ในสมัยกลางของยุโรป เมื่อคริสต์ศาสนายังคงเป็นความคิดอันครอบงำชนชั้นปกครองและพระชั้นสูงในสมัยนั้น รักษาอำนาจโดยการอ้างอิงตนเองว่าเป็นผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าอันแท้จริง และกล่าวหาคนที่คิดต่างว่าเป็นพวกแม่มด ต้องถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็น ผลจากกรณีนี้ทำให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากถูกสอบสวนและถูกลงโทษ เมื่อเวลาผ่านไปมาตรการล่าแม่มดเช่นนี้ถือเป็นมาตรการป่าเถื่อน จึงถูกยกเลิก เสรีภาพในด้านความคิดความเชื่อจึงเป็นที่ยอมรับ และชาวยุโรปก็เลิกบังคับให้คนคิดและศรัทธาในแบบเดียวกัน
แต่ในกรณีของประเทศไทย การล่าแม่มดยังคงดำเนินการอยู่ กรณีล่าสุดเริ่มต้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยกรณีที่ศาลเองไปละเมิดอำนาจนิติบัญญัติด้วยการใช้คำสั่งให้รัฐสภายุติการพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ที่จะต้องมีการลงมติในวาระที่ 3 ในวันนั้นกลุ่มประชาชนฝ่ายขวาหลายกลุ่มที่ให้การสนับสนุนศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกตนเองว่ากองทัพปลดแอกประชาชนได้ไปชุมนุมกันบริเวณด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยอ้างเหตุผลว่าจะปกป้องศาล ซึ่งในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็เสนอข้อวินิจฉัยอันไร้สาระออกมาชุดหนึ่ง แต่ปัญหาของเหตุการณ์ไม่ได้อยู่ที่คำวินิจฉัย หากแต่อยู่ที่เหตุการณ์หน้าศาล ดังที่เอเอสทีวีรายงานว่า
“ในระหว่างที่กลุ่มกองทัพปลดแอกประชาชนจะให้สื่อมวลชนบันทึกภาพในพิธีอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาร่วมในการบันทึกภาพ ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อมีหญิงสูงอายุคนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลังคือ นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ อายุ 63 ปี ได้เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาตรงไปยังผู้ที่อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อนจะกระทำการอันมิบังควรกับพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งผู้ถือได้ชูอยู่เหนือศีรษะ สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก”
เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นที่มาของการล่าแม่มดครั้งใหม่ เพราะกลุ่มพลังฝ่ายขวาทั้งหลายถือโอกาสนำมาเป็นเรื่องสร้างกระแสติดตามและสำแดงพลังคุกคาม โดยส่วนหนึ่งนำเรื่องนี้มาโจมตีกล่าวหาฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และโจมตีไปถึง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวหาว่าไม่สนใจติดตามตัวนางฐิตินันท์มาดำเนินคดี แม้จะมีรายงานข่าวว่านางฐิตินันท์เป็นบุคคลไม่ปรกติ มีอาการทางประสาท ทั้งเป็นผู้สูงอายุแล้ว แต่กลุ่มฝ่ายขวาก็ยังไม่ละเว้น ยังคงกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเล่นงานนางฐิตินันท์ให้เป็นเหยื่อกรณี 112 อย่างปราศจากความเมตตา และยังโจมตีไปถึงสื่อกระแสหลัก เช่น ไทยรัฐ มติชน และโทรทัศน์ช่องต่างๆ รวมถึงรายการของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่ามิได้อนาทรร้อนใจต่อพฤติกรรมมิบังควรของหญิงชรารายนี้
เหตุผลในการติดตามไล่ล่านางฐิตินันท์ครั้งนี้ กลุ่มฝ่ายขวาก็กระทำเช่นเดิมคือโจมตีนางฐิตินันท์ว่าเป็นคนชั่ว หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการนำรูปมาขึ้นปกแล้วเปรียบเทียบว่าเป็น “เห็บหมา” พวกฝ่ายขวาพยายามอ้างตนเองว่าเป็นผู้มีความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้งยิ่งกว่าใคร และได้แสดงความเห็นในทางที่ไม่เชื่อว่านางฐิตินันท์เป็นผู้มีอาการป่วย แต่กล่าวหาว่าทางการตำรวจใช้ข้ออ้างนี้ในทางที่จะไม่ดำเนินคดี เช่น ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายขวาได้นำหุ่นแทนตัว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ใส่โลงศพจำลองมายังบริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนทำการฌาปนกิจด้วยการฉีดสารเคมีแทนการเผาหุ่น เพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่ต้องการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ไม่ดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ในการติดตามไล่ล่าแม่มดครั้งนี้ได้นำประวัติของนางฐิตินันท์มาเปิดเผยว่าเป็นชาวอำเภอพล จังหวัดขอนแก่น และเปิดร้านอาหารที่เมืองไครส์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ อ้างกันว่ามีเฟซบุ๊คในโลกไซเบอร์ และมีการกดไลค์เพจของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นเพื่อนกับนายอดิศร เพียงเกษ และนายขวัญชัย ไพรพนา มีรายการดนตรีโปรดปรานคือ นายวิสา คัญทัพ และยังคลิกไลค์เพจ “รวมพลังสนับสนุนการทำงานของ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง” ทั้งที่ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นพฤติกรรมอันผิดกฎหมายแต่อย่างใด
