Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

‘อำนาจที่สี่’ประชาธิปไตยแบบไทยๆความวุ่นวายแห่งแผ่นดินที่ไม่รู้จักจบ


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 367 วันที่ 7-13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 หน้า 11 คอลัมน์ กรีดกระบี่บนสายธาร โดย เรืองยศ จันทคีรี


ตามที่เราเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาจนถึงตำราทางรัฐศาสตร์ระดับอุดมศึกษาว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน แล้วยังจำแนกอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่ายที่เป็นอิสระต่อกัน รวมทั้งเป็นอำนาจที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ผ่านทั้งอำนาจบริหาร ซึ่งเป็นของรัฐบาล อำนาจนิติบัญญัติผ่านรัฐสภา และอำนาจตุลาการผ่านศาลยุติธรรม

นั่นคือหลักการเบื้องต้นที่ได้รับการยอมรับและเคารพกันมาโดยตลอด ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ภายใต้ระบอบการปกครองเช่นนี้ เมื่อนักวิชาการได้เลาะตะเข็บประวัติศาสตร์การเมืองย้อนกลับไปจนถึงปี 2475 คลำดูปมการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งกลับปรากฏว่าไม่เป็นไปตามขั้นตอนประชาธิปไตย

อาจทำให้เราต้องสรุปใหม่จากบทเรียนประชาธิปไตยนแบบฉบับไทยๆว่า แท้จริงแล้วความวุ่นวายและขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้น นอกจากมีเหตุผลมาจากอำนาจทั้ง 3 ที่เกิดความไม่สมดุลกันในระบบ เป็นเหตุของการบิดเบี้ยวทางอำนาจ เกิดความขัดแย้งขึ้นมาในวงจรการเมือง จนกระทั่งส่งผลกระทบให้ความขัดแย้งนั้นกลายเป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งในรูปแบบไม่ปรกติ และมีการเปลี่ยนผ่านในรูปแบบการปฏิวัติรัฐประหารที่เป็นวงจรอุบาทว์มาโดยตลอด รวมทั้งครั้งล่าสุดในปี 2549 ที่กลายเป็นผลสืบเนื่องจนปัจจุบันนี้ และยากจะพยากรณ์ว่าความวุ่นวายจะถูกผลักดันให้ไปบรรจบลงในลักษณะเช่นใด จะเกิดความขัดแย้งจนเกิดความวุ่นวายและนองเลือดขึ้นมาในบ้านเมืองอีกครั้งหรือไม่?

นอกจากอำนาจทั้ง 3 ที่ไม่เป็นไปตามหลักการแล้ว เมื่อเลาะตะเข็บประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปหาสาเหตุของความวุ่นวายนี้ ทำให้เราได้รับรู้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมอีกประการว่า สาเหตุหลักอีกข้อที่เป็นปัจจัยสำคัญส่งเสริมให้เกิดการแย่งชิงอำนาจในสังคมไทยนั้น นอกจากอำนาจไม่อยู่ในที่ที่ควรจะเป็น ประชาธิปไตยในแบบไทยๆก็ไม่ได้มีเพียง 3 อำนาจอธิปไตยเท่านั้น แต่มีอำนาจเจ้าเล่ห์และฉ้อฉลอีกอำนาจหนึ่งที่กลายเป็นเงาดำมืดคอยทรยศหักหลังการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด

อำนาจเจ้าเล่ห์นี้ได้แก่ อำนาจแฝงของชนชั้นสูงที่พยายามสืบทอดให้ประเทศไทยคงอยู่ในระบอบการปกครองแบบโบราณยาวนานที่สุดเท่าที่จะสามารถผลักดันได้ โดยปัจจุบันเรารู้จักในนามของอำนาจในระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นลักษณะของอำนาจแฝงเร้นในสังคมที่ไม่ใช่เพียงใช้ผ่านคณะรัฐบาล รัฐสภา หรือคณะตุลาการเท่านั้น แต่ยังสามารถบูรณาการอยู่เบื้องหลังผลักดันให้อำนาจทั้ง 3 ในระบอบประชาธิปไตยต้องบิดเบี้ยวเพื่อรับใช้ตามเจตจำนงของอำนาจแฝงดังกล่าว โดยใช้ผ่านการผลักดันของเหล่าขุนศึกที่คอยรับใช้ด้วยการทำปฏิวัติรัฐประหาร

