร้ายผู้มีบุญเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเปนผู้กีดขวางในทางหากินทุจริตของตน. นกเอี้ยงได้แก่คนปากพลอด, ช่างพูดตลบแตลง. สุนัขได้แก่ผู้ที่พูดเสียงไม่เบากระโชกกระชาก, แต่มีใจสุจริต. ไก่ต๊อกได้แก่หญิงหัวประจบและชอบมีงานเพื่อแสดงว่าตนเปนคนรู้จักกับคนสำคัญๆ มาก. นกยูงได้แก่คนที่เย่อหยิ่ง, งามแต่รูป, ใจไม่กล้า. ไก่ชนได้แก่คนที่เป็นนักเลงเกะกะก้าวร้าว. ไม่มีใครนับถือ, แต่บางทีเมื่อประสพโอกาสเหมาะก็ทำร้ายแก่ผู้มีบุญวาสนาได้บ้าง

          ดังนี้ก็เห็นได้ว่า ความมุ่งหมายของผู้แต่งเรื่อง ชองตะแคลร์ เปนคนละอย่างกับความมุ่งหมายของผู้แต่งเรื่อง พญาระกาทีเดียว. รสตองด์แต่งเปนปกรณัมเปรียบเทียบโดยทั่วๆ มิได้เจาะจงที่ตัวผู้ใดๆ แต่กรมนราธิปทรงแต่งขึ้นโดยว่าเปรียบเจาะจงตัวบุคคลทีเดียว, จึ่งนับเปนหมิ่นประมาท.

          วันที่ ๔ มิถุนายน เมื่อฉันเข้าไปถึงที่เฝ้า, พระเจ้าหลวงได้พระราชทานหนังสือให้ฉันดูฉบับ ๑, เปนหนังสือของพระยาจักรปาณีกราบบังคมทูลสารภาพผิดและขอรับพระราชอาญา. สังเกตว่าพระเจ้าหลวงค่อยคลายทรงพระพิโรธลงเพราะได้ทรงรับหนังสือฉบับนี้, ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกยินดีอยู่เพราะพระยาจักรปาณีเปนผู้ที่ฉันชอบพอมากอยู่. พระยาจักรปาณีเปนคน ๑ ซึ่งพระเจ้าหลวงทรงถือว่าเปนหัวน่าในพวกที่ถวายหนังสือทูลลาออก, ฉนั้นเมื่อสารภาพผิดแล้ว ก็คงจะพอเชื่อได้ว่าผู้น้อยจะไม่กระด้างกระเดื่องต่อไป.

พระเจ้าหลวงทรงมีพระราชดำรัสต่อว่ากรมขุนสิริธัชว่า พระยาจักรปาณีเปนศิษย์ทำไมจึ่งไม่ว่ากล่าวตักเตือน, กรมขุนสิริธัชกราบบังคมทูลว่า พระองค์ท่านได้ทรงตักเตือนว่ากล่าวและพยายามเหนี่ยวรั้งนักแล้วก็หาฟังไม่. กรมขุนสิริธัชกราบบังคมทูลต่อไปด้วยว่า ท่านได้ทรงทราบว่าผู้ที่ลงนามในฎีกานั้น บางคนก็ดูเหมือนแทบจะมิได้ทราบตลอดว่ามีข้อความอย่างไรบ้างในฎีกานั้น, แต่เมื่อเขาชวนให้ลงชื่อก็ลงไปกระนั้นเอง. มีพระราชดำรัสถามหม่อมเจ้าจรูญศักดิ์กฤษดากรว่าเปนที่เรียบร้อยตลอดแล้วหรือ หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์กราบบังคมทูลว่าเรียบร้อยดี. กรมขุนสิริธัชทรงรับรองว่าเรียบร้อยดีแล้ว สังเกตว่าพระเจ้าหลวงคลายทรงพระวิตกลงมาก

 

คำให้การของเจ้าพระยายมราช

          ครั้นเวลาบ่ายวันที่ ๕ เจ้าพระยายมราชได้ไปหาฉันที่วังสราญรมย์, เพื่อชี้แจงข้อความต่างๆ ให้ฉันฟัง. คำให้การของเจ้าพระยายมราชได้เรื่องราวพิสดารดีมาก, ฉนั้นฉันจึ่งได้บันทึกลงไว้ในสมุดจดหมายเหตุรายวันของฉัน, และฉันคัดข้อความมาลงไว้ ณ ที่นี้ดังต่อไปนี้.-

 