กรณีที่คุกคามอย่างมากคือเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม กลุ่มฝ่ายขวาจำนวนหนึ่งได้ไปรวมกลุ่มกันถึงสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อมีข่าวว่านางฐิตินันท์จะเดินทางกลับนิวซีแลนด์ ผู้ชุมนุมฝ่ายขวาอ้างว่าต้องการไปยุติการเดินทาง เพราะทราบมาว่านางฐิตินันท์จะเดินทางด้วยเครื่องบินของการบินไทยในเวลา 18.40 น. และบางกระแสข่าวระบุว่ากัปตันของการบินไทยที่ทำหน้าที่ในไฟลท์บินดังกล่าวประกาศว่าเขาและลูกเรือจะไม่ทำการบินหากนางฐิตินันท์มีรายชื่อเป็นผู้โดยสาร เพราะถือว่าเป็นบุคคลวิกลจริต เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมสถานการณ์อยู่จึงบอกต่อประชาชนที่มาประท้วงว่านางฐิตินันท์ไม่ได้มาเช็กอิน แต่อยู่โรงพยาบาล เมื่อแน่ใจว่านางฐิตินันท์ไม่ได้เดินทางกลับนิวซีแลนด์ ประชาชนที่ไปรวมตัวดักรอนางฐิตินันท์จึงสลายตัวในเวลาต่อมา
ปรากฏว่า พ.ต.อ.พงษ์ สังข์มุรินทร์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง ยืนยันว่า ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อนางฐิตินันท์แล้ว พร้อมควบคุมตัวส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา เนื่องจากมีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว ต่อมาได้นำตัวส่งสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์และอายัดตัวไว้เพื่อตรวจสอบสภาพจิต จึงไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ประกอบกับพาสปอร์ตของนางฐิตินันท์ยังอยู่กับพนักงานสอบสวน ส่วนตั๋วเครื่องบินเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์เป็นการซื้อตั๋วแบบไป-กลับราคาประหยัด หากไม่ได้เดินทางจะเป็นการยกเลิกไปโดยปริยาย และมีการสอบปากคำพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ไปแล้ว 3 ปาก รวมถึงสอบปากคำสามีและบุตรชายของนางฐิตินันท์ ซึ่งระบุว่าช่วงหลังนางฐิตินันท์ไม่ค่อยรับประทานยา พร้อมนำตัวอย่างยามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย
กรณีนี้จึงอธิบายได้ว่านางฐิตินันท์ได้ตกเป็นเหยื่ออีกกรณีหนึ่งของมาตรา 112 ที่เริ่มต้นจากฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่อ้างเอาสีเหลืองของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มตน เพื่ออ้างอิงผูกขาดความภักดีและใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นเครื่องมือในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับบุคคลที่มีความคิดต่าง
ต่อมาในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการขานรับการดำเนินการของฝ่ายเสื้อเหลือง โดยกวาดจับประชาชนจำนวนมากในข้อหาความผิดตามมาตรา 112 พร้อมกันนั้นสื่อมวลชนของฝ่ายเสื้อเหลืองและพรรคประชาธิปัตย์ยังใช้วิธีปลุกระดมประชาชนให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังผู้ที่มีความคิดต่าง โดยดึงเอาสถาบันเบื้องสูงมาเป็นข้ออ้างตลอดเวลา ในระยะที่ผ่านมาจึงมีผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องตกเป็นเหยื่อตามข้อกล่าวหาในมาตรานี้ ตัวอย่างเช่นกรณีของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และคนอื่นๆอีกหลายคน ทั้งมีผู้บริสุทธิ์ที่ถูกขังจนถึงแก่กรรมในคุกมาแล้ว เช่นกรณีนายอำพล ตั้งนพกุล
ปัญหาคือการเคลื่อนไหวปลุกเร้าประชาชนในลักษณะนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดพุทธิปัญญาแต่อย่างใด และยิ่งไม่เป็นผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่กลับยิ่งทำให้เกิดความงมงายคับแคบ คิดและศรัทธาแบบเดียวตายตัว เห็นคนที่คิดต่างเป็นศัตรูที่ต้องกวาดล้างทำลาย ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2519 กลุ่มฝ่ายขวาในสมัยนั้นก็ดำเนินการลักษณะเดียวกันในการปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิดและความเกลียดชังต่อขบวนการนักศึกษา โดยกล่าวหาว่าเป็นพวกที่ไม่จงรักภักดี ซึ่งผลจากการเคลื่อนไหวปลุกระดมนำมาสู่การฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากในกรณี 6 ตุลาคม ซึ่งเป็นรอยมลทินครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน
คำถามก็คือ ถ้าคิดอย่างมีสติแล้วสังคมไทยจะได้คุณประโยชน์อย่างใดหรือถ้าจะต้องจับเอาผู้สูงอายุเช่นนางฐิตินันท์มาเป็นจำเลย หรือต้องถูกจำคุกต่อแถวอีกคนหนึ่งในจำนวนนักโทษการเมืองผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น