การยื่นถอนประกันนายจตุพร
พรหมพันธุ์ ของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นการทำงานรับใช้อำมาตย์ที่ต้องการสกัดคนเสื้อแดงไม่ให้ทำงานการเมืองได้อย่างเต็มที่
และถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการล้มล้างการปกครองก็เท่ากับว่าศาลทำผิดมาตรา 68 เสียเอง ซึ่งก็เท่ากับเป็นกบฏเหมือนกัน การที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการล้มรัฐบาลและคนเสื้อแดงให้ได้นั้นคุณต้องทำให้ดีกว่าที่คนเหล่านั้นทำไว้
แต่จะเป็นอย่างไรนั้น นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ
นปช. มีคำตอบดังนี้
**********************
มองศาล
รธน. ไปยื่นถอนประกันตัวนายจตุพรอย่างไร
การที่ศาลรัฐธรรมนูญยื่นถอนประกันตัวนายจตุพร
พรหมพันธุ์ ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องผิดปรกติ ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลว่าเป็นการปราศรัยคุกคามศาล
ซึ่งความจริงเรื่องนี้หากเป็นเรื่องจริงศาลควรไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับนายจตุพร แต่การถอนประกันนายจตุพรคดีก่อการร้ายเป็นคนละเรื่องกัน
เป็นความพยายามของศาลที่ต้องการปิดปากแกนนำ นปช. และคนอื่นๆไม่ให้วิจารณ์ศาล ไม่ให้เปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสาธารณชน
ถ้ากรณีที่ศาลอาญาไปรับลูกศาลรัฐธรรมนูญเรื่องนี้ก็จะเป็นปมปัญหาทางกฎหมายอีกเรื่องหนึ่ง
กลายเป็นว่าศาลอาญาต้องตอบสังคมว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
เพราะโดยน้ำหนักคดีเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
ซึ่งจะทำให้สังคมตั้งคำถามว่าเป็นเรื่องการเมืองอีกหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ผมเสนอให้นายจตุพรลงเลือกตั้งซ่อมแทนนายการุณ
โหสกุล และถ้าหากศาลอาญาถอนประกันนายจตุพรก็เข้าทำนองว่าเป็นการขัดขวางไม่ให้นายจตุพรมีโอกาสได้ลงเลือกตั้งเป็น
ส.ส. หรือเปล่า ก่อนหน้านี้ตอนที่ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนสิทธินายจตุพร ทุกคนมองว่าเป็นเรื่องประเด็นการเมือง
เป็นเกมการเมืองที่ทำงานรับลูกกัน ทั้งศาลอาญา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
และศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากตอนนั้นศาลอาญาอนุญาตให้นายจตุพรไปใช้สิทธิใช้เสียง นายจตุพรก็จะไม่ถูกเพิกถอนสิทธิ
และจะไม่ขาดการเป็นสมาชิกภาพของพรรคการเมือง
ถ้าคราวนี้ถอนประกันจะทำให้ถูกมองในทิศทางนั้นได้
ซึ่งศาลอาญาต้องแบกรับและตอบสังคมว่าเป็นความพยายามของฝ่ายอำมาตย์ที่ทำงานร่วมกันในการจัดการนายจตุพรหรือไม่
และหากถอนประกันจริงนายจตุพรก็ต้องเข้าคุก ถ้าเข้าคุกจริงๆก็ต้องยื่นประกันตัวใหม่
ซึ่งต้องใช้เวลาอีก เพราะไม่รู้ว่าศาลจะเอาอย่างไร และที่แน่ๆคือจะเกิดปัญหาต่อสังคม
ก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก ซึ่งลึกๆผมเชื่อว่าศาลอาญาจะไม่ทำอย่างนั้น
เพราะถ้าทำจะตกเป็นจำเลยของสังคมแทน
กรณีนายจตุพรกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมือนกับว่ามีการวางหมากเอาไว้แล้ว
น่าจะมีความเชื่อมโยงกัน
คือถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ล้มล้างการปกครองจะทำให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่