ด้วยเมื่อแรกเกิดเหตุ         

          เดิมที, เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม (พ.ศ.๒๔๕๓) เจ้าพระยายมราชได้ไปเที่ยวตรวจราชการตระเตรียมไว้สำหรับที่พวกจีนจะหยุดงาน, (ซึ่งมันกำหนดเริ่มต้น ณ วันที่ ๑ มิถุนายน), จนเวลาเช้า ๑๑ นาฬิกา จึ่งได้ทราบข่าวว่ากรมราชบุรีให้เที่ยวตามตัว. เจ้าพระยายมราชได้รีบไปที่วัง, กรมราชบุรีจึ่งประทานหนังสือเรื่อง พญาระกาให้ดู, เปนหนังสือคัดด้วยเส้นดินสอ. เจ้าพระยายมราชได้อ่านแล้วก็รู้สึกว่าผู้แต่งกล่าวข้อความบ่งตรงเต็มที่. ฝ่ายกรมราชบุรีนั้นทรงกรรแสง, และตรัสว่าเมื่อมามีขึ้นเช่นนี้แล้ว พระองค์ท่านจะคงอยู่ไม่ได้, ต้องออกจากตำแหน่ง, เจ้าพระยายมราชทูลวิงวอนให้ทรงคิดเสียใหม่ให้รอบคอบ, กรมราชบุรีตรัสตอบว่าพระองค์ท่านได้ทรงตรองมาตลลอดคืนแล้ว, ไม่แลเห็นทางอื่นเลย, และขอให้เจ้าพระยายมราชช่วยนำหนังสือขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. ส่วนพระองค์ท่านจะต้องเสด็จไปเสียให้พ้นกรุงเทพฯ เพราะถ้าแม้อยู่ เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบเรื่องแล้ว จะรับสั่งให้หาพระองค์ท่านเข้าไป, ท่านกำลังเต็มไปด้วยความโทมนัสและโทษะ, ก็อาจที่จะกราบบังคมทูลใช้ถ้อยคำรุนแรงไม่สมควรได้. กรมราชบุรีตรัสด้วยว่าในเรื่องนี้ตัวฉันก็คงเห็นพระทัยท่าน. เจ้าพระยายมราชก็ตกลงรับจะเปนธุระนำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวาย ครั้นเมื่อกรมราชบุรีทรงชี้แจงพระดำริห์ในการที่จะประกาศแก่ข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมให้ทราบเหตุก่อนที่พระองค์ท่านจะเสด็จไปจากกรุงเทพฯ เจ้าพระยายมราชจึ่งได้ทูลห้ามไว้. เพราะเห็นว่าจะทำให้เปนการเอิกเกริกไม่พอที่. กรมราชบุรีทรงรับรองว่าจะทรงปรึกษาหาฤๅกับข้าราชการผู้ใหญ่ในกระทรวงยุติธรรมดูก่อน. เจ้าพระยายมราชเห็นว่าก็ดีอยู่แล้วและเวลานั้นหิวข้าว, จึ่งทูลลากลับ. ในเวลาบ่ายนั้นเอง (ที่ ๓๑ พฤษภาคม) กรมราชบุรีได้เสร็จไปที่กระทรวงยุติธรรม, เรียกข้าราชการประชุมปรึกษาเรื่องจะประกาศในศาล, แต่ติละกี (วิลเลียม แอลเฟร็ด คุณะดิลก, ซึ่งภายหลังได้เปนพระยาอรรถการประสิทธิ์ ที่เรียกว่า ติละกีเพราะนามเขียนเปนอักษรโรมันตามแบบที่ใช้ในลังกาว่า) ห้ามปรามไว้ จึ่งเปนอันงดการประกาศ. กรมราชบุรีเสด็จออกจากกระทรวงยุติธรรมก็ตรงไปลงเรือ, โดยมิได้บอกกล่าวล่ำลาผู้ใดเลย. แม้เจ้าจอมมารดาของท่านและหม่อมอ่อนก็มิได้ทราบก่อน, ภายหลังหม่อมอ่อนจึ่งได้ตามไป. ในเวลาบ่ายวันที่ ๓๑ พฤษภาคม นั้นเจ้าพระยายมราชได้รับหนังสือเรื่อง พญาระกาเล่ม ๑, ซึ่งพิมพ์เพ่อแล้ว ยังเปียกๆ อยู่ ในชั้นต้นเจ้าพระยายมราชก็คิดว่าจะรอเรื่องไว้ก่อน, เพราะไม่อยากให้มีเหตุกวนพระราชหฤทัยพระเจ้าอยู่หัวในเวลานั้น, แต่ไปได้ข่าวว่ากรมนราธิปจะนำลครเรื่องนี้เข้าไปเล่นถวายในคืนวันที่ ๓ มิถุนายน, เห็นว่าจะรอต่อไปไม่ได้, จึ่งนำหนังสือของกรมราชบุรีและเรื่องทั้งปวงขึ้นกราบบังคมทูล, เมื่อได้ทรงทราบฝ่าลอองธุลีพระบาทแล้ว พระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงตั้งกรรมการพิจารณา, ตามที่ได้ทราบอยู่แล้ว. เจ้าพระยายมราชได้มีจดหมายไปยังกรมราชบุรี, ทูลว่ากล่าววิงวอนให้ทรงระงับโทษ, กรมราชบุรีจึ่งมีลายพระหัตถ์ตอบมายังเจ้าพระยายมราชเปนข้อความพิสดาร, แสดงความเห็นของพระองค์อ่าน,และขอให้ฉันได้ดูลายพระหัตถ์ฉบับนั้นด้วย. เมื่อได้อ่านลายพระหัตถ์ฉบับนั้นแล้ว ทำให้ฉันเข้าใจแจ่มแจ้งว่าความเห็นและความรู้สึก, ทั้งความเข้าใจผิดของท่านนั้นเปนอย่างไร, และเพราะเหตุที่ท่านเข้าพระทัยผิดอยู่เช่นนั้น ท่านจึ่งได้รู้สึกว่าพระองค์ท่านได้รับความอัปรยศจนคงอยู่ในตำแหน่งไม่ได้, ต้องลาออก. ลายพระหัตถ์นั้นฉันได้คัดความไว้โดยตลอด, ดังต่อไปนี้.

ลายพระหัตถ์กรมราชบุรี เจ้าพระยายมราช

          (ลายพระหัตถ์)

          ถึงครูทราบ.

          ด้วยฉันได้มานั่งตรองมาแต่ต้นจนเดี๋ยวนี้, ความเห็นยังลงคงอย่างเดียวกันว่า ที่ฉันได้ทำมาดังนี้เปนถูก. แต่ผิดในส่วนผลประโยชน์ในตัว, แต่ในทางราชการและทางซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าอยู่หัวแล้ว, ฉันได้ตรองแล้วตรองเล่า, ยังเห็นว่าถูก.

          เรื่องที่ฉันว่าจะออกประกาศนั้น, ติละกีเห็นไม่ควรออกเวลานี้ฉันจึ่งได้หยุดเสีย, มอบธุระให้แกแล้วแต่เห็นควร.