จึงกล่าวได้ว่าอำนาจอธิปไตยแบบไทยๆมี 4 อำนาจ ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ และอำนาจแฝงโดยขุนศึก มาถึงปัจจุบันสภาพของอำนาจแฝงได้เปลี่ยนมิติไป แต่ไม่ได้หมายความว่าอำนาจอธิปไตยจะอยู่ในมือของปวงชนแต่อย่างใด 3 อำนาจในหลักการประชาธิปไตยแท้จริงยังสามารถอยู่ใต้บงการอิทธิพลเงามืดของฝ่ายอำมาตย์ เพราะอิทธิพลอำมาตย์สามารถแทรกแซงทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ในหลายกลไก แม้กระทั่งกลไกของพรรคการเมือง บ่อยครั้งที่รัฐบาลที่บริหารชาติบ้านมืองอยู่ภายใต้การชี้นำของอำมาตย์เหล่านี้

มาจนถึงวันนี้อำนาจแฝงดูจะไม่นิยมใช้ผ่านอิทธิพลของขุนศึกอีก เนื่องจากการใช้อำนาจผ่านอิทธิพลของขุนศึกนั้นค่อนข้างเป็นอำนาจทางตรงที่แข็งกระด้างจนเกินไป กลุ่มอำมาตย์จึงนิยมใช้อำนาจแฝงในมิติใหม่ ซึ่งเรารู้จักกันในนามของอำนาจตุลาการภิวัฒน์อย่างที่เราประจักษ์กันดีอยู่แล้วว่าอำนาจแฝงในปัจจุบันเลือกใช้ผ่านบรรดาองค์กรอิสระและองค์กรตรวจสอบต่างๆที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญเผด็จการ 2550 อำนาจแฝงเหล่านี้สามารถเคลื่อนสู่หนทางปฏิบัติได้ด้วยการยึดโยงจากรากเหง้าของต้นไม้พิษ

สรุปได้ว่าบรรดาองค์กรอิสระและองค์กรตรวจสอบต่างๆจากการปฏิวัติปี 2549 ล้วนเป็นกลไกที่สืบทอดทำให้อำนาจแฝงสามารถผลักดันและสร้างอิทธิพลขึ้นมาได้ จนวันนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยังต้องเผชิญเวรเผชิญกรรมอยู่ เพราะอำนาจแฝงที่แสดงผ่านกลไกของผลไม้พิษทั้งหลายทั้งปวง

ประชาธิปไตยของไทยไม่มีทางจะเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์แบบ ตราบใดที่ยังมีอำนาจแฝงซ่อนอยู่ในองค์กรอิสระและองค์กรตรวจสอบต่างๆคอยชักโยงให้อำนาจหลักต้องพลอยบิดเบี้ยวไปตามอิทธิพล นี่คือต้นตอที่ทำให้สังคมไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ขาดหลักการ ขาดระบบ และขาดความยุติธรรมต่างๆ

หากไม่กำจัดอำนาจแฝงเหล่านี้ให้หมดไป วงจรอุบาทว์ในแบบใหม่ๆก็จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในสังคมไทย มิใช่เพียงในรูปแบบของการปฏิวัติรัฐประหารเท่านั้น แต่ภายใต้ระบบประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทยๆยังเป็นระบอบที่มีลักษณะบ่อนทำลายอำนาจอธิปไตยทั้ง 3

จึงเป็นเหตุแห่งโรคหรือเย ธัมมา สำหรับสังคมพิการแบบไทยๆ สมมุติฐานของโรคจึงอยู่ ณ จุดนี้ ถ้าสมมุติฐานไม่ถูกตัดให้ขาดหายไป โรคก็ยังคงอยู่กับสังคมไทยอีกยาวนาน จะรอให้โรคลามเข้ากระแสโลหิตอย่างไม่รู้จบอย่างนั้นหรือ เพราะร้ายกาจยิ่งกว่ามะเร็งเสียอีก อำนาจแฝงขององค์กรอิสระจึงต้องแก้ไขเพื่อสร้างความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงให้ได้

นี่คือยุทธศาสตร์ที่นักต่อสู้ทางประชาธิปไตยจะต้องคิดให้ตกทุกๆคน มิฉะนั้นจะวนเวียนเป็นกงเกวียนกำเกวียนอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ภายใต้อำนาจทั้ง 4 ของประชาธิปไตยในอัตลักษณ์ไทย จึงเป็นเหตุแห่งความวุ่นวายทั้งหลายในแผ่นดิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น