และเป็นความขัดแย้งที่หนักกว่าเดิมในสังคม เพราะโดยเนื้อหาข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
และถ้าศาลดันทุรังไปวินิจฉัยที่สวนข้อเท็จจริง สวนความรู้สึก ก็จะเกิดความขัดแย้ง คนก็จะไม่ยอมรับคำวินิจฉัยตรงนั้น
ถ้าศาลวินิจฉัยออกมาในทิศทางนั้นก็ต้องตามมาด้วยดาบสอง แสดงว่าสภาทำผิด ทำให้คนที่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญทำผิดด้วย
คือต้องถอดถอนหมดทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพราะเป็นกรรมาธิการและอภิปรายตั้งแต่วาระ
1 และ 2
ดังนั้น
ถ้าศาลตัดสินในทิศทางนั้นก็จะโกลาหลมาก ผมพูดตรงๆว่าประเมินไม่ออกว่าความขัดแย้งและความอลหม่านจะนำไปสู่เหตุการณ์อะไรบ้าง
แต่ที่แน่ๆคือมวลชนจะมีการแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย และคงกดดันให้ศาลรัฐธรรมนูญออกมารับผิดชอบทางใดทางหนึ่ง
ส่วนจะนำไปสู่การดำเนินคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นการกบฏหรือไม่ ผมไม่แน่ใจ แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็มองว่าศาลกระทำการขัดต่อมาตรา
68 เสียเอง
ขณะนี้เสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายตั้งรับ
การรุกกลับของประชาชนที่จะดำเนินการกับองค์กรอิสระ
หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหลาย หมายถึงเราต้องไปถอดถอนดำเนินคดี แต่ยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันออกแบบมาเพื่อบล็อกไม่ให้ฝ่ายประชาธิปไตยดำเนินการตรงนั้นได้
จะเห็นได้ว่าการยื่นถอดถอนองค์กรอิสระผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยทั่วไปต้องใช้เสียงของ
ส.ว. 3 ใน 5 คือ 90 คน จาก 150 คน แต่ ส.ว.แต่งตั้ง 74 คน และใน 74 คนมีการจับกลุ่มเหนียวแน่นว่าฝักใฝ่เผด็จการเกือบ
50 คน ที่เหลือกระจัดกระจาย ดังนั้น
โอกาสในการถอดถอนบุคคลที่จงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ถูกต้องคงยาก เพราะเขากุมสภาพเสียง
ส.ว. ฝ่ายต้าน
คือถ้าเป็น
ส.ว. ที่มาจากระบอบประชาธิปไตยผมเชื่อว่าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างถูกต้อง แต่เมื่อมาจากการแต่งตั้งเขาก็ไม่สนใจ
เขาจะคิดว่าเขามาจากใคร พวกใคร เป็นเครื่องมือในกลุ่มเดียวกัน เขาก็ไม่ถอดถอน เราในฐานะประชาชนจะไปยื่นถอดถอนคนเหล่านั้นก็ไม่ได้
เพราะจะถูกบล็อก หากจะไปดำเนินคดีก็มีปัญหาว่าต้องผ่านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช).ซึ่งก็คือคนของเขาอีก ก็ถูกบล็อกไว้อีก เป็นความเจ็บปวดในสภาพที่เกิดขึ้นจริงในประเทศนี้
เราเห็นอยู่แล้วว่าองค์กรอิสระหลายองค์กรมีปัญหาจริงๆ
การทำงานในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมามีปัญหา จงใจใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง
แต่ถูกบล็อกโดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ นี่คือเหตุผลที่พวกผมจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้
ก็เพราะมีปัญหาในเชิงที่ว่าคนเหล่านั้นทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่จัดการไม่ได้ พอจัดการทางกฎหมายไม่ได้คนก็จะเลือกวิธีอื่นที่ไม่ใช่ทางกฎหมาย
นั่นคือสิ่งที่ผมเป็นห่วง ผมไม่อยากเห็นประเทศไทยไปในทิศทางนั้น เพราะจะกลายเป็นประเด็นที่สร้างปัญหาให้กับสังคม
ดังนั้น