          ข้อที่ทำการต่อไปไม่ได้นั้น คนในศาล,จนถึงกรมสิริ, ก็ต้องเข้าใจ, แต่จะให้คนที่ไม่ใช่พวกกฎหมายเข้าใจด้วยนั้นเปนการยากจริง, ฉันจึ่งขอพยายามกล่าวอีกครั้งหนึ่ง, ถ้าจะเปนที่เบื่อหน่ายก็ขออภัย. คือเมื่อครั้งไกรสี (เปล่ง) ถูกตีหัวนั้นศาลก็รวน, ไม่มีใครทำการตามน่าที่, จนถึงกงสุลได้ร้อง, ฉันต้องหาคนสำรับใหม่เข้าทำงานหมด, ฝึกหัดขึ้นยากเย็นเข็ญใจ, และที่เขาทำการมาก็โดยเข้าใจว่าทำผิดแล้วจะต้องโทษ, ทำถูกแล้วจะต้องปกครองรักษาไม่ให้ต้องภัย ฉันได้จัดการต่ออายุศาลมาได้ ๑๐ ปีกว่า, มาบัดนี้แดงออกมาให้เห็นว่า, อย่าว่าแต่จะคุ้มภัยให้เขาเลย, ตัวฉันเองยังรักษาตัวเองไม่ได้. การที่ใครจะทำอะไรต่อไปให้ถูกในน่าที่นั้น ไม่มีใครที่จะทำเปนแน่, ทั้งในสมัยนี้ฝรั่งก็มาก, ผลประโยชน์เขาก็มี, ความประพฤติตัวอย่างตุลาการฝรั่ง       จำเปนต้องประพฤติ. เมื่อมีเหตุเช่นนี้ขึ้นแล้วไม่มีใครอาจประพฤติดีได้, ฉันหมดอำนาจนั่งบัญชาการ, ฝืนอยู่ต่อไปจะเปนผู้ผลาญเมืองไทยลงด้วยมือตนเอง. ในศาลไม่มีไทยจะทำงานได้สักคนเดียว. ฉันออกเสียเช่นนี้แล้วดูทีเหมือนหนึ่งไทยวิวาทกันเอง, ถ้าไทยมีสติคงจะจัดการให้ไทยทำราชการในน่าที่ผู้พิพากษาได้ต่อไปทันการก่อนฝรั่งจับฉวยเรื่องขึ้นได้. ถ้าฉันฝืนคิดประโยชน์ส่วนตัว, และคิดเกรงพระราชหฤทัยพระเจ้าอยู่หัวแล้ว, เปนอันฉันดูราชการไม่ลึกไม่ไกลสมควรแก่น่าที่, จะผลาญเมืองไทย, จะผลาญพระราชาในสมัยนี้เอง, ไม่ใช่สมัยน่า.ถ้าฉันอยู่ต่อไปฉันบอกได้ว่าปีเดียวไม่มีไทยอีกต่อไปที่ฉันจะว่ากล่าวได้. ข้อความไม่ใช่ส่วนตัว, ข้อความถึงอิศรภาพของเมืองไทย.

          ฝ่ายไทยแล้วดูแต่ส่วนตัว, ซึ่งผิด, จนถึงสิ้นอำนาจเมืองในรัชกาลนี้เปนแน่.

          ฉันอยากให้ครูนำหนังสือนี้ถวายสมเด็จพระบรมโอรส, กรมหลวงเทววงศ์, กรมดำรงทอดพระเนตร์, แต่การจะสมควรหรือไม่นั้นแล้วแต่ครูเถิด.

          เสียใจที่เปนเหตุกวนใจในเวลาที่ครูต้องกังวลเปนห่วงเรื่องอื่น. ขอกราบมาอย่างลูกศิษย์กับครู

          (จบลายพระหัตถ์)

          ตามลายพระหัตถ์นี้เห็นได้ว่ากรมราชบุรีมีความเข้าพระทัยผิดสำคัญอยู่ข้อ ๑, คือเข้าพระทัยว่าการที่กรมนราธิปได้แต่งหนังสือว่าเปรียบพระองค์ท่านเช่นนั้นแล้ว, พระเจ้าหลวงทรงทราบแล้วก็หาได้ทรงว่ากล่าวผู้แต่งไม่, แต่ตรงกันข้ามกลับจะโปรดเกล้าฯ ให้กรมนราธิปนำลคอนเรื่องนั้นเข้าไปเล่นถวาย, ซึ่งจะเปนการประจารพระองค์ท่าน. แม้เมื่อเจ้าพระยายมราชได้ทูลไปแล้วว่า พระเจ้าหลวงได้ทรงตั้งกรรมการพิจารณาคดีนั้นแล้ว กรมราชบุรีก็ยังไม่คลายความแค้น, เพราะน่าจะนึกเสียว่าทีเมื่อแรกได้ทรงรับหนังสือเรื่อง พญาระกานั้น ก็หาได้ทรงทำอะไรไม่, จนเจ้าพระยายมราชนำลายพระหัตถ์ของกรมราชบุรีขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแล้ว คือเมื่อกรมราชบุรีเปนโจทย์ขึ้นแล้ว จึ่งได้มีพระบรมราชโองการสั่งตั้งกรรมการพิจารณา. ก็การที่กรมราชบุรีความเข้าพระทัยผิด เปนเพราะเหตุใด ในเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายนนั้นฉันเองก็ยังหาได้ทราบไม่, ต่อภายหลังจึ่งได้ทราบว่าเปนเพราะมีคนอุบาทว์คอยยุแหย่อยู่มิให้ความสงบลงเสียง่ายๆ เพื่อประโยชน์หรือความพอใจอย่างเลวทรามของคนๆ นั้นเอง ดังจะได้แถลงต่อไปข้างน่า. นอกจากข้อเข้าพระทัยผิดสำคัญอันนี้มีข้อความอยู่บางข้อในลายพระหัตถ์กรมราชบุรี, ซึ่งเมื่ออ่านแล้วทำให้เห็นได้ว่าโทษทำให้กรมราชบุรีคิดและกล่าวข้อความมากเกินเหตุไป.

          (หมายเหตุกองบรรณาธิการ : เรื่องราวของคดีพญาระกาได้เกิดการพัวพันไปถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักหลายคนจนถึงขั้นขุนนางบางคนถูกถอดออกจากตำแหน่งและกลายเป็นเรื่องรบกวนเบื้องยุคลบาทของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 อีกยืดยาวซึ่ง Red Power จะได้นำเสนอในตอนต่อไปในหัวข้อ ว่าด้วยเรื่องข้าราชการลาออก และพระราชวินิจฉัยลงโทษกรมนราธิปเป็นต้น โปรดติดตาม)

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

"พัลลภ"แฉถูก"จำลอง"เพื่อนรักหลอกใช้ ยัน"สุรยุทธ์"วางแผนล้ม "ทักษิณ" จี้ออกจากองคมนตรี


ข้อมูลจาก มติชนออนไลน์ วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552



"พัลลภ"แฉถูกเพื่อนรัก"จำลอง"หลอก ใช้ ทั้งๆที่เป้นเพื่อนรัก จปร. 7 แนะ"สุรยุทธ์"ลาออก ทำสถาบันองคมนตรีเสื่อมเสีย อย่าใจแคบ เผยชื่นชม แต่ไม่มีสัจจะ ทำผิดมติในที่ประชุม ในการพูดคุยกัน 7 คน ในการวางแผนล้มรัฐบาล"ทักษิณ

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่กำลังร้อนแรง ในฐานะพยานปากสำคัญที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อ้างว่า เป็นคนปูดเบื้องหลังแผนปฏิวัติโค่นอำนาจวันที่ 19 กันยายน 2549 ให้สัมภาษณ์ในรายการลับ ลวง พราง ทางคลื่นวิทยุ 100.5 เมกกะเฮิร์ต เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ถึงเพื่อนรัก “จปร.7” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ว่า ทุกคนมองว่า พล.ต.จำลองเป็นเพื่อนตาย แต่คนที่ตายคือตนฝ่ายเดียว เพราะ พล.ต.จำลอง ไม่เคยตายเพื่อนตน หลายเหตุการณ์ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาสร้างความเดือดร้อนให้ตลอด ความเป็นเพื่อน จปร.มีอยู่ แต่ถือว่าประเทศชาติต้องมาก่อนวันนี้

 

ผมโดนหลอกใช้ตลอด แม้แต่เพื่อนเอง ผมไม่เคยได้อะไรจากพล.ต.จำลองเลย ถือว่า เป็นชะตาชีวิต ฟ้าลิขิตมาแล้ว” พล.อ.พัลลภ กล่าว และว่า กรณีพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีอะไร จบแล้ว และขอให้ท่านเสียสละลาออก รับผิดชอบ รักษาองค์กรที่สำคัญของประเทศ อย่าใจแคบ ส่วนตัวตนยังเคารพพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษตลอดเวลา และไม่ว่าเจอที่ไหน จะไปกราบท่านทุกครั้ง"

 

ก่อนหน้านี้ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์และตอบคำถามที่บ้านพัก โชคชัย 4 ซอยลาดพร้าว 51 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ว่าอยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ

 

 

การวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ เป็นเรื่องจริงแต่ว่าเขา (พล.อ.สุรยุทธ์) ไม่เคยเชิญผมเข้าร่วมประชุม แต่เจ้าของบ้านที่สุขุมวิทเชิญผม และประชุมร่วมกัน ไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่ประชุมกัน 3-4 ครั้ง มีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไรโดยมี 2 แนวทางคือด้านรัฐธรรมนูญ หรือด้านกฎหมาย ถ้าไม่สำเร็จก็จะทำรัฐประหาร 


การทำรัฐประหารมีการพูดหรือไม่ว่าใครจะเป็นนายกฯ



ไม่ได้มีการพูดถึง เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เสนอขึ้นมาว่าการทำครั้งนี้ทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องไม่หวังตำแหน่งใดๆ ซึ่งทุกคนศรัทธาในตัวท่าน การหารือเป็นลักษณะโต๊ะกลม ซึ่งไม่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นั่งอยู่ด้วย



พล.อ.สุรยุทธ์บอกว่าไม่อยากเป็นนายกฯ แต่ คมช.เชิญให้ไปเป็น



คงต้องไปถามท่าน ผมเดาใจไม่ถูก เพราะทุกคนงงหมด ผมเองก็งง



แสดงว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นตัวตั้งตัวตีในการวางแผนล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
จะพูดว่าตัวตั้งตัวตีคงไม่ได้หรอก แต่ว่าการประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ จะมาทุกครั้ง



พอจะบอกได้หรือไม่ว่าคนที่เป็นแกนนำในการล้มรัฐบาลเป็นใคร
อัน นี้ผมบอกไม่ได้ เพราะว่าผมไม่อยากพาดพิงถึงคนอื่น แต่เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพาดพิงถึงผม ผมก็จะพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น ซึ่งการประชุม 3-4 ครั้ง ก็จะมีการพูดถึงแนวทางเรื่องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณตลอด ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นคนเสนอในที่ประชุมเองว่าการทำงานครั้งนี้ เราทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งลาภยศใดๆ
หลัง จากปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปเป็นนายกฯ ทำให้พวกเราผิดหวังมาก ตอนแรกก็ชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ มากเกี่ยวกับแนวความคิดดังกล่าว พูดง่ายๆ พล.อ.สุรยุทธ์ เสียสัจจะ กลายเป็นคนไม่มีสัจจะและผิดมติในที่ประชุม ในการพูดคุยกันวันนั้นมี 7 คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น หลังจากนั้นผมไม่พูดจากับ พล.อ.สุรยุทธ์อีกเลย เจอหน้ากันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผม



ในการพูดคุยมีการวางแผนอย่างไร
อย่าง แรกคือการวางแผนด้านกฎหมาย และการทำรัฐประหารว่าจะทำอย่างไร ที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านทราบหมดแล้ว แต่ท่านถามผมในลักษณะใช่หรือไม่ใช่ ยกตัวอย่างเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าให้ผมฟังคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุรยุทธ์ เชิญ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปพบที่บ้าน พล.ต.จำลอง แถวราชวัตร และล็อบบี้ให้ พล.อ.จาตุภัทร ถอนตัวออกจาก กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ซึ่ง พล.อ.จารุภัทรรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณรับทราบ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณไปหา พล.อ.สุรยุทธ์ที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ปฏิเสธ


พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต.ก็เคยได้รับเชิญไปที่บ้านสุขุมวิท เพื่อไปพบ พล.อ.สุรุยุทธ์ และล็อบบี้ให้ลาออกเพื่อล้มการเลือกตั้ง ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เป็นความลับ พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีตั้งแต่ต้นว่าจะมีการล้มรัฐบาล เพราะมีแหล่งข่าวที่ติดตามพวกที่เคลื่อนไหวทั้งหมด เพียงแต่มาสอบถามผมว่า เรื่องที่รู้มาจริงหรือไม่ เมื่อตอนที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่จีน


พ.ต.ท.ทักษิณ พุ่งเป้าไปที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เพื่อพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงใช่หรือไม่
ไม่ทราบ



พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตลอดเวลาว่าจะถูกปฏิวัติใช่หรือไม่
ท่าน รู้มาตลอดทุกเรื่อง แม้แต่แผนการปฏิวัติ เพียงแต่ไม่รู้ว่า ปฏิวัติเมื่อไร แต่ท่านประมาทเพราะไว้ใจคนใกล้ตัวและเพื่อน ตท.10 ที่คุมกำลังอยู่ในกองทัพ ที่ประชุมพูดกันเพียงว่า จะล้มรัฐบาล ส่วนการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มี การรัฐประหารโดยปกติจะต้องล็อคตัวนายกฯซึ่งคนละเรื่องกับการลอบสังหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการลอบสังหาร แต่อาจเป็นการเข้าชาร์จหรือล็อคตัวนายกฯ



ประเทศชาติจะมีทางออกอย่างไร
ที่ ผมตัดสินใจไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ คือเรื่องความวุ่นวายในบ้านเมือง ผมไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้สัมภาษณ์ว่าคนที่จะแก้ไขปัญหาได้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ผมอยากพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนี้เงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไป คือรัฐบาลตั้งขึ้นมาโดยไม่มีความชอบธรรมเพราะต้องให้เสียงข้างมากเป็นผู้จัด ตั้งรัฐบาล แต่นี่ล็อบบี้กันแบบงูเห่า


 

ผมอยากฝากไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าเพื่อรักษาสถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้ท่านควรจะลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพราะองคมนตรีต้องไม่ยุ่งกับการเมือง แต่ท่านเป็นคนที่เข้ามายุ่งกับการเมือง ดังนั้นเพื่อรักษาสถาบันอันสำคัญยิ่งไว้ ผมคิดว่าท่านควรจะต้องลาออก ในฐานะที่ผมเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และรุ่นพี่ ผมไม่มีอะไรกับท่านเลย


มองอย่างไร ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นองคมนตรี และไปรับตำแหน่งนายกฯ เมื่อเสร็จภารกิจก็ยังกลับมาเป็นองคมนตรีได้ ซึ่งคนมองว่าเป็นการมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
คนเขาพูดกันอยู่แล้ว ผมไม่ต้องพูด



การกลับไปครั้งนี้เป็นเพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ คอยเป็นแบ๊คหนุนใช่หรือไม่
ผมไม่อยากพูดเลยไปถึงนั้น ผมพูดเฉพาะ พล.อ.สุรยุทธ์ คนเดียวที่พาดพิงมาถึงผม คนอื่นผมไม่อยากพูด



มองอย่างไรที่มีการพูดพาดพิงองคมนตรี เพราะจะทำให้ภาพพจน์ของสถาบันดังกล่าวเสื่อมลง
ตอน ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เดินหน้าล้มการเลือกตั้ง ท่านบอกว่าไม่ได้ไปประชุม แต่ไปปรึกษาหารือ ซึ่งท่านเป็นองคมนตรีอยู่แล้วท่านเป็นคนดึงสถาบันนี้ลงมา ผมจึงขอฝากเรียนท่านวันนี้ว่า ให้ท่านลาออกเสียเถอะ เพื่อควบคุมสถาบันอันสำคัญยิ่งของประเทศไว้ด้วยความหวังดี ทั้งนี้ผมไม่เคยมีเรื่องอะไรกับท่าน เพียงแต่ผิดหวังที่ท่านเสียสัจจะ



มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองติดต่อให้ท่านหยุดพูดเรื่องนี้หรือไม่
ไม่ มี อย่างวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมมูลนิธิไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.) เขาแจ้งมาว่าคณะกรรมการไม่ครบขอเลื่อนไปก่อน จึงไม่ได้ไปประชุม



จุดยืนของท่านต่อสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้
จุด ยืนผมรับใช้ประเทศชาติ และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันมาโดยตลอด เมื่อหลายคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวที่จะแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้ ทำให้ผมผุดไอเดียขึ้นมา พอดีนายพิเชษฐ์ สถิรชวาล อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย และเป็นก๊วนกอล์ฟกับตน ชวนไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จีน จึงให้นายพิเชษฐ์ โทรศัพท์ไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้ผมเข้าพบ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่ายินดีให้ผมหารือ จึงเดินทางไปหา สาเหตุที่ผมไปพบ เพราะไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน ผมก็ถาม


 

พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร เหมือนเมื่อครั้ง 2540 ที่ผมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนั้นผมเป็นฝ่ายเสธฯของ ผบ.ทหารสูงสุด คือ พล.อ.วัฒนชัย วุฒิศิริ เราจึงมาคุยปรึกษาหารือกันว่าวันหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะต้องเป็นพรรครัฐบาล แต่ทุกคนรู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์กับทหารไม่ถูกกัน เพราะฉะนั้นคิดกันว่าเราจะเข้าไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ดีหรือไม่ อย่างน้อยก็จะไปเป็นตัวประสานให้ทหารกับพรรคประชาธิปัตย์ไปด้วยกัน ผมจึงสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 


บางคนกล่าวหาว่าผมไปรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ 3-4 พันล้านบาท ผมยืนยันได้ว่าที่ผมไปครั้งนี้ได้รองเท้ากอล์ฟมาเพียงคู่เดียว ซึ่งผมจะไปซื้อมาเล่นกอล์ฟ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าไม่ต้องออกเงิน ท่านจะออกให้ รวมทั้งจ่ายเงินค่าแคตดี้ และค่าที่พักให้เท่านั้น ตกเป็นเงินไทยไม่ถึง 5,000 บาท ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปรับเงิน เพราะผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปถึง 4 คน และเวลาคุยก็คุยด้วยกันทั้งหมด หากรับเงินจริงวันนี้ซื้อรถเบนซ์แล้ว



ในฐานะประชาชนจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร
ทุก คนอยากให้ประเทศชาติมีความมั่นคง ประชาชนอยู่อย่างสันติสุข มีความปรองดองในชาติ ทั้งนี้ถ้านิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเพียงแค่ไปเซ็นให้ภรรยาซื้อที่ดิน ต้องจำคุก 2 ปี ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติสู่ความมั่นคงประชาชนอยู่สันติสุขได้ ผมคิดว่าควรจะเลือกทางนั้น สมัยปี 2524 สมัยที่ผมนำกำลังทหารเข้ามาปฏิวัติ โทษของผมสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต ผมถูกข้อหากบฏ และขัดพระบรมราชโองการ ยังสามารถนิรโทษกรรมได้ ซึ่งแรงกว่ากันเยอะมาก



แสดงว่าควรจะนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวเพื่อให้ประเทศชาติกลับมาเกิดความมั่นคงอีกครั้ง
กี่ คนก็แล้วแต่ ถ้าทำแล้วทำให้ประเทศชาติกลับมาสมานฉันท์มีความมั่นคงประชาชนอยู่อย่างสันติ สุขผมคิดว่าควรทำ และต้องรีบทำด้วย เพราะวันนี้ไม่ใช่เฉพาะปัญหาความมั่นคง แต่มันเป็นปัญหาของเศรษฐกิจด้วย



ที่ จปร.7 ออกมาเคลื่อนไหว ทั้งตัวท่าน พล.ต.จำลอง และ พล.ต.มนูญกฤต มีนัยอะไรหรือไม่
คง เป็นฟ้าลิขิต แต่ยืนยันว่าเพื่อนก็คือเพื่อน แต่ประเทศชาติต้องมาก่อน ที่ผ่านมา จปร.7 แตกออกเป็น 2 พวก คือ กลุ่มยังเติร์ก กับทหารประชาธิปไตย แต่ส่วนใหญ่เลิกกันไปหมดแล้ว เหลือเพียง 3 คนเท่านั้น



มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่
โทร.คุย เมื่อสองวันที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ถามผมว่าสบายดีหรือไม่ ผมก็บอกว่าสบายดี ตอนนี้กำลังเล่นกอล์ฟอยู่ ไม่ได้คุยอะไรกันมาก และ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวขอโทษที่อ้างชื่อผม 



เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยืมมือ พล.อ.พัลลภ ฆ่าศัตรูอีกฝั่งหนึ่ง
ไม่ ใช่หรอก ผมบอกว่าไปขอพบท่าน แต่หากท่านขอพบผมอาจจะใช้ผมเป็นเครื่องมือ เงื่อนไขที่เกิดขึ้นคือรัฐบาลไม่ได้ขึ้นมาตามระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาแบบฉวยโอกาส วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคเก่าแก่ 63 ปี เป็นนายกฯ 4 สมัย ไม่ถึง 7 ปี เป็นฝ่ายค้าน 57 ปี แต่ละครั้งที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็เป็นแบบนี้


 

=======================

 

"พัลลภ" ยอมแถลงเปิดใจหมดเปลือก แผนโค่นล้มระบอบทักษิณ

 

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์เปิดใจเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ 19 ก.ย.2549 ว่า เป็นเรื่องจริง แต่ว่าพล.อ.สุรยุทธ์ ไม่เคยเชิญตนเข้าร่วมประชุม แต่เจ้าของบ้านที่สุขุมวิท เชิญตน และประชุมร่วมกัน ซึ่งไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่มีการประชุมกัน 3-4 ครั้ง ซึ่งมีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณว่า จะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไร โดยมี 2 แนวทาง คือ ทางด้านรัฐธรรมนูญ หรือทางด้านกฎหมาย ถ้าแนวทางแรกไม่สำเร็จก็จะทำรัฐประหาร 
           


เมื่อถามว่า การทำรัฐประหารมีการพูดหรือไม่ว่า ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "ไม่ได้มีการพูดถึง เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เสนอขึ้นมาว่า การทำครั้งนี้ ทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องไม่หวังตำแหน่งใด ๆ ซึ่งทุกคนศรัทธาในตัวท่าน ทั้งนี้ การหารือเป็นลักษณะโต๊ะกลม ซึ่งไม่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. นั่งอยู่ด้วย "

 

แฉ "สุรยุทธ์" เสียสัจจะ ที่บอกจะไม่เป็นนายกฯ

 

เมื่อถามว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ระบุว่า ไม่อยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ คมช.เชิญให้ไปเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "คงต้องไปถามท่าน ผมเดาใจไม่ถูก เพราะทุกคนงงหมด ผมก็งง" เมื่อถามว่า แสดงว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นตัวตั้งตัวตีในการวางแผนล้มรัฐบาล พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า จะ พูดว่าตัวตั้งตัวตีคงไม่ได้หรอก แต่ว่าการประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ จะมาทุกครั้ง เมื่อถามว่า พอจะบอกได้หรือไม่ว่า คนที่เป็นแกนนำในการล้มรัฐบาลเป็นใคร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า อันนี้ตนบอกไม่ได้ เพราะว่าตนไม่อยากพาดพิงถึงคนอื่น แต่เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพาดพิงถึงตน ตนก็จะพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น ซึ่ง การประชุม 3-4 ครั้ง ก็จะมีการพูดถึงแนวทางเรื่องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอด อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นคนเสนอในที่ประชุมเองว่า การทำงานครั้งนี้ เราทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งลาภยศใด ๆ

 

"หลังจากที่ปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้พูดง่าย ๆ พวกเราผิดหวังมาก และผมก็ผิดหวัง ตอนแรกก็ชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ มากเกี่ยวกับแนวความคิดดังกล่าว พูด ง่าย ๆ พล.อ.สุรยุทธ์  เสียสัจจะกลายเป็นคนไม่มีสัจจะและผิดมติในที่ประชุม แต่ท่านอ้างว่า ได้ประชุม ได้คุยกัน ซึ่งถือว่าเป็นการผิดมติในที่ประชุม ซึ่งในการพูดคุยในวันนั้นมีประมาณ 7 คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น ซึ่งหลังจากนั้น ผมไม่ได้พูดจากับพล.อ.สุรยุทธ์อีกเลย เจอหน้ากันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตน และเป็นนายทหารรุ่นน้อง สมัยที่ตนเป็นผบ.ค่ายสฤษดิ์เสนา ส่วนพล.อ.สุรยุทธ์ เป็นผู้บังคับหมวด" พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า

 

ย้ำ

 

เมื่อถามว่า ในการพูดคุยมีการวางแผนอย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "อย่างแรก คือการวางแผนทางด้านกฎหมาย และการทำรัฐประหารว่าจะทำอย่างไร ซึ่งการที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านทราบหมดแล้ว แต่ท่านถามตนในลักษณะใช่หรือไม่ใช่ ยกตัวอย่างเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าให้ผมฟังคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุรยุทธ์  มีครั้งหนึ่งที่เชิญ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต. ไป พบที่บ้าน พล.ต.จำลอง แถวราชวัตร และล็อบบี้ให้ พล.อ.จารุภัทร ถอนตัวออกจาก กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549  ซึ่งพล.อจารุภัทร รายงานให้พ.ต.ท.ทักษิณได้รับทราบ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณไปหา พล.อ.สุรยุทธ์ที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง แต่พล.อ.สุรยุทธ์ปฏิเสธ"


"เรื่องแบบนี้พล.ต.อ.วาสนา  เพิ่มลาภ อดีตประธานกกต.เคยได้รับเชิญไปที่บ้านสุขุมวิท เพื่อไปพบ พล.อ.สุรุยุทธ์ และล็อบบี้ให้ลาออกออกจากตำแหน่ง และล้มการเลือกตั้ง ดังนั้น เรื่องนี้ไม่เป็นความลับ พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีตั้งแต่ต้นว่า จะมีการล้มรัฐบาล เพราะ มีแหล่งข่าวที่ติดตามพวกที่เคลื่อนไหวทั้งหมดเพียงแต่มาสอบถามผม ว่า เรื่องที่รู้มาจริง หรือไม่ เมื่อตอนที่ผมเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณที่จีน" พล.อ.พัลลภกล่าว



เมื่อถามถึงความสัมพันธ์กับ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นอย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "ไม่เคยมีปัญหาอะไร ท่านเป็นลูกน้องผมถึง 6 รุ่น" เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พุ่งเป้าไปที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เพื่อพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงใช่หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "ไม่ทราบ" เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตลอดเวลาว่า จะถูกปฏิวัติใช่หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "ท่านรู้มาตลอดทุกเรื่อง แม้แต่แผนการปฏิวัติ ซึ่งไม่รู้ว่า ปฏิวัติเมื่อไร แต่ท่านประมาท เพราะไว้ใจคนใกล้ตัว และเพื่อนตท.10 ที่คุมกำลังอยู่ในกองทัพ"



" ส่วนการลอบสังหารพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มี ซึ่งการรัฐประหารโดยปกติจะต้องล็อกตัวนายกฯ ซึ่งคนละเรื่องกับการลอบสังหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการลอบสังหาร แต่อาจเป็นการเข้าชาร์จหรือ ล็อกตัวนายกฯ" เมื่อถามว่า เหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ออกมาพูดในช่วงนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้แผนการปฏิวัติมานานแล้ว พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "ท่านรู้มานานแล้ว แต่คงหาคนอ้างอิงไม่ได้ เผอิญผมเดินทางไปหาท่านพอดี จึงหาพยานเสียเลย "


 

อ้างเข้าหา "ทักษิณ" ไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน


เมื่อถามว่า จนถึงขณะนี้ประเทศชาติจะมีทางออกอย่างไร เมื่อมีกลุ่มเสื้อแดงออกมาชุมนุม พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ที่ ตนตัดสินใจไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ คือเรื่องความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งตนไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน เกิดสงครามการเมือง ซึ่งมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้สัมภาษณ์ว่า คนที่จะแก้ไขปัญหาได้คือพ.ต.ท.ทักษิณ จึงทำให้ตนอยากพบพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนี้เงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไป คือ รัฐบาลตั้งขึ้นมาโดยไม่มีความชอบธรรม เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เพราะต้องให้เสียงข้างมากเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่นี่เป็นการล็อบบี้กันแบบงูเห่า ซึ่งมองว่า ไม่ถูกต้อง เพราะควรให้เสียงข้างมากตั้งก่อน หากเขาตั้งไม่ได้ ตัวเองจึงจะค่อยตั้ง แต่เป็นการชิงตั้งก่อน



เมื่อถามว่า เหตุการณ์จะยุติอย่างไร  พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนก็มองไม่ออกว่าเหตุการณ์จะยุติอย่างไร เมื่อถามว่า มีทางหรือไม่ที่รัฐบาลจะยอมลาออก เพื่อให้ประเทศชาติเดินต่อไปได้ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนไม่รู้ เพราะไม่ได้คุยกับใครเลย เมื่อถามว่าประเมินสถานการณ์จะมีความรุนแรงหรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า อยู่ที่จุดมุ่งหมายว่าเขาต้องการทำอะไร พูดง่าย ๆแบบพฤษภาทมิฬ เมื่อ พล.ต.จำลอง โดนจับ และตนเป็นคนนำ และเกิดเหตุการณ์นักศึกษาตีตำรวจบาดเจ็บเราจึงเข้าไปช่วยนักศึกษา ตีตำรวจ จึงเกิดเหตุการณ์ขึ้น ต้องดูว่าวันนี้จะเกิดแบบนี้หรือไม่ ถ้ารัฐบาลใช้ความรุนแรงก็จะต้องเกิดขึ้นแน่ ซึ่งตนไม่อยากเห็นคนไทยฆ่าคนไทย เพราะในชีวิตตนผ่านเรื่องนี้มาเยอะ



ขอให้ "สุรยุทธ์" ลาออกจากองคมนตรี เพื่อรักษาสถาบัน



เมื่อถามว่า หากมีการเผาสถานที่ราชการมีการยั่วยุให้เกิดการปะทะกันหรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ตนไม่รู้ เพราะตนไม่เคยยุ่งกับเขา และเขาจะเดินขนาดไหน เมื่อถามว่า ในฐานะอดีตทหารเก่ามองภาพผู้นำกองทัพตอนนี้อย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนเป็นทหารรุ่นพี่ของเขา ตนไม่อยากวิจารณ์ เพราะคนที่เป็นผู้นำเหล่าทัพส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ตนทั้งนั้น ตนเหมือนกับบิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ที่ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ตนยึดถือตรงนี้เพราะตนเคารพท่านมาก ทั้งนี้ตนคิดว่าทหารจะต้องยืนอยู่เคียงข้างประชาชน คือยึดถือความมั่นคงของประเทศชาติ และความสันติของประชาชนเป็นหลัก



ผมอยากฝากไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าเพื่อรักษาสถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้ ท่านควรจะลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพราะองคมนตรีต้องไม่ยุ่งกับการเมือง แต่ท่านเป็นคนที่เข้ามายุ่งกับการเมือง ดังนั้น เพื่อรักษาสถาบันอันสำคัญยิ่งไว้ ผมคิดว่าท่านควรจะต้องลาออกในฐานะที่ผมเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และรุ่นพี่ ผมไม่มีอะไรกับท่านเลย” พล.อ.พัลลภ กล่าว


 

เมื่อถามว่า มองอย่างไร ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นองคมนตรี และไปรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อเสร็จภารกิจก็ยังกลับมาเป็นองคมนตรีได้ ซึ่งคนมองว่าเป็นการมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า คนเขาพูดกันอยู่แล้ว ตนไม่ต้องพูด เมื่อถามว่า การกลับไปกลับครั้งนี้เป็นเพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ คอยเป็นแบล็กหนุนใช่หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนไม่อยากพูดเลยไปถึงนั้น วันนั้นตนพูดเฉพาะ พล.อ.สุรยุทธ์ คนเดียวที่มีการพาดพิงมาถึงตน คนอื่นตนไม่อยากพูด


เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่มีการพูดพาดพิงองคมนตรี เพราะจะทำให้ภาพพจน์ของสถาบันดังกล่าวเสื่อมลง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตอนที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เดินหน้าล้มการเลือกตั้ง ซึ่งท่านบอกว่าไม่ได้ไปประชุมแต่ไปปรึกษาหารือ ซึ่งท่านเป็นองคมนตรีอยู่แล้วท่านเป็นคนดึงสถาบันนี้ลงมา ตนจึงขอฝากเรียนท่านวันนี้ว่า ให้ท่านลาออกเสียเถอะ เพื่อควบคุมสถาบันอันสำคัญยิ่งของประเทศไว้ด้วยความหวังดี ทั้งนี้ตนไม่เคยมีเรื่องอะไรกับท่าน เพียงแต่ผิดหวังที่ท่านเสียสัจจะ



เมื่อถามว่า ขณะนี้มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองติดต่อให้ท่านหยุดพูดเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่มี อย่างวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมมูลนิธิไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.)  เขาแจ้งมาว่าคณะกรรมการไม่ครบขอเลื่อนไปก่อน จึงไม่ได้ไปประชุม เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก จะทำเชิญท่านไปหารือเพื่อขอให้หยุดพูดเรื่องนี้นั้น พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่มีจริง ๆ ไม่รู้เรื่อง มีแต่ข่าวเท่านั้น



เมื่อถามถึงจุดยืนของ พล.อ.พัลลภ ต่อสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า จุดยืนตนรับใช้ประเทศชาติ และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันมาโดยตลอด ตนยืนยันว่า การไปประเทศจีน เมื่อหลายคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศชาติได้ ทำให้ตนผุดไอเดียวขึ้นมา พอดี นายพิเชษฐ์ สถิรชัชวาลย์ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย และเป็นก๊วนกอล์ฟกับตน ไปชวนไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เมืองจีน จึงให้ นายพิเชษฐ์ โทรศัพท์ไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้ตนเข้าพบ ท่านจึงโทรศัพท์ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่ายินดีให้ตนมาหารือ จึงได้เดินทางไปหา ทั้งนี้สาเหตุที่ตนไปพบ เพราะไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน ซึ่งตนก็ถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร เหมือนเมื่อครั้ง 2540 ที่ตนเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนั้นตนเป็นฝ่ายเสธฯของ ผบ.ทหารสูงสุด คือ พล.อ.วัฒนชัย วุฒิศิริ  เราจึงมาคุยปรึกษาหารือกันว่าวันหนึ่ง พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเป็นพรรครัฐบาล แต่ทุกคนรู้ว่า พรรคประชาธิปัตย์กับทหารไม่ถูกกัน เพราะฉะนั้นคิดกันว่าเราจะเข้าไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ดีหรือไม่  อย่างน้อยก็จะไปเป็นตัวประสานให้ทหารกับพรรคประชาธิปัตย์ไปด้วยกัน ตนจึงสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 



บางคนกล่าวหาว่าผมไปรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ 3,000 – 4,000 ล้านบาท ผมยืนยันได้ว่าที่ผมไปครั้งนี้ได้รองเท้ากอล์ฟมาเพียงคู่เดียว ซึ่งผมจะไปซื้อรองเท้ามาเล่นกอล์ฟ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าไม่ต้องออกเงิน ท่านจะออกให้ รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้จ่ายเงินค่าแคตดี้ และค่าที่พักให้เท่านั้น ตกเป็นเงินไทยไม่ถึง 5,000 บาท ทั้งนี้ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปรับเงิน เพราะผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปถึง 4 คน  และเวลาคุยก็คุยด้วยกันทั้งหมด หากรับเงินจริงวันนี้ซื้อรถเบนซ์แล้ว“ พล.อ.พัลลภ กล่าว



เมื่อถามว่า ในฐานะประชาชนจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ทุกคนอยากให้ประเทศชาติมีความมั่นคง ประชาชนอยู่อย่างสันติสุข มีความปรองดองในชาติ ทั้งนี้ถ้านิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ  เพียงแต่ไปเซ็นต์ให้ภรรยาซื้อที่ดิน และจำคุก 2 ปี จะทำให้ประเทศชาติสู่ความมั่นคงประชาชนอยู่สันติสุขได้ ตนคิดว่าควรจะเลือกทางนั้น สมัยปี 2524 สมัยที่ตนเป็นผู้การฯ และนำกำลังทหารเข้ามาปฏิวัติโทษของตนสูงสุดขั้นถึงประหารชีวิต ตนถูกข้อหากบฏ และขัดพระบรมราชโองการ ยังสามารถนิรโทษกรรมได้ ซึ่งแรงกว่ากันเยอะมาก



เมื่อถามว่า แสดงว่าควรจะนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวเพื่อให้ประเทศชาติกลับมาเกิดความมั่นคงอีกครั้ง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า กี่คนก็แล้วแต่ ถ้าทำแล้วทำให้ประเทศชาติกลับมาสมานฉันท์มีความมั่นคงประชาชนอยู่อย่างสันติ สุขตนคิดว่าควรทำ และต้องรีบทำด้วย เพราะวันนี้ไม่ใช่เฉพาะปัญหาความมั่นคง แต่มันเป็นปัญหาของเศรษฐกิจด้วย ส่วนการที่ จปร. 7 ออกมาเคลื่อนไหว ทั้งตัวท่าน พล.ต.จำลอง และ พล.ต.มนูญกฤต มีนัยอะไรหรือไม่นั้น คงเป็นฟ้าลิขิต แต่ยืนยันว่าเพื่อนก็คือเพื่อน แต่ประเทศชาติต้องมาก่อน ทั้งนี้ที่ผ่านมา จปร.7 แตกออกเป็น 2 พวก คือ กลุ่มยังเติร์ก กับทหารประชาธิปไตย แต่ส่วนใหญ่เลิกกันไปหมดแล้วเหลือเพียง 3 คนเท่านั้น



เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า  โทรคุยเมื่อสองวันที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ถามว่าตนสบายดีหรือไม่ ตนก็บอกว่าสบายดีตอนนี้กำลังเล่นกอล์ฟอยู่ ไม่ได้คุยอะไรกันมาก ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวขอโทษที่อ้างชื่อตน  เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ยืมมือ พล.อ.พัลลภ ฆ่าศัตรูอีกฝั่งหนึ่ง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่ใช่หรอก ตนบอกว่าไปขอพบท่าน แต่หากท่านขอพบตนอาจจะใช้ตนเป็นเครื่องมือ เงื่อนไขที่เกิดขึ้นคือรัฐบาลไม่ได้ขึ้นมาตามระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาแบบฉวยโอกาส วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคเก่าแก่ 63 ปี เป็นนายกฯ 4 สมัย ไม่ถึง 7 เป็นฝ่ายค้าน 57 ปี ซึ่งแต่ละครั้งที่ขึ้นมาเป็น