Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พระพยอมเตือนนักกฎหมายต้องระวังเหยียบย่ำกฎหมายเอง

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 369 วันที่ 21-27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 หน้า 26 คอลัมน์ พระพยอมวันนี้ โดย พระพยอม กัลยาโณ



การพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อหลายวันก่อน แม้จะวินิจฉัยให้ยกคำร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เป็นการล้มล้างการปกครอง แต่นึกไม่ถึงว่าผลพวงจากการตัดสินครั้งนี้จะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย

อาตมาอยู่ต่างจังหวัดก็ยังได้ยิน มีทั้งเสียงจากชาวบ้าน เสียงจากข้าราชการที่มาบ่นให้ฟัง แสดงความไม่เห็นด้วย เหมือนออกอาการไม่เชื่อฟัง กลัวว่าถ้ากระบวนการยุติธรรมยังทำให้สังคมรู้สึกเคลือบแคลงเช่นนี้ สักวันหนึ่งคนจะไม่มีความเชื่อถือและเกิดเป็นอารยะขัดขืน อาตมาเกิดมา 60 ปี ยังไม่เคยเห็นคนไทยมีปฏิกิริยาต่อกระบวนการศาลยุติธรรมจนต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันเยอะขนาดนี้ ซึ่งแต่ก่อนหากไม่ถูกใจ ไม่ชอบ ก็ยังนิ่งๆ ไม่เถียง ไม่วิจารณ์

สิ่งเหล่านี้ทำให้นึกถึงอนาคตของกระบวนการยุติธรรมว่าหากทำให้ประชาชนเคลือบแคลงแบบนี้มากขึ้นจะไม่มีอะไรเป็นข้อยุติของคดีความ เพราะวันนี้มีทั้งนักวิชาการ นักกฎหมาย รวมทั้งตำรวจออกมาแสดงความเห็นว่าการตีความของศาลรัฐธรรมนูธแฉลบไปแฉลบมา เพราะฟังครั้งแรกก็คิดว่าน่าจะพอใจที่อย่างน้อยปัญหาอะไรต่างๆจะได้ไม่ลุกลาม ยังมีความสงบอยู่ แถมยังได้รับคำขอบคุณจากพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ แต่พอทุกคนตั้งสติได้ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเรื่องที่ศาลแสดงความเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับทำได้ แต่ควรทำประชามติก่อน

ประเด็นที่พูดกันมากที่สุดคือ ตกลงแล้วศาลรัฐธรรมนูญใหญ่ที่สุด ใหญ่กว่าประชาชนอีกหรือ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเชื่อว่าคงจะต้องมีการดื้อดึง การไม่ยอมรับจะเกิดมากขึ้น

แต่ก่อนคนเรายังพอจะมีเลือดของพันท้ายนรสิงห์อยู่บ้าง คือผิดก็ยอมรับผิด แต่ถึงจะไม่ผิด หากทำแล้วบ้านเมืองสงบก็จะทำ แต่ยุคนี้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป เลือดพันท้ายฯก็เลยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าสถาบันใดก็ตามหากทำอะไรโดยที่ไม่เห็นใจประชาชนแล้ว อารมณ์ประชาชนอาจปั่นป่วน

อาตมาเคยได้รับประสบการณ์เรื่องแบบนี้เช่นกัน แม้จะผ่านมาหลายปีแต่ยังจำได้ กับการตัดสินที่ไม่ชัดเจน กรณีที่ดินวัดสวนแก้ว (โฉนดถุงกล้วยแขก) ที่ตอนแรกวินิฉัยสั่งให้กรมที่ดินออกโฉนดตามคำร้องขอของผู้ร้องที่ได้ครอบครองปรปักษ์ในที่ดินแปลงดังกล่าว จนสามารถทำการซื้อขายกันได้ ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการ มีการโอนและเสียค่าธรรมเนียมการโอนและภาษีเรียบร้อย สุดท้ายกลับมีคำวินิฉัยออกมาใหม่ว่าให้วัดคืนที่ดินแปลงที่ซื้อมากลับไปให้เจ้าของเดิม โดยอ้างว่าผู้ร้องครอบครองปรกปักษ์ได้ที่ดินมาโดยไม่ถูกต้อง หรือใช้เทคนิคภาษากฎหมายพูดให้งงว่าผู้โอนย่อมมีสิทธิเหนือผู้รับโอน

ถามว่าผลเสียหายเป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาทเศษ ใครเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะไม่มีใครผิด ทั้งผู้สั่งให้ออกโฉนด ผู้ออกโฉนด ผู้นำโฉนดมาขาย ไม่มีใครผิด คนผิดอยู่ที่ผู้ซื้อคือมูลนิธิวัดสวนแก้ว

จากเหตุการณ์ครั้งนั้นอาตมาก็เคยคิดเหมือนกันว่าต่อไปกระบวนการยุติธรรมบ้านเราคงระส่ำระสายแน่ๆ ตราบใดที่ยังพยายามใช้เทคนิคด้านกฎหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด อาตมาจะพูดต่อก็คงลำบาก เดี๋ยวจะถูกข้อกล่าวหาหมิ่นศาล เพราะศาลมีอำนาจมากว่าความคิดเห็นของประชาชน

อยากบอกผ่านไปว่าใครที่อยู่ในวงการนักกฎหมายควรระวัง เพราะท่านอาจเป็นผู้ที่เหยียบกฎหมายกันเองโดยไม่รู้ตัว หากไม่ระวังก็บอกได้คำเดียวว่าแล้วแต่เวรแต่กรรมของประเทศ

เจริญพร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น