ทางที่ดีเราต้องผลักดันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้ และทำให้ประเทศนี้ยืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้องในการถ่วงดุลและตรวจสอบการใช้อำนาจซึ่งกันและกัน
ไม่ว่าฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ หรือองค์กรอิสระทั้งหลาย ใครทำหน้าที่ไม่ถูกต้องควรถูกดำเนินการ
ไม่ว่าฝ่ายใด ผมอยากเห็นอย่างนั้น
แต่หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ล้มล้างการปกครองก็เข้าสู่กระบวนการคือรอโปรดเกล้าฯลงมา
เมื่อประกาศใช้ก็นับหนึ่ง กระบวนการสรรหา ส.ส.ร. เพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงนี้ผมเชื่อว่า
ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหลายคงเห็นปัญหาบ้านเมืองอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าจะรับฟังปัญหาของทุกฝ่าย
และดูว่าจะเขียนรัฐธรรมนูญอย่างไรที่ทำให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย และทำให้ฝ่ายบริหารแข็งแรง
การแก้ไข
รธน. จะกลายเป็นวิกฤตการเมือง
เรื่องรัฐธรรมนูญจริงๆแล้วพันธมิตรฯไม่ได้ติดใจอะไรมาก
คนที่มีปัญหาคือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมองว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีองค์กรอิสระที่จะล้มพรรคเพื่อไทย
จึงต้องการให้องค์กรเหล่านั้นคงอยู่ เครือข่ายอำมาตย์ยังอยู่ครบเพื่อเป็นแขนขาของเขา
ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงอยากคัดค้านเต็มที่ ต้องการยื้อให้ถึงที่สุด แต่ถ้าเกิดว่าเราโหวตวาระ
3 ได้ทุกอย่างก็เดินหน้าได้ ใครก็หยุดกระบวนการไม่ได้แล้ว
คิดว่ารัฐบาล
“ยิ่งลักษณ์” จะโดนวิกฤตตุลาการหรือไม่
สมัยนี้ต้องก้าวข้ามความกลัว
ต้องแก้เกมเป็นเปลาะๆ และต้องให้สังคมตัดสินว่าใครกันแน่ที่สร้างปัญหาให้กับประเทศ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาจากการเลือกตั้ง คนก็เห็นว่าตั้งใจทำงานเต็มที่
ไม่มีจุดบกพร่อง แต่ก็มีความพยายามที่จะล้มท่านทั้งที่ทำงานไม่ถึงปี
โดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ ซึ่งตรงนี้ถ้าล้มพรรคเพื่อไทยอีก ยุบพรรควันนี้ไม่มีปัญหา
ถ้าถอดถอน ส.ส. ยุบสภาก็ไม่มีปัญหา เพราะเลือกตั้งใหม่คนก็จะเห็น
แต่ถ้าล้มรัฐบาลด้วยวิธีการสกปรก เลือกตั้งใหม่คนก็เทใจให้หมด ดังนั้น ตรงนี้ผมเชื่อว่าถ้าเขาใช้วิธีการสกปรกเอาชนะรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
เอาชนะนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ได้หรอก
ถ้าเขาอยากล้มพรรคเพื่อไทยคงต้องไปหาช่องทางในทางสร้างสรรค์
นำเสนออะไรดีๆให้สังคมคล้อยตามว่าจะทำให้ประเทศนี้ดีขึ้น คุณต้องไปคิดนโยบายอะไรให้โดนใจ
นำเสนอแนวทางพัฒนาประเทศให้คนมีความสุข คุณต้องเอาชนะใจคนด้วยความดีที่เหนือกว่า ถ้าคุณสร้างความเกลียดชังคุณจะชนะในระยะสั้น
ไม่ใช่ระยะยาว ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐบาล ท่านอยู่ในใจคนเพราะทำให้รู้สึกว่ามีชีวิตดีขึ้น
ที่ผ่านมาไม่มีรัฐบาลไหนทำแล้วประชาชนรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้น วันนี้ถ้าจะชนะ พ.ต.ท.ทักษิณและเครือข่ายจะต้องทำสิ่งที่ดีกว่า
ตอนยึดอำนาจก็เห็นอยู่แล้วว่า คมช. เครือข่ายอำมาตย์ใช้ทุกวิธีในการทำลาย
พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ถามว่าทำไมเอาชนะไม่ได้ ก็เพราะคุณไม่ได้เสนอสิ่งที่ดีกว่าที่
พ.ต.ท.ทักษิณทำเอาไว้
ศาล รธน.
เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตปัญหาประเทศ
อยากเรียนว่าทุกองค์กรมีส่วนช่วยประเทศนี้
ศาลรัฐธรรมนูญยังมีประโยชน์ ป.ป.ช. มีประโยชน์ก็เยอะ เพียงแต่ปัญหาอยู่ที่บุคลากรและภารกิจระยะสั้นที่ได้รับมอบหมายมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
นี่ต่างหากที่เป็นปัญหา ผมเชื่อว่าองค์กรไม่มีปัญหาหากทำงานอย่างตรงไปตรงมา ที่ผ่านมาคือบุคลากรที่เป็นปัญหา
บิดเบือนอำนาจหน้าที่เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง แล้วตรวจสอบไม่ได้ ถอดถอนไม่ได้
นี่คือพฤติกรรมที่ชัดเจน ตรงนี้คือปัญหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม
ผมอยากเอาหลักการอย่างนี้คือมีได้ แต่ต้องถูกตรวจสอบได้ ถอดถอนได้ แล้วคนที่ได้รับการคัดเลือกให้ทำหน้าที่นี้ต้องมาด้วยกระบวนการที่ถูกต้อง
ผ่านการสรรหาจนเป็นที่ยอมรับ ไม่ใช่แต่งตั้งโดยประธาน คมช. แล้วใช้อำนาจหน้าที่ล้มล้างคนที่มาจากประชาธิปไตย
คิดว่าเสื้อแดงควรก้าวข้าม
พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่
เสื้อแดงตอนแรกมาจากกลุ่มคนรักทักษิณและคนรักประชาธิปไตย
แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาคนก็เห็นว่าปัญหาที่อำมาตย์สร้างไว้หนักหนาสาหัส
ซึ่งไม่ได้ทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณอย่างเดียว แต่ยังทำลายประเทศด้วย ดังนั้น เขามองที่หลักการว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ประเทศมีปัญหาจากการเรียกร้องให้
พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา หรือให้รอดพ้นจากการถูกกลั่นแกล้ง กลายเป็นว่าต้องสู้เพื่อประเทศชาติ
ไม่ให้ประเทศนี้ถูกทำลาย ต้องทำเพื่อระบอบประชาธิปไตย คนจำนวนมากอยากเห็น
พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน แต่วันนี้จุดยืนเขาไปไกลแล้ว จากเมื่อก่อนทำเพื่อคุณทักษิณ
แต่วันนี้ทำเพื่อประเทศ ดังนั้น เสื้อแดงส่วนใหญ่ก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณไปแล้ว โดยก้าวไปสู่การปกป้องระบอบประชาธิปไตย
ในฐานะแกนนำ
นปช. จะนำคุณทักษิณกลับบ้านอย่างไร
ขณะนี้เราเรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องแรก
เรื่องที่ 2 คือการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และเรื่องที่ 3
การหาคนผิดที่สั่งฆ่าประชาชนมาลงโทษ 3 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราเรียกร้องอยู่
โดยเชื่อว่า 2 เรื่องแรกเกี่ยวพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ผ่านมา
พ.ต.ท.ทักษิณถูกดำเนินการโดยกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าเราปรับหลักการประเทศให้ถูกต้องก็น่าจะให้ความเป็นธรรมกับ
พ.ต.ท.ทักษิณได้ นั่นหมายถึงสามารถกลับประเทศได้
วันนี้การขับเคลื่อนการออก
พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติความจริงเป็นเสี้ยวหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมที่จะต้องให้ความเป็นธรรมต่อทุกๆคน
พ.ต.ท.ทักษิณหรือใครต่อใครที่ถูกดำเนินคดีจาก คตส. เราเห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงอยากให้เริ่มต้นใหม่โดยกระบวนการที่ปรกติ
ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมที่ขับเคลื่อนโดยคนที่ชิงชัง พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น การขับเคลื่อน
พ.ร.บ.ปรองดองก็เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณและทุกคนที่ถูก คตส. ดำเนินคดี มานับหนึ่งใหม่โดยกระบวนการยุติธรรมที่น่าเชื่อถือ
ญาติผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมเป็นห่วงว่าคนสั่งฆ่าประชาชนจะพ้นผิด
พ.ร.บ.ปรองดองมีหลายฉบับ
ขอบเขตของการนิรโทษกรรมที่จะนำไปสู่การปรองดองแต่ละฉบับไม่เหมือนกัน ขอบเขตที่พวกผมเสนอไม่ได้นิรโทษกรรมต่อผู้ออกคำสั่งสลายการชุมนุม
ไม่ได้รวมแกนนำเสื้อแดงและแกนนำพันธมิตรฯที่โดนข้อหาก่อการร้าย ส่วนแกนนำย่อยๆ รวมทั้งมวลชนทั้งหลายเราขอให้มีการนิรโทษกรรมทั้งหมด
เพราะเป็นผู้ร่วมการต่อสู้ ไม่ว่าสีใดก็ตาม แต่ถ้านิรโทษกรรมทั้งหมดก็จะเป็นปมปัญหากับญาติผู้เสียชีวิตทั้งเสื้อแดงและเสื้อเหลือง
ซึ่งจะอธิบายกับพวกเขาลำบาก แต่ถ้ามีการนิรโทษกรรมทั้งหมดจริงๆก็ยังสามารถเอาผิดต่อคนสั่งสลายการชุมนุมด้วยการดำเนินคดีในต่างประเทศ
โดยศาลอาญาระหว่างประเทศที่ขณะนี้ นปช. ขับเคลื่อนอยู่
ทั้งนี้
หากศาลอาญาระหว่างประเทศรับคำฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
จะถูกจับกุมส่งตัวไปให้ศาลโลกดำเนินคดี ซึ่งจะมีการต่อสู้ทางคดีเหมือนกับศาลทั่วไป
หากไต่สวนที่นั่น 2 คนนี้คงรอดยาก เพราะศาลที่นั่นทำงานตรงไปตรงมา
ไม่มีใครแทรกแซงได้ ขณะที่ประเทศไทยต้องยอมรับว่าฝ่ายอำมาตย์แทรกแซงหลายองค์กรได้ แต่กระบวนการที่นำไปสู่การรับคำฟ้องจริงๆยังไม่ง่าย
เพราะศาลอาญาระหว่างประเทศระมัดระวัง โดยใช้หลักการสำคัญ 2 ประเด็นคือ
การดำเนินการของผู้ถูกฟ้องเป็นการเข่นฆ่ามนุษยชาติหรือไม่ และกระบวนการยุติธรรมในประเทศกลไกยังทำงานได้อยู่หรือไม่
สำหรับญาติผู้เสียชีวิตที่ไปยื่นเรื่องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ สาเหตุหนึ่งคือไม่เชื่อในกระบวนการยุติธรรมของไทย
ซึ่งผมเองก็ไม่เชื่อